3826. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 25 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 25 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
ผลจากการเผชิญหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่หัวแหลมสลักเพชรที่ผ่านมาทำเอาผมหมดอารมณ์เที่ยวเตร่ จึงออกปากชวนรุณ ตาแดงกลับไปที่ท่าเรือโดยอ้างว่าหิวซึ่งเพื่อนก็ไม่ขัดใจ พาเดินเลียบหาดกลับไปพบแสงสว่างกับนักเที่ยวราตรีที่ยังป้อสาวตามปกติโดยไม่มีใครรู้ระแคะระคายเรื่องที่เกิดกบเรา ๒ คนเลย ช่วงเดินกลับผมคิดไม่ตกว่ากลุ่มชายฉกรรจ์นั่นมันโผล่ออกมาทำไม? หรือว่าบริเวณนั่นเป็นเขตหวงห้ามจำเพาะของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่คิดว่าผมกับเพื่อนจะฝ่าเข้สไปเห็นพฤติกรรมผิดกฏหมาย จึงออกมาขวางไว้ ถ้าเช่นนั้น ทำไมรุณไม่รู้จักพวกมัน แต่มันรู้จักรุณ อีกทั้งคล้ายรู้จักอย่างดีด้วย
กลับถึงท่าเรือสลักเพชร บัดนี้ผู้คนยิ่งคึกคัก ที่ร้านค้าขนาดห้องแถว ๓ คูหาของพี่ชายเพื่อนได้เสริมโต๊ะเก้าอี้ล้ำไปยังทางเท้าเพื่อสนองตัณหาปีศาจสุราโดยมีตู้เพลงหน้าร้านที่เก็บเสียงมาแต่ค่ำแผดเสียงสนั่นด้วยเพลง “ไอ้หนุ่มตังเก” พร้อมเสียงปิศาจสุราร้องตามฟังอ้อแอ้น่ารำคาญหูชะมัด และที่นี่เองสิ่งที่เคยปรากฏบนสะพานท่าเรือเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อปิศาจสุราทั้งโต๊ะปะหน้ารุณ ตาแดง นั่นคือสงบเสียงลง และลอบมอง เสียดายนักที่ผมหาใช่เพื่อน มิเช่นนั้นจะปราดเข้าไปบอกให้กลุ่มปิศาจสุราสนุกต่อไป ยังไม่ทันผ่านเข้าไปในร้าน ร่างกำยำดำทะมึนสวมทับด้วยเสื้อฮาวายลายพร้อยปราดมาหา บอกไม่ดังนักแต่น้ำเสียงจริงจัง
“พี่มีเรื่องสำคัญคุยด้วย ตามไปที่บ้านพักด้านหลัง”
จบคำร่างดำทะมึนอดีตสลัดทะเลขยับผละ รุณรีบรั้งไว้ บอกเสียงหลง
“เดี๋ยวก่อนพี่”
“ไม่มีเวลาแล้ว ตามมา”
ร่างกำยำทะมึนก้าวพรวดๆ นำไปก่อน รุณยืนคิ้วขมวดมุ่น พึมพำเบาๆ
“อะไรกันนักหนาวะ”
“นายควรไป ถ้าไม่ใช่เรื่อง สำคัญแก่ไม่ยุ่งหรอก” ผมให้สติ
อดีตเจ้าพ่อเขาหวายละจากผมเข้าไปในร้าน ผมจี้ตามไปพบแต่เหล่าตังเกหลากวัยลุกนั่งอยู่กลางโถงของร้านที่เปิดเป็นบ่อนไฮโลกับไพ่ป๊อกอันตลบด้วยควันบุหรี่ รุณบอกพอได้ยิน
“เราอยากแทงไฮโลสัก ๓ เปิด…เปี๊ยกตามพี่ไมไปรอที่บ้านก่อนนะ”
ผมปฏิเสธทันควัน “รุณ พี่ไมต้องการพบนาย ไม่ใช่เรา”
เพื่อนยกมือเกาบริเวณต้นคอ เทลมหายใจแรง หล่นคำหงุดหงิด “ไม่มีเรื่องอื่นหรอก เรื่อง ‘อีเด็ก’ ในซ่องนั่นแหละ”
“ก็ควรจะไปพูดคุยดู”
“ไป” เขาลั่นคำห้วนๆ
ครานี้ตลอดทางสู่บังกะโลที่พัก รุณบ่มพึมถึงนิสัยของพี่ชายที่คอยแต่จะขวางทางเขาร่ำไป ก็ได้แต่รับฟังจวบเห็นแสงไฟจากบ้านพักสว่างโพลง ที่ระเบียงด้านหน้าปรากฏเจ้าของหุ่นกำยำผิวนิลนั่งรออยู่จึงแตะแขนขวา ปากบอก
“เราจะรออยู่ข้างล่างนะ นายคุยกันฉันพี่น้องก็แล้วกัน”
รุณ ตาแดงชะงักตีนกึก มองหน้าผมพลางส่ายหน้าไปมา จึงย้ำอีกประโยคเบาๆ
“เราขอร้อง”
นัยน์ตาวาววามแข็งกระด้างกะพริบปริบๆ คิ้วหนาเข้มย่นเข้าหากัน ครู่เดียวเพื่อนหลุดปากเอาโล่งอก
“เปี๊ยกคอยเราด้วยนะ”
ผมยิ้มให้เพื่อนแทน รุณสะบัดหน้าเงยขึ้นมองพี่ชายบนระเบียงก่อนก้าวดุ่มๆ ไปขึ้นบันได ร่างกำยำดำมะเมื่อมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง รุณก้าวขึ้นไปถึงระเบียงไม่วายหันมอง ผมก็โบกมือให้จวบร่างเปรียวผลุบหายตามพี่ชายเข้าไป
นาฬิกาติดข้อมือผมบอกเวลา ๕ ทุ่มเศษ แต่ผมยังยืนคว้างไม่ไปหน้ามาหลัง เพราะใจหนึ่งอยากลอบฟังการสนทนาของคนทั้งคู่เพื่อรู้ไว้รับสถานการณ์ที่คาดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ผสมกับข่าวที่มีคนแปลกหน้าเป็นชายฉกรรจ์ล้วนรวม ๖ นายตามเรามาขึ้นเกาะแล้วหายไปเฉยๆ ไร้วี่แววก็ชวนคิด ที่น่าประหลาดใจคือชายฉกรรจ์ ๔ คนกับสุนัข ๑ ตัวนั่นมันใครกันแน่ทำไมรุณไม่พูดถึงเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเผชิญหน้าอันตามวิสัยนักเลงปืนย่อมไม่มองข้าม
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจลืมมารยาทคน ก้าวฉับๆ เข้าไปยังใต้ถุนบังกะโลหรือที่พักชั่วคราวเข้าสื่อความการสนทนาของ ๒ พี่น้องก็ยิ่งทำให้หูผึ่งจากวาจาอดีตสลัดทะเล
“พี่ไม่นึกว่าเอ็งจะโง่หาเรื่องเดือดร้อน คนหยั่งเสี่ยกิมมันมีเงิน คบแต่พวก ‘เจ้านาย’ เอ็งฆ่ามันแล้วคิดหรือเรื่องจะจบง่ายๆ ที่ตราดนี่ลูกชายคนโตของมันก็พวกเดียวกับผู้ใหญ่ชา ถ้าพวกมันฮั้วกันเมื่อไหร่พี่เองก็ช่วยเอ็งไม่ได้หรอก…มันหมดยุคหมดสมัยยิงปืนแม่นเก่งคนเดียวแล้ว ตอนนี้เมื่อยังมีเวลาเอ็งไปซะดีกว่า”
“ผมว่าพี่กลัวถูกลูกหลงไปด้วยมากกว่า” รุณโต้
“ไอ้รุณ…นี่พี่เตือนมึงนะ” เสียงสลัดทะเลดังสนั่น “ถ้ามึงไม่ใช่น้องพี่จะไม่พูดเลย”
“เอาแบบนี้ดีกว่า” รุณโพล่งเสียงพอกัน “เอาเป็นว่าผมไม่ใช่น้องพี่ ตัวใครตัวมัน บ้านหลังนี้ผมขอเช่าก็แล้วกัน”
“มึงต้องการอย่างนั้นหรือ?”
“พี่ก็รู้นิสัยผมดีแล้ว”
“ตกลง เอาหยั่งงั้นก็ได้” สลัดทะเลบอกคล้ายคำราม
“เอาละ ตอนนี้ผมขอเบียร์สักครึ่งโหล กับแกล้ม ๒-๓ อย่างนะ”
“ได้ เดี๋ยวกูจะสั่งเด็กเอามาให้”
ต่อมาเป็นเสียงย่ำตีนดังหนักๆ ลงบันได ผมหลบเข้าบังเสาเรือนไว้ร่างดำทะมึนก้มหน้าเดินส่ายศีรษะไปมาหายไปกับความมืด ผมยืนปรับจิตใจอยู่พักหนึ่งค่อยละจากใต้ถุนออกไปยืนจุดบุหรี่สูบมองดาวเดือนจรัสแสงกลางกระแสความคิดที่ไม่สามารถปรับให้คงภาวะปกติ
คำบอกของพี่ไมย่อมไม่ใช่เกิดจากความหวาดกลัวตนเองจะเดือดร้อนเพราะน้องชาย ทุกอย่างมันมีที่มาที่พอประเมินได้ว่ารุณอยู่ในสถานะคับขันการปรากฏตัวของกลุ่มชายฉกรรจ์ ๒ ครั้ง ๒ ครา รวม ๑๐ คน โดยรุณไม่ยอมแสดงความคิดเห็นออกมายิ่งทำให้ต้องคิดหนักยิ่งขึ้น ต้องคาดการณ์ถึงขั้นที่ว่ารุณ ตาแดงเห็นภัยแล้ว แต่ที่เก็บงำกิริยาบถอาจเกรงผมหวั่นไหวมากกว่า เสียงกระแอมดังเบาๆ ก่อนเงาตะคุ่มปรากฏเมื่อใกล้เข้ามา เงาตะคุ่มๆ นั่นคือเด็กรุ่นผิวคล้ำเดินประคองถาดบรรจุเบียร์สิงห์ก้าวย่างราวนัยน์ตานกปิศาจ พอย่างมาถึงผมเด็กหนุ่มหยุดบอกสำเนียงคนระยอง
“ของพี่รุณกับพี่ กับแกล้มกำลัวตามมาครับ”
“ขึ้นไปวางที่ระเบียงนั่นเลย…ขอบใจมากหนุ่ม”
คล้อยหลังไอ้หนุ่มรุ่นเมืองกวีเอกไม่ทันไร อีกหนุ่มวัยไล่ๆ กันยกถาดกับแกล้มตามมา บอกคล้ายๆ กัน
“ลุงไมให้ยกมาให้ลุงรุณกับน้าครับ”
“เอาขึ้นไปข้างบนโน่นเลย”
ผมดีดบุหรี่เหลือติดก้นกรองทิ้ง ๒ หนุ่มถือถาดเปล่าผ่านมาบอกเพื่อนให้ขึ้นไปร่วมวง ก็ขอบอกขอบใจ ๒ วัยรุ่นไปอีกครั้ง
ครู่หนึ่งร่างเปรียวในชุดเสื้อคอกลมสีดำออกมายืนเกาะราวระเบียง ผมเดินเข้าไปหา รุณก้มลงบอกจากระเบียง
“เปี๊ยกขึ้นมากินเบียร์ดีกว่า”
ผมก้าวขึ้นบันไดไปหาในบัดนั้น รุณจัดการยกเก้าอี้ให้ ผมรับไว้ตามองด้วยความฉงน ดูเหมือนเขาไม่ได้สังเกต หันคว้าขวดเบียร์ไปเปิดด้วยคมฟันขาววะวับ ๒ ขวดซ้อนก็อดเสียวฟันไม่ได้ น้ำเมรัยฟองขาวฟ่องถูกรินลงแก้วเปล่าๆ ด้วยน้ำมือเพื่อนด้วยบรรยากาศเงียบเหงา แม้จะมีเสียงจากตู้เพลงกระหึ่มมาถึง รุณดื่มเบียร์รวดเดียวหมดแก้วใบใหญ่หนาเหมือนมิได้ระคายคอ ผมคว้าขวดที่ ๒ รินลงแก้วให้เขา
“ขอบใจเปี๊ยก” รุณบอกเบาแผ่ว
ต่อมาเมื่อเบียร์ขวดที่ ๓-๔ ถูกเปิด รุณเริ่มช่างพูด แต่เป็นการคุยถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เขากับผมยังอยู่กันคนละทิศ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เขากับชาญรวมทั้งพี่ชายตระเวนรับจ้างยิงคนสร้างชื่อเมื่อ ๕-๖ ปีที่ผ่านมา เขายอมรับหน้าชื่นว่ายิงคนไปไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ศพ ฉุดผู้หญิงไปข่มขืนนับ ๑๐๐ นางเช่นกัน
“เรายอมรับว่าจิตใจเราต่ำ เคยพยายามที่จะปรับหรือทำจิตใจหยั่งนายก็ทำไม่ได้ ใจเราส่วนใหญ่ยังสกปรก แม้กระทั่งขณะนี้ก็คิดอยู่อย่างเดียวอยากนอนกับ ‘อีเด็ก’ นั่น กับอยากให้ไฟบนเกาะดับ”
“คงมีสักวันที่นายรุณทำสิ่งดีได้” ผมประโลม
“คนหยั่งเรา ‘เลว’ ว่ะ” รุณหลุดคำหนักแน่น “ขอโทษที่พานายมาร่วมทุกข์ด้วย”
เวลาล่วงไปเบียร์ครึ่งโหลเหลือขวดสุดท้าย ผมรู้สึกหน้าตาร้อนผ่าวส่วนเพื่อนซึ่งชัดหนักทั้งดื่มต่อเนื่องขณะนี้ทั่วหน้าเยิ้มดำเป็นมันวับ เมื่อเหลือบดูนาฬิกาบนข้อมืออีกคราวปาเข้าไป ๒ ยามครึ่ง
“ไฟฟ้าบนเกาะจะดับตอนตี ๑ ….ตอนนี้กี่ยามแล้ว?” รุณถาม
“อีกครึ่งชั่วโมงตี ๑ “
“ใกล้แล้ว” รุณบอกปนยิ้ม “อ้าว นั่นใคร?”
ประโยคหลังรุณชี้ไปยังเงาตะคุ่มๆ ที่เดินใกล้เข้ามาจนได้รัศมีแสงไฟจึงทราบเป็นพี่ไมพร้อม ๓ สมุนร่างใหญ่ตามอยู่ด้านหลัง รุณขยับนั่งตัวตรงอาการสะลึมสะลือหายไปดังปลิดทิ้ง เสียงย่ำตีนขึ้นบันไดดังกึงกัง พอเจ้าของร่างกำยำผิวดำเป็นมันก้าวสุดบันไดเต็มตัว สิ่งที่ไม่คาดฝันอุบัติทันควัน อดีตสลัดทะเลผิวนิลกระชาก ๑๑ ม.ม. ออกจากซองเอวจี้พรวดเข้าที่หน้าอกน้องชาย ผมดีดตัวเองผละหนี ๒ หนุ่มชาร์จเข้าชนเต็มแรงจนถลาไปปะทะข้างฝาดังสนั่น ทั้งคู่ตามล็อกคอผมจนหน้าแหงน จากนั้นก็รู้สึกตัวมีมือหนึ่งกระตุกปืนไปจากเอว พร้อมเสียงห้าวๆ ดังขึ้น
“พอแล้ว เอาแต่ปืนไว้”
ทั้งคู่ปล่อยคอกับขา ผมจึงรีบลุกขึ้นยืนปะเพื่อนถูกพี่ชายปลดอาวุธไปถือไว้โดยไม่ปริปากสักคำ ผู้พี่ชายบัดนี้ใบหน้าเหี้ยมดำเป็นมันตวาดใส่
“พี่น่ะไม่ฆ่าน้องหรอก มีแต่น้องเท่านั้นฆ่าพี่”
รุณซึ่งนั่งอยู่ในที่ที่สลัดทะเลจู่โจมถึงตัวก่อนผมยังคงนั่งประจำที่เดิมไม่ต่อคำเช่นเดิม
“ปืนทั้ง ๒ กระบอกพี่จะคืนให้เมื่อไปจากที่นี่…อ้อ คืนนี้ หลังจากไฟบนเกาะดับแล้วอย่าออกไปไหนเด็จขาด”
สิ้นคำร่างกำยำดำมะเมื่อมหันกลับก้าวลงบันไดโดยมี ๓ สมุนร่างใหญ่ตามไปติดๆ รุณนั่งนิ่ง ใบหน้าดำเป็นมันกรุ่นน้ำเมาแลอำมหิตบดกรามกรอดก็ประโลมไว้
“คิดช้าๆ นะเพื่อน”
รุณหันมาสบตา เขาจ้องหน้าอยู่ครู่เดียวก็หล่นคำเข้ม
“เปี๊ยก เราเสียใจด้วยที่ทำให้นายเสียหน้า”
ผมยิ้มให้เพื่อน พยายามปรามเขา “ทุกเรื่องแก้ไขได้นะ”
“เราตั้งใจไว้แล้ว….” เขาบอกเสียงเหี้ยม
“สำหรับนาย จากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่ายุ่งเด็ดขาด สว่างแล้วค่อยติดต่อเรือกลับขึ้นฝั่ง”
“นายคิดอะไรอยู่หรือ?”
“เปี๊ยกรับปากกับเราก่อนว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรือ?”
นักเลงปืนผิวนิลส่ายหน้าไปมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย เราคิดกับตัดสินใจคนเดียว…รับปากสิ เราจะได้สบายใจ”
“ตกลง เราไม่ยุ่ง” ผมว่า
ทันใดไฟฟ้าบนเกาะดับพรึบ ณ ระเบียงที่เรานั่นดื่มถูกห่อคลุมด้วยความมืดทันที ผมนั่งนิ่ง สัญชาตญาณอย่างหนึ่งบอกให้รู้สึกว่าจะต้องเกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนฟ้าสาง
“เปี๊ยก ขอจับมือหน่อย” รุณบอกเสียงเบาแผ่ว
ผมยื่นมือให้เขาสัมผัส เราต่างบีบกระชับมือกันมั่น ต่อมารุณได้ลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งปรากฏเสียงดังโครมครามเกิดขึ้น ผมไม่รอช้ารีบพรวดเข้าไปในห้อง เพื่อนถาม
“ใครน่ะ?”
“เราเอง รุณ”
ในความมืดอย่างนั้นทำให้ผมไม่อาจเคลื่อนไหวต่อ กระทั่งเสียงตึงตังเงียบลง เสียงเพื่อนถามปนหอยมาจากห้องด้านใน
“เปี๊ยก เอาไฟแช็กมาหรือเปล่า…จุดด้วย”
ผมฉกมือลงคว้าไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกงจุดขึ้น แสงไฟวอมแวมจากไฟแช็ก ‘ซิปโป้’ ส่องให้เห็นด้านหลังเพื่อนซึ่งยืนหันหน้าชนตู้ทึบไม้สัก
“เข้ามาใกล้ๆ หน่อย เปี๊ยก”
ผมส่องไฟไปข้างหน้าจึงเห็นเขากำด้ามมีดโบวี่ที่กำลังใช้ปลายงัดสายยูคล้องกุญแจอยู่ พอได้แสงไฟจากผม รุณสอดใบมีดขาวปลาบลองงัดอีกครั้ง
เสียงดังตึง สายยูเหล็กถูกง้างจนหลุดจากเนื้อไม้ รุณรีบเปิดตู้ ผมเปลี่ยนมือถือไฟแช็กเพราะถูกไฟลนจนร้อน สิ่งที่อยู่ในตู้เป็นอาวุธสงคราม ๒ กระบอกวางพาดอยู่ ทั้งอาก้ากับเอ็ม-๑๖ รุณคว้าอาก้ามากระชากลูกเลื่อนขึ้นลำปืนเสียงดังชัดๆ ก็หันมา ผมมองด้วยใบหน้าเยิ้มเหงื่อมันปลาบ ต่อมาเพื่อนโยนอาก้ากระบอกนั้นไปบนเตียง คว้าเอ็ม-๑๖ ขึ้นมาทดสอบสมรรถนะ เสียงขึ้นลำปืนดังกราว จากนั้นเขาดึงลิ้นชักออก สิ่งที่เห็นเป็นแม็กกาซีนทั้งอาก้ากับเอ็ม-๑๖ ราวครึ่งลิ้นชักก็หยิบแม็กเอ็ม-๑๖ ออกมา ๓ ตัว เสียบเขาซอกเอว
“เราไปก่อนนะเพื่อน หากดวงดีเราค่อยพบกัน”
ผมดับไฟแซ็กในมือ ทั้งห้องคืนสู่ความมืดอีกครั้ง ครู่เดียวอุ้งมือสากหนาร้อนผ่าวจับแขนผมบีบ ความรู้สึกขณะถูกสัมผัสจากมือเพื่อนทำเอาหดหู่ใจจนพูดไม่ออก หรือว่า ‘ฝันร้าย’ เกี่ยวกับเขาใกล้เป็นจริง?
“ลาก่อนเพื่อน”
ผมเองหลุดปากบอกกล่าวแก่อดีตเจ้าพ่อเขาหวายไปว่าอย่างไรลืมสิ่นร่างเปรียวของเพื่อนก้าวลงบันไดแต่ละขั้นไม่ต่างตัวเองถูกเฉือนกรีดหนังเนื้อไปทีละชิ้น!
สุริยัน ศักดิ์ไธสง