3825. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 24 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 24 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ผมเองเมื่อปะโฉมหนุ่มใหญ่ร่างกำยำผิวนิลดุจเดียวกับรุณ ตาแดง ย่อมซึมซาบดีว่า ชายผู้นั้นต้องเป็น “พี่ไม” พี่ชายของเขา จึงยกมือกระทำคารวะ

“สวัสดีครับ พี่”

หางตาของคนเจนชีวิตฉวัดมองผมวิบหนึ่ง พลางรับไหว้ด้วยท่าทีปกติทั้งออกปากเชื้อเชิญเสียงห้าวๆ

“เชิญข้างใน น้อง”

จบคำ ร่างกำยำดำทะมึนเปลือยท่อนบนอันเหลืองอร่ามสร้อยคอทองคำน้ำหนักประมาณ ๑๐ บาท กับพระเครื่องจีวรเหลืองอร่ามอีก ๗ องค์ ก้าวนำเข้ายังห้องรับแขกเล็กกะทัดรัดกลางแสงไฟสว่างโพลง

ภายในห้องมีเก้าอี้นวมบุหนังสีดำ ๒ ตัวกับโซฟายาวอีกหนึ่งตัว กึ่งกลางระหว่างเก้าอี้กับโซฟาตั้งโต๊ะเตี้ยๆ ทำด้วยไม้มะค่าปูทับด้วยกระจก มีขวดสุราต่างประเทศน้ำสีทองพร่องไปกว่าครึ่ง แก้วสุราว่างเปล่า อาหารแกล้มมีแหนม ผัก และพริกขี้หนูสด พร้อมกระเบนย่างกลิ่นหอมฉุย รุณกับผมนั่งบนเก้าอี้นวมคนละตัว ส่วนเจ้าบ้านนั่งบนโซฟากำลังเติมสุราลงแก้วราว ๒ เป๊ก ก็เงยหน้าขึ้นเป่าลมออกจากปากจนได้ยิน อดีตเจ้าเขาหวายเริ่มส่อสีหน้าอึดอัด เสียงห้าวๆ ดังขึ้นอีก

“ที่นี่วันนี้ไม่เหมือนก่อน พี่อยากจะเตือนเอ็งไว้อย่างนึง รุณ”

“เรื่องอะไรพี่?” รุณชักทันควัน

“อย่าไปยุ่งกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ทุกเรื่อง”

รุณผินหน้ามองผม ยิ้มเหนื่อยหน่าย “พี่เคยเห็นผมไปยุ่งกับใครบ้าง?”

“อีกอย่างนึง” อดีตจอมสลัดออกเสียงดังขึ้น

“บอกเลยพี่”

“เอ็งจะยิงใครที่นี่ง่ายๆ ไม่ได้ ชาวบ้านที่นี่เขาไม่อยากให้ตำรวจมายุ่ง”

“ตกลง”

“เอ็งจะอยู่กี่วัน?”

เอ๊ะ…” รุณอุทาน

“นี่ไม่ใช่ถามเพื่อไล่เอ็งนะ”

“ไม่เกิด ๑๐ วัน”

“ถ้าหยั้งงั้นก็พักเสียที่นี่เลย..เออ ฝากปืนไว้กับพี่เถอะวะ”

รุณส่ายหน้าปฏิเสธลั่น “เรื่องนี้ไม่ได้ พี่ก็รู้ทุกวันนี้ปืนห่างตัวผมไม่ได้”

“ตามใจมแต่ขอให้นึกถึงพี่บ้าง”

“ตกลงพี่” รุณตอบสุ้มเสียงรำคาญ อันบอกถึงความไม่เกรงใจพี่ชายนัก

อดีตสลัดผิวนิลซึ่งบุคลิกแลดุดันเหี้ยมกว่าน้องชายได้แต่กะพริบตาปริบๆ คิ้วย่นครู่หนึ่งก็ลุกจากโซฟาเดินเข้าไปในห้องซ้ายมือ พักเดียวก็กลับออกมาพร้อมใส่เสื้อฮาวายลายพร้อย

“เดี๋ยวพี่จะให้เด็กมาหา จะกินอะไรสั่งมันไป”

รุณรีบค้าน “พี่อย่าลำบากเลย ผมกับเพื่อนหิวเมื่อไหร่ก็ออกไปกินที่ร้านดีกว่า”

เจ้าของร่างกำยำดำทะมึนก้าวไปหาน้องชายพร้อมกับกอดคอพาออกไปที่ระเบียงหน้าที่พัก ผมไม่ตามออกไป แต่จุดบุหรี่สูบฆ่าเวลา ไม่นานนักรุณกลับเข้ามาทิ้งร่างโครมบนโซฟาบอกคล้ายไม่นำพา

“มีเรือเล็กลำหนึ่งเข้ามาส่งคนที่นี่ ๖ คน หลังจากที่เราขึ้นมาไม่นานนัก พี่ไมสงสัยเป็นพวกที่มีเรื่องกับเรา ขณะนี้ยังตามหาไม่เจอ”

“ใครตามหาใคร?” ผมกังขา

“พี่ไมแกสั่งลูกน้องตามหาตัวไอ้ ๖ ตัวนั่น เพราะอยากรู้เป็นพวกไหน”

“แล้วรุณว่าอย่างไร?”

“เราไม่คิดว่าจะเป็นพวกนั้น คงเป็นพวกนักเที่ยวบนฝั่งเหมาเรือมาหาผู้หญิง หรือไมก็ของเถื่อน…เปี๊ยกอย่าไปสนใจเลย อาบน้ำดีกว่า”

ปากอยากเสนอให้เพื่อนเคลียร์เรื่องนี้โดยขอแรงบริวารของพี่ชายออกค้นหาคนทั้งหมดให้พบ ทว่าเกรงเขาตำหนิดุจเดียวกับพี่ชายก็รักษาเหลี่ยมไว้ปิดปากเงียบ

ต่อมาเรา ๒ คนได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าอาบน้ำจืดชำระคราบคาวนานาที่ดองมาทั้งวันพร้อมสระผมที่แห้งกรังไปด้วย ๓ ทุ่มแล้ว แต่ชีวิตยามราตรีบนแผ่นดินกลางทะเลดูเหมือนเพิ่งเริ่มคึกคัก บรรดาตังเกหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยทยอยขึ้นจากเรือเดินเลียบหาดไปตามร้านรวงบ้านเรือนอันส่วนใหญ่เป็นสถานบริการ ตั้งแต่ร้านสุราอาหาร โต๊ะบิลเลียด และซ่องโสเภณีซึ่งขณะนี้ไม่ต่ำกว่า ๕๐ นางล้วนแต่งกายเฉิดฉายเดินตามกันเป็นแถวยาวเหยียด ที่ผมฉงนใจอย่างหนึ่งเท่าที่มองจากระเบียงบังกะโลที่พักคือ นางกลางคืนทุกอนงค์ล้วนถือธูปที่จุดแดงไว้ในมือด้วย พอเดินเข้าสู่ที่ที่ปราศจากแสงไฟจึงมองไม่ต่างจากดวงตากระสือ

พลัน…ไฟฟ้าตรงระเบียงดับวูบ ผมสะบัดหน้าไปทางประตู พบรุณ ตาแดงอยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีขาว ประทับอักษรภาษาอังกฤษสีแดงทั่วไปแลสะดุดตาก็ชม

“เสื้อสวย มองสะดุดตา”

รุณต่อคำเชิงเย้า “แล้ว ‘คน’ ล่ะ คงสู้เสื้อไม่ได้ใช่ไหม?”

“หยั่งนายเขาเรียก ‘ดำผู้ดี’ คือผิวดำเกลี่ยงเกลา”

คราวนี้นักเลงปืนผิวนิลหัวเราะชอบใจพร้อมก้าวนำลงบันไดสู่พื้นดินปนทรายซึ่งมืดจนมองไม่เห็นทาง รุณเดินนำหน้าไปตามช่องทางเล็กๆ ไม่ผ่านร้านค้าของพี่ชายมโดยฝ่าเข้ากลางสวนมะพร้าวไปออกยังซอกทางเดินซึ่งมีบ้านเรือนห้องแถวติดไฟเขียวทุกห้อง ด้านหน้าห้องแถวมีม้ายาวไว้บริการนักท่องวิมานพักเท้าล้วนมีผู้จับจองนั่งเต็มหมด จึงมีทั้งผู้ที่ยืนกับเดินชมเดินเลือกสินค้าสีสันลานตาหอมรัญจวนราวตลาดนัด

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเงินพวกตังเกจะมาสะพัดที่นี่” ผมบอกเพื่อน

“อ่าวหน้าสลักเพชรนี่เคยเป็นที่หลบมรสุมของคนเรือได้เป็นร้อยๆ ลำ เปี๊ยกดูตอนที่เรามาถึงมีเรือเข้าจอดกี่ลำแล้ว ลองมองทั่วอ่าวขณะนี้สิ”

ผมปฏิบัติตามที่เพื่อนแนะ พบทั่วอ่าวสว่างพราวจากแสงไฟเรือที่จอดเทียบเป็นแพปิดผืนน้ำกว้างใหญ่ลิบๆ แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดที่ดวงไฟสีแดงไกลลิบ จึงชี้ให้เพื่อนชม

“รุณ เห็นดวงไฟสีแดงลิบๆ นั่นไหม?”

รุณมองตาม ปากบอก “กระโจมไฟหรือประภาคารของทหารเรือ มีค่าไม่ต่างเข็มทิศขาวเรือ…ไป เดินไปดูเรื่อยๆ ดีดว่า คืนนี้ต้องหาผู้หญิงนอนด้วยแล้ว เปี๊ยกหาไว้คนนึงนะ”

“ดูก่อน”

พอย่างก้าวเข้าชมเหล่านางงามสำนักแรกกลางไม้ป่าเดียวกันยืนชมอยู่ ๔-๕ นาย เราทั้งคู่ได้ตกเป็นเป้าสายตาทันที เรื่องนี้ผมเขื่อว่าชาติสมิงอย่างรุณทตาแดงต้องรู้ ทว่าเขาทำเหมือนไม่เห็น แม้กระทั่งอากัปกิริยา ๒ ในมวลนางงาม ๗ นางที่พอปะหน้าเขาถึงกับหน้าซีดสลดนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาด้วย วิมานกลางทะเลมีอยู่ ๑๐ สำนัก ถูกเรา ๒ คนตระเวนชมมาแล้ว ๙ สำนัก โดยรุณยังไม่ปักใจเลือกนางใด จึงมีเพียงสำนักเดียวที่ปลูกเป็นบ้านไม้หลังใหญ่มีรั้วไม้ไผ่กั่นเป็นขอบเขต บอกถึงฐานะผู้ประกอบการไม่ย่อยนักเบื้องหน้าขณะนี้

“ใครเป็นเจ้าของที่นี่?” ผมอยากรู้

“ของพี่ชายเรา มีเด็กเจ๋งๆ ทั้งนั้น เท่าที่รู้แต่ก่อนหาอย่างต่ำประตูละสามร้อยถึงห้าร้อย”

คำแจงเพื่อนผมรับรู้ไปอย่างนั้น เพราะกำลังห่วงในสิ่งที่ยังไม่เกิด คือ ผมเกรงรุณจะเลือก ‘เด็ก’ ที่อยู่ใต้อาณัติของพี่ชายไปนอน อันเป็นสิ่งที่นักเที่ยวไม่นิยมประพฤติทำนองนั้น และเมื่อเรา ๒ คนเดินไปที่ประตูติดโคมสีเขียว ก็ปรากฏเสียงทักทายขึ้นก่อน

“สวัสดีครับ พี่รุณ”

รุณผงกศีรษะให้ ๑ ใน ๒ วัยรุ่นเชียร์แขกอันมีทุกสำนัก ผมเองบัดนี้เสมือนการ์ดของเพื่อนเริ่มรู้สึกใจเต้นแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พยายามระงับงำไว้ เราผ่านลานดินปนทรายที่ถูกกวาดจนเตียนไปยังใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ดังกล่าวกลางแสงไฟสว่างจ้า ที่นี่จัดเป็นห้องโถงติดกระจกใสทั้งด้านหน้ากับด้านข้างทั้ง ๓ ด้าน ภายในห้องมีนางงามไม่ต่ำกว่า ๒๐ อนงค์นั่งบนม้ายาวในท่าต่างกัน แต่ละนางล้วนสวมใส่อาภรณ์สั้นจู๋ ติดเบอร์ตัวเลขอารบิกที่หน้าอกเบื้องซ้าย

มองสาวพลางชำเลืองมองรอบตัวที่ตั้งม้าหิน ม้ายาว พบสายตาคมวาวคู่หนึ่งจ้องเขม็งมายังเราแล้วรีบหลบวูบ รุณเข้าไปยืนเกือบติดกระจกชมสาวพลางแตะแขนผมพร้อมบอกใกล้หู

“เปี๊ยก มองคนขาวที่สุดกับสวยที่สุดและเด็กที่สุดให้ดูสักคนซิ”

ผมรีบออกตัวทันควัน “เรื่องแบบนี้สุดแต่สเป๊กใครสเป๊กมัน รุณควรเลือกเองเป็นดีที่สุด”

“เบอร์หนึ่งนั่นเป็นยังไง?” รุณเผยไต๋ที่เก็บไว้

ก็คงไม่ต้องตอบกระมังว่าคนระดับ “เจ้าพ่อ” ซึ่งคลุกคลีอยู่กับเนื้อกายผู้หญิงมาเป็นร้อยๆ นางจะเลือกสาวไม่เป็นสับปะรด เนื่องจากสาว “เบอร์หนึ่ง” ที่เพื่อนบอกผิวปานหยกเนื้อดี เป็นเด็กสาววัยไม่เกิน ๑๘ ปี สวยเหมือนสาวลูกครึ่งฝรั่ง ส่วนนัยน์ตาดำขลับขณะเห็นช้อนขึ้นมองเพื่อนสาวสูงวัยกว่าพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาว ยืนพิจารณาสาวน้อยอยู่นานจึงให้คำตอบเขา

“ตานายถึง”

“ถ้าหยั่งงั้นคืนนี้เบอร์หนึ่งนั่นเราจอง”รุณลั่นคำเข้ม “แล้วเปี๊ยกล่ะมองพบหรือยัง?”

ผมแสร้งตอบ “ถูกสเป๊กอยู่คนเดียว นายก็จองเสียแล้ว”

รุณหัวเราะชอบใจ แต่ผมไม่ค่อยจะสุขนัก เพราะเพื่อนอาจก่อสิ่งที่พี่ชายไม่พอใจขึ้น รุณละจากผมไปที่เคาร์เตอร์แคชเชียร์หนุ่มซึ่งนั่งยิ้มกว้างต้อนรับทั้งพนมมือไหว้ ปากทักทายเสียงดังชัดเจน

“สวัสดี พี่รุณ มีอะไรให้ผมรับใช้ได้เชิญเลยพี่”

คำว่า ‘พี่รุณ’ ต้องศักดิ์สิทธิ์สำหรับที่นี่เกินฐานะน้องชายเจ้าของวิมานกาม จึงสังเกตพบแววตาลุกลนจากแคชเชียร์วัยรุ่นน้องขณะต้อนรับเพื่อน เสียงรุณบอกแคชเชียร์ดังแว่วๆ

“พี่ต้องการเบอร์หนึ่งหลังเที่ยงคืนแล้ว เอ็งช่วยจัดการหน่อย…เท่าไหร่วะ?”

“หลังสองยามแล้วตามราคา ‘อีแหม่ม’ สองพันพี่”

“มึงเอาไปสองพันห้าเลย”

รุณจัดการนับธนบัตรยื่นส่งให้แคชเชียร์พร้อมกำชับหนักแน่น

“สองยามครึ่งเอ็งพา ‘อีแหม่ม’ ไปหาพี่ที่บังกะโลหลังเล็กนะ”

“ครับ พี่รุณ”

นักเลงปืนผิวนิลกลับมาลากแขนผมไปยืนที่หน้าตู้กระจกอีกครั้ง โดยพยายามลุ้นให้ผมเลือกใครก็ได้สักคนเป็นเพื่อนนอนคืนนี้ แต่ผมยืนกรานจะขอพิสูจน์ในค่นพรุ่งนี้ รุณจึงลดละความตั้งใจ

ออกจากแหล่งวิมานกาม รุณเดินนำออกห่างจากบ้านเรือนทุกทีก็ชักสงสัย จวบกระทั่งห่างบ้านเรือนหมู่บ้านสลักเพชรลิบๆ จึงพบว่าบริเวณพื้นที่แถบนี้คงเป็นหัวแหลม ซึ่งมีก้อนหินใหญ่เล็กตั้งระเกะระกะ เหนือหาดขึ้นไปราว ๑๐๐ เมตรมีศาลอันบัดนี้แดงโร่จากไฟธูปนับร้อยก้าน

“ศาลอะไร?” ผมถาม

“ศาลเจ้าพ่อสลักเพชร ทุกคืนพวกผู้หญิงหาเงินจะจุดธูปจากบ้านเดินมาบนบานขอให้ขาย ‘เนื้อ’ คืนนี้ได้มากประตูที่สุด”

ความประหลานใจเมื่อเห็นสาวๆ ถือธูปเดินเป็นแถวที่ผ่านมากระจ่าง ณ บัดนี้ รุณก้าวนำไปหยุดที่โขดหินใหญ่ มองคลื่นใหญ่เล็กไล่โถมกระแทกหินผาเสียงซู่ซ่าฟองขาวฟ่อง พลัน!….เสียงสุนัขเห่ากรรโชกสนั่นหู เรา ๒ คนสะดุ้งสุดตัวหันขวับไปที่โขดหินใหญ่ที่มาของเสียงเดรัจฉานชาติ พบเงาตะคุ่มๆ ๓ เงายืนจังก้า ครู่เดียวไฟฉายขนาด ๕ ท่อนพุ่งจ้าใส่เราทั้งคู่เหมือนเจตนา รุณรีบยกท่อนแขนซ้ายบัง มือขวาตะปบซอกเอวซ้าย เสียงขึ้นลำปืนไม่ต่ำกว่า ๓ กระบอกสะกดเอาอดีตเจ้าพ่อยืนนิ่งขึง ผมเองพยายามกวาดตามองรอบตัวโดยไม่เคลื่อนไหวส่วนอื่น

เงาตะคุ่มๆ ๓ เงาก้าวลงจากโขดหินอย่างช้าๆ ปากกระบอกปืนซึ่งเห็นชัดเจนขณะนี้ทั้ง ๓ กระบอกล้วนเป็นเอ็ม-๑๖ จ่อยังเราทั้งคู่เขม็ง ขณะเดียวกัน เหนือหาดขึ้นไปอันเป็นป่ารกครื้มปรากฏสุนัขพันธุ์อัลเชเชี่ยนสูงขนาดเอวถูกชายร่างใหญ่ในชุดกลมกลืนความมืดถือโซ่เหล็กรั้งคอมันไว้ให้วิ่งเข้าหาเราช้าลง จวบทั้ง ๔ ชายชุดดำพร้อมสุนัขลงมาเผชิญหน้าระยะประชิด เอ็ม-๑๖ ทั้ง ๓ กระบอกยังจ้องเราเป็นเป้า รุณยืดอกถามเสียงดัง

“พวกนายเล่นอะไรกัน ทำเอาขวัญหายหมด”

๔ ชายชุดดำหน้าตาเอาเรื่องตาเขียวใส่เพื่อนทันควัน รุณยิ้มพลางชี้ที่ปืน

“พวกนายขึ้นลำไว้แล้ว ระวังหน่อย”

๑ ใน ๓ ร่างสูงใหญ่คำรามลั่น “ไอ้ชาติหมา ปากดีนัก”

เสียงหนึ่งแผดสนั่นปานฟ้าผ่า “เฮ้ย อย่า!”

ร่างใหญ่กระตุกยึก รุณยืนจังก้ากัดฟันกรอดกราดตามองทุกคน กระทั่งหยุดที่ไอ้หนุ่มชุดดำร่างใหญ่ หลดดำชัด

“มึงน่ะมันใหญ่แต่ตัว ถ้าใจใหญ่ ดวลกับกูตรงนี้เลย”

น้ำคำเพื่อนล้วนเผ็ดจี๋ แต่น่าประหลาดที่ทั้ง ๔ คนนิ่งเงียบ ชายร่างใหญ่ที่จูงสุนัขอยู่กล่าวเสียงดัง

“พวกเราขอโทษนายรุณด้วย แต่แรกนึกว่าเป็นคนอื่น เลิกแล้วต่อกันนะ”

รุณได้แต่ยืนพยักหน้าหงึกๆ ส่วนตาควกริบยังจ้องดูการล่าถอยของชายชุดดำอย่างสงบ

สุริยัน ศักดิ์ไธสง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: