3824. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 23 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 23 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

บ่ายโขแล้ว ฝนเริ่มขาดเม็ด แต่สภาพทะเลเบื้องหน้ายังอึมครึมเนื่องจากเมฆฝนหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์จนไม่อาจสาดสู่โลกได้ รุณสูบบุหรี่จัด กินเบียร์เก่งปานท้องอูฐ มิหนำซ้ำยังใช้ห้องน้ำบรรเทาทุกข์ครั้งเดียวราวกับน้ำเมรัยระเหยได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนบุคคลที่เราคอยอันได้แก่ “ไต๋” เรือที่จะนำเรือพาเราข้ามทะเลไปเกาะช้าง จนปานนี้ยังไม่เห็นวี่แวว ช่วงที่รอคอยดังกล่าวจึงไม่ต่ำกว่า ๒ ครั้งที่รุณเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือตน พักหนึ่งจึงขยับร่าง ดีดก้นบุหรี่ปลิวหวือลงทะเล พึมพำพอได้ยิน

“แปลก…มันเกิดโจรสลัดปล้นเรือขึ้นได้อย่างไร ก่อนนั้นไม่เคยมี”

ผมอดใคร่รู้ไม่ได้ “รุณหมายความถึงสลัดที่พวกชาวเรือที่ท่านั้นกลัวไช่ไหม?”

อดีตเจ้าพ่อเขาหวายผงกศีรษะรับแทนตอบ ทั้งกล่าวเสริมหนักแน่น

“ก่อนนั้นมีแต่ปล้นเอาของ ไม่เคยปล้นยึดเรือ ทุกคนรู้ว่าเรือเป็นเครื่องมือหากิน ไม่ทำถึงขนาดตัดมือตีนแน่…เอาเถอะ ถึงสลักเพชรคงรู้ทั้งหมด”

สิ้นคำเพื่อน ปรากฏรถโดยสารเล็กบรรทุกผู้โดยสารแน่นขนัดกับโหนอยู่ท้ายรถเต็มเอี๊ยดจนหน้ารถแหงนหยุดจอด ผู้โดยสารหนุ่มวัย ๒๐ เศษ ๓ นายโดดลงจากรถ ๑ ใน ๓ หันกลับปีนขึ้นหลังคาคว้าถุงอาหารแห้ง ถุงแป้งมัน ปี๊บนำ้มันก๊าด กระสอบบรรจุหมูสดครึ่งตัว ทั้งไก่สด เนื้อสด พืชผักห่อมัดอย่างดีส่งให้อีก ๒ หนุ่มรับไปวางไว้ริมทางเปียกชื้นฝน

“ดูเหมือน ๓ คนนั่นเป็นลูกน้องพี่ชายเรา” รุณบอก และเสริมด้วยสีหน้ายินดี “มันจะต้องซื้อของทั้งหมดนั่นไปที่เกาะ เออ…เปี๊ยกนั่งคอยเราสักครู่นะ”

ร่างกายยำสันทัดผิวนิลในชุดรัดกุมสวมทับด้วยแจ๊กเก็ตฟีลด์แลคล้ายทหารป่าลุกจากเก้าอี้ก้าวย่างร่างตรงแน่วออกจากซีฟู้ดริมทะเลดิ่งไปหา ๒ หนุ่มที่กำลังตรวจเช็กสรรพอาหารสดอยู่ พอรุณ ตาแดงเข้าไปได้ระยะ ๑ ในกลุ่มเงยหน้าขึ้นพบรุณเข้าก็รีบยกมือวันทาทันควัน ผมรู้สึกพ้นทุกข์จากการรอคอยลง ความหวังจะได้อำลาผืนแผ่นดินใหญ่ชั่วคราวไปแสวงโชคยังแผ่นดินเล็กๆ กลางทะเลจึงพอเห็นช่องถึงกระนั้นก็เพียงรู้สึกอุ่นใจ เพราะการสนทนาของเพื่อนกับ ๓ หนุ่มสมุนอดีตสลัดทะเลผู้พี่ชายไกลเกินภาครับทางรูหูสื่อได้

พักใหญ่รุณกลับมาที่โต๊ะทีท่ากระปรี้กระเปร่า นัยน์ตาใส บอกระคนยิ้ม

“หมดทรมานเสียที เดี๋ยวไปเรือของพี่ชายเรา”

จากนั้นเบียร์ที่เหลือติดครึ่งแก้วถูกรุณยกขึ้นกระดกวูบเดียวเกลี้ยงผมกวักมือเรียกบริกรสาวเซ็กบิลค่าสุราอาหาร พักเดียวเราก็สะพายถุงเป้เดินตาม ๓ หนุ่มที่แบกหิ้วข้าวของไปยังสะพานท่าเรือ จวบไปหยุดยังเรือประมงขนาดเล็ก ติดป้ายชื่อไว้ข้างลำเรือ

“จงอางสมุทร?!”

บนเรือประมงดังกล่าว ขณะ ๓ หนุ่มหอบหิ้วข้าวของไปถึงปรากฏชายร่างใหญ่ ผิวดำแดง ผมหยิกฟู ติดหนวดไว้ใต้จมูกเป็นกระจุกหนาเตอะ ท่อนบนเปลือย ส่วนท่อนล่างพันด้วยกางเกงขาก๊วยสีดำวัย ๔๐ ปีเศษจ้องตาเขม็งยังรุณ ตาแดงก่อนหลุดคำทักทายเสียงดัง

“สวัสดี นายรุณ”

“สวัสดี ไต๋เปีย” รุณตอบรับ “ดูยังกะหนุ่มๆ แน่ะ ขออาศัยเรือไปด้วยนะ”

“โดดมาเลย เมื่อวานซืนกำลังพูกกับนายไมถึงนายรุณอยู่ นายโทรเลขไปตามหรือยังไง?”

“เปล่า มาเที่ยว” รุณตอบพลางหันมาทางผม “ไป ลงเรือเถอะ”

พอเรา ๒ คนโจนขึ้นเรือ ไต๋เรือหนวดหินปราดเข้ามาสัมผัสมือกับรุณจากนั้นเพื่อนได้แนะนำผมให้รู้จักผู้สูงวัยกว่าจึงกระทำคารวะ

“สวัสดีครับไต๋เปีย ผมชื่อเปี๊ยกครับ”

ไต๋ทะเลฉวัดตามองผม ยิ้มกว้างดังหมายโชว์ฟันทองบริเวณเขื่อนหน้าด้านบนเหลืองอร่าม ทั้งยื่นมือมาขอสัมผัส

“สวัสดีครับ คุณเปี๊ยก”

เมื่อทักทายวิสาสะกันตามธรรมเนียมไทยแล้ว ผู้อาวุโสกว่าชักชวนไปยังท้ายเรือพร้อมนำถุงเป้สัมภาระของเราไปไว้บนเก๋งเรือ ผมเลี่ยงไปยืนรับลมท้ายเรือ แต่พอได้ยินเสียงไต๋เปียบอกเล่าถึงสภาพความเปลี่ยนแปลงยังจุดหมายปลายทางแว่วๆ ว่า ทุกวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ของเถื่อน คนเถื่อน และอาวุธเถื่อนไม่รู้มันทะลักเข้ามาได้อย่างไร ทุกท่าเทียบเรือตั้งแต่เมืองชล เช่นที่หาดจอมเทียน บางละมุง บางพระ สัตหีบ ระยอง กับเสม็ด ล้วนมีสินค้าผิดกฏหมายทะลักขึ้นฝั่งวันหนึ่งๆ เป็น ร้อยๆ ตัน แถบจันทบุรีจรดจังหวัดตราด บ้านปากน้ำแหลมสิงห์ แหลมงอบ เกาะช้าง คลองใหญ่ ทุกท่าคือ “ตลาด” อันนักค้าของหนีภาษีสามารถมาประมูลซื้อและขนเข้ากรุงเทพฯ อย่างเสรี คำบอกไต๋เปียหากเป็นจริงย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงกระนั้นฐานะอย่างผมแม้นทราบเรื่องราวนั่นเกิดขึ้นจริงก็ได้แต่รู้ไว้ว่า บัดนี้แผ่นดินไทยแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกเป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลที่ปลอดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแตะต้อง

การสนทนาของทั้งคู่เงียบลง ผมเหลียวไปมองซึ่งเป็นขณะเดียวกับรุณโผล่ออกมาเรียก

“เปี๊ยก ในเก๋งเรือมีฝิ่น ไต่เปียคอเก่าชวน”

ผมรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เอาดีกว่า เราไม่คุ้มทะเล จะทำให้เมาคลื่นหนักเข้าไปอีก…เชิญตามสบาย”

นักเลงปืนผิวนิลผลุบหน้ากลับไป บนสะพานท่าเรือ ๓ หนุ่มช่วยกันแบกหิ้วเสบียงกระเพาะลงเรือเรียบร้อย ปราดไปเปิดฝากกระติกสีเขียวใบใหญ่ดื่มกิน ไต๋เปียตะโกนเสียงดังจากเก๋งเรือ

“มีใครอยู่บ้างโว้ย?”

“ไอ้ปั่นครับไต๋”

“แก้เชือกเรือเลย”

ไอ้ปั่น ๑ ใน ๓ หนุ่มซึ่งท่าทางปราดเปรียวกระโจนขึ้นไปบนสะพานกุลีกุจอแก้เชือกที่ผูกไว้กับเสาสะพานออก จากนั้นจึงโผนลงเรือไปถือพังงาแทนไต๋เปียลูกพี่อย่างคล่องแคล่ว เรือประมงเล็ก “จงอางสมุทร” เบนหัวออกทะเลท่ามกลางกลิ่นฝิ่นโชยมากับกระแสลมเปียกชื้นระคนคาวทะเล ยืนพิงกราบเรือชมระลอกคลื่นยามตะวันลาพลบ หมู่ปลาแหวกว่ายทวนคลื่นโชว์เกล็ดขาวปลาบปานเงินสุกก็รู้สึกปลอดโปร่งเนื้อตัวอันอิ่มน้ำเมรัยขึ้น พาหนะทางทะเลชื่อน่าพรั่นพุ่งหัวเรือตัดคลื่นแหวกเป็นร่องในอัตราเร็วขึ้นเมฆฝนถูกลมบนพัดพาไปทางทิศตะวันออก เกาะเล็กเกาะน้อยผุดเด่นทอดระยะห่างกันพอเหมาะราวธรรมชาติกำหนด ในชีวิตผมมิเคยร่อนเร่ทางทะเลเยี่ยงนี้มาก่อนก็รู้สึกได้ในบัดนี้ว่าได้พบโลกใหม่แล้ว

จงอางสมุทรพาเราห่างแผ่นดินจนเห็นเป็นขอบสีเทาเข้มเริ่มปรากฏแสงไฟผุดพราวขึ้นเป็นจุดๆ ๒ ใน ๓ หนุ่มคงหมดกิจอื่นนอนแผ่หลากับพื้นเรือรางครึ่งชั่วโมง รุณได้ออกมายังท้ายเรือ บอกเสียงดัง

“อีก ๑ ชั่วโมงถึงจะเข้าสลักเพชร ขึ้นไปเอนหลังบนเก๋งเรือเถอะ”

“นายน่ะแหละควรจะพักผ่อน เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน” ผมว่า

เพื่อนส่ายหน้าไปมา มือหนึ่งยื่นมาจับแขนผม ปากบอก “เราดึงฝิ่นทีไรมักมีแต่เรื่องคิด ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องมาคิด”

ผมสบช่องหยั่งความคิดเพื่อน “ขณะนี้ล่ะ นายคิดอะไร?”

เพื่อนตอบทันควัน “ตอนนี้ไม่ได้คิด เพราะมีคำถามที่เราอยากรู้ที่สลักเพชร”

“บอกได้ไหม?”

อดีตเจ้าพ่อเขาหวายหันมองหน้า ผมแจง “เราได้ยินไต๋เปียเล่าเรื่องขบวนการค้าอาวุธสงคราม สินค้าเถื่อน คนเถื่อน แล้วอดมีคำถามไม่ได้เหมือนกัน…ก็เลยถามดูว่าจะคิดตรงกันหรือเปล่า”

รุณตีแขนผมเบาๆ บอกเรียบๆ “เรากำลังสงสัยว่า เรื่องที่ไต๋เปียพูดน่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทหารเรือ ตำรวจน้ำ ตำรวจบก และศุลกากรเป็นโขยงหายไปไหน…และที่เป็นห่วงที่สุดคือ พี่ชายเราร่วมขบวนกับเขาด้วยหรือเปล่า? พื้นที่ชายฝั่งจังหวัดตราดนี่ เท่าที่รู้มีผู้ใหญ่ชากับพี่ชายเราคุ้มครองอยู่”

“เราคงได้คำตอบเมื่อไปถึงที่นั่น”

รุณแปรยสีหน้าครุ่นคิด “เปี๊ยกกับเราอาจไม่ได้พักผ่อนเหมือนที่ตั้งใจไว้”

“นายเกรงพี่ชายจะเข้าร่วมขบวนการด้วยหรือ?”

“เราห่วง ไม่อยากให้เข้าไปร่วม คดีติดตัวก็ตั้งหลายคดี ลูกเมียก็มีแล้ว”

จากสีหน้าน้ำเสียงของรูณ ตาแดง ส่อว่าเขามีเจตนาไม่อยากให้พี่ชายเข้าร่วมธุรกิจเถื่อนจริงๆ อันต่างกับนิสัยเดิมซึ่งแทบไม่แคร์ใคร แม้แต่เด็กชายซึ่งเป็นลูกของเขาเอง ดังนั้นการที่เพื่อนพัฒนาการจิตใจจนสามารถเปิดคำเผยสำนึกส่วนดีออกมาก็อดปลื้มไม่ได้

หลังจากนั้นรุณได้ชวนกลับไปที่เก๋งเรือขณะไต๋เปียอารมณ์ดีฮัมเพลงรักของศรคีรี ศรีประจวบ กล่อม ๓ หนุ่มลูกเรือที่ทอดร่างอยู่บนกองผ้าใบกรนแข่งเสียงเครื่องยนต์เรือ

“เสียงเข้าท่าเหมือนกันนะไต๋” รุณบอก

ไต๋ทะเลสูงวัยได้ท่าคุยเสริมปนหัวเราะ “สงกราน์ที่อ่าวช่อเมื่อ ๒๐ ปีก่อนก็เคยคว้าถ้วยมาแล้ว ขอคุยหน่อยเถอะวะ”

ลูกเล่นไต๋ทะเลวัยกว่า ๔๐ ปี เจ้าของหนวดหนาเตอะส่งผลให้รุณกับผมร่วมขบขันไปด้วย

“อีก ๔๐ นาทีก็คงเห็นแสงไฟบนเกาะ” ไต๋เปียบอกเสียงดัง และเสริม “ได้ข่าวจากพวกตังเกบอกคืนนี้จะมี ‘เทพธิดา’ ประตูละพันมาโชว์ ถ้าพวกนายยังฟิตลองประเดิมดูก็ได้…หยั่งนายรุณคงลดครึ่งราคา”

จบคำไต๋เปียระเบิดเสียงหัวเราะร่าเป็นที่ครึกครื้นโต้เสียงคลื่นลมกลางม่านราตรีคลุมไปทั่วผืนน้ำ รุณแค่หันมายิ้มกับผมก่อนทิ้งร่างนอนตะแคงหันหน้ามองทะเล ส่วนผมนั่งพิงเสามองตามแสงไฟหน้าเก๋งที่พุ่งสว่างจ้านำร่องอย่างเลื่อนลอย

เวลาผ่านไปจนรู้สึกหนังตาจะปิดให้ได้ กลับปรากฏเสียงโหวกเหวกของไต๋เปียจากหัวเรือก็ขยับขึ้นนั่ง พบดวงไฟพราวอยู่กลางม่านมืดก็เอื้อมไปจับแขนรุณเขย่าพลางก้มลงบอกใกล้หูเขา

“รุณ-รุณ เรือจะถึงเกาะแล้ว”

เจ้าของผิวนิลพลิกร่างกลับ ใช้สองแขนยันตัวเองลุกขึ้นนั่งท่าทีงัวเงียครู่เดียวจึงจ้องตาเขม็งฝ่าความมืดไปยังดวงไฟเล็กๆ เบื้องหน้า ต่อมาไต๋เปียได้กลับขึ้นมาคุมพังงาเรือเพื่อเทียบท่าอันแสงสปอตไลท์ฉายให้เห็นสะพานไม้ทอดยาวลงทะเลซึ่งมีเรือประมงเล็กใหญ่จอดเทียบติดต่อกันเป็นพวงล้วนติดไฟไว้ทุกลำ จงอางสมุทรลดความเร็ว รุณกับผมลุกขึ้นคว้าถุงเป้อดกจากเก๋งไปยืนเกาะกราบเรือซึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้าเทียบท่าอย่างนุ่มนวล

“ขอบใจมากครับไต๋” รุณป้องปากบอก

“ไม่เป็นไรนายรุณ ขอให้คืนนี้มีโชคก็แล้วกัน”

จากนั้นเรา ๒ คนก็กระโจนขึ้นสะพานไม้อันชาวเรือส่วนใหญ่ยังทำกิจ เช่น เติมน้ำแข็ง น้ำจืด น้ำมัน บ้างกำลังแต่งตัว บนสะพานไม้นั่นก็มีตังเกหนุ่มนั่งยืน บ้างจับกลุ่มเฮฮาโดยข้างกายตั้งขวดสุรากับแกล้ม บางวงตั้งบ้องล่อกัญชาแหกปากร้องเพลงเป็นที่ครึกครื้น พอรุณกับผมเดินผ่าน สรรพเสียงนั่นพลันเงียบกริบจึงเอะใจหันไปมองพบตังเกเหล่านั้นจ้องมาที่เราเป็นจุดเดียว เหล่านี้คงมาจากรุณ ตาแดงปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นเอง สำหรับที่นี่รุณไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเขาก่อวีรเวรอันใดบ้าง ซึ่งคาดว่าคงไม่ยิ่งหย่อนกว่าพี่ชายของเขา จึงต้องใช้สันดานช่างสังเกตแยกแยะมิตรศัตรูอยู่ในอก

เดินสะพายถุงเป้ไปสุดคอสะพานกลางแสงไฟฟ้าที่ประดับไว้ตามร้านค้าสว่างนวล รุณชี้ไปที่เรือนไม้หลังใหญ่ที่เปิดเป็นร้านค้าจำหน่ายสุราอาหารและน้ำมัน

“นั่นแหละบ้านพี่ชายเรา”

“ไม่แวะก่อนหรือ?”

“เดินดูอะไรหน่อย ที่นี่เปลี่ยนไปมาก”

แต่แล้วความตั้งใจของเขาก็ต้องชะงักงัน เมื่อชายหุ่นเตี้ยล่ำ ผิวคล้ำ วัยฉกรรจ์ ก้าวพรวดๆ ทีท่าเร่งร้อนเข้ามายกมือไหว้ กล่าวเสียงดังสำเนียงอีสาน

“พี่ไมให้มาเชิญพี่รุณไปพบ แกรออยู่ที่เรือนหลังเล็กครับ”

อีหนนี้รุณหันมามองผม ตีหน้าเหลอ ผมเองก็ประหลาดใจกับการข่าวอดีตสลัดทะเลหลวงม จึงออกปากหนุน

“ไปหาแก่ก่อนเถอะ”

รุณสะบัดหน้าไปทางหนุ่มทรงมะขามข้อเดียววิบหนึ่ง ก็ก้าวนำไปยังร้านจำหน่ายสรรพสุราอาหารซึ่งมีชาวเรือใช้บริการอยู่ ๒ โต๊ะ ทว่าที่โถงใหญ่กลางร้านกลับมิได้ตั้งโต๊ะอาหาร มีเพียงเสื่อผืนใหญ่ปูไว้ ณ ที่นั่นตั้งวงไฮโล ๒ วงกับไพ่ป๊อกอีก ๑ วง ทุกวงมีนักเสี่ยงโชครายล้อมจนมองไม่เห็นเจ้ามือ เมื่อเรา ๒ คนเดินผ่านหน้าร้าน สิ่งที่พบเป็นนัยน์ตาของนักพนันลอบมอง บ้างซุบซิบกัน พอพ้นเขตร้านถึงลานกว้างตั้งถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร รุณเลี้ยวขวาลงทางเดินสะพานไม้แคบๆ ที่สว่างแค่สลัวก็พบบังกะโลหลังเล็กกะทัดรัดเปิดไฟด้านหน้าไว้ดวงเดียว

พลัน…เสียงสุนัขเห่ากรรโชกสนั่นหู ครู่เดียวบานหน้าต่างด้านหน้าบังกะโลถูกผลักเปิด ร่างตะคุ่มๆ เปลือยท่อนบนโผล่ออกมา

“รุณหรือ?” เจ้าบ้านถามเสียงห้าวใหญ่

“ผมเอง”

“มากับใครวะ?”

“เพื่อนจากกรุงเทพฯ”

เจ้าของร่างตรงหน้าต่างเห็นไม่ชัดเจนเงียบไป ผมชักใจไม่ดี กระทั่งเจ้าบ้านบอกเสียงห้าวห้วนๆ

“ขึ้นมาสิ…ไอ้ดม มึงไปได้”

หนุ่มฉกรรจ์มัคคุเทศก์ ‘ดม’ หันหลังกลับเดินจากไปเงียบๆ รุณก้าวนำไปขึ้นบันไดบังกะโล ขณะเดียวกันไฟฟ้าตรงระเบียงถูกเปิดขึ้นอีกดวง ก็ปะหนุ่มใหญ่หุ่นทรงมะขามข้อเดียว ผิวนิล ผมสั้นเกรียน วัย ๔๐ ปีเศษ ยืนยิ้มกว้างต้อนรับ

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อัธพานครองเมือง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: