3823. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 22 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 22 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ต่อมารุณกับผมได้กลับขึ้นเรือนท่ามกลางญาติๆ ครูม่วงยังหลับสนิทเหมือนเดิม จึงพยายามเดินให้เกิดเสียงเบาที่สุด ระหว่างจุดธูปเทียนลงคุกเข่าพนมมือต่อหน้าศพครูพรครูนักสู้อันกลิ่นน้ำเหลืองยังอวลอยู่ทั่วตัวเรือน ผมเห็นรุณทำปากขมุบขมิบปิดตาพริ้ม ไม่ทราบเขากล่าวกับดวงวิญญาณครูพรเช่นไร พอก้มลงกราบอำลาและถอนตัวยืนเต็มร่าง เสียงไก่บ้านขันเจื้อยแจ้วรับขานกันแล้ว ผมตัดใจก้าวเข้าไปหาครูสาวขณะยืนที่ระเบียง ดูเหมือนสาวเจ้ารู้การมาของผม เอ่ยปากเสียงกังวานนุ่มทั้งๆ ที่ไม่หันมอง

“นึกว่าม่วงจะไม่ได้อวยชัยให้พรคุณเสียอีก”

“ผมมาแล้วนี่ครับ”

หญิงสาวหันขวับมาเผชิญหน้าก่อนชำเลืองไปทางรุณ ตาแดงซึ่งลงบันไดไปหา ๒ สมุน ตรงเข้าบ่อนสถานที่เกิดเหตุฆ่ากันเมื่อตอน ๒ ยาม จึงท้วงกับสาวเจ้าเบากริบ

“ไหนล่ะครับคำอวยพร?”

ครูสาวรีบหลบสายตาผม บอกเสียงรัว “ม่วงขอให้คุณเปี๊ยกจงเดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ น้ำใจของคุณในคืนนี้ม่วงจะจำไว้”

“ผมเช่นกันครับ”

“ม่วงคงไม่ไปส่งนะะ”

“ขอลาอีกครั้ง คุณม่วง”

หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม กล่าวไม่เต็มเสียงนัก “ฟ้าสางแล้ว อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเปี๊ยก”

และแล้ววาจาอันนักเลงนิรนามเคยกล่าวถึงชีวิต ‘คนเที่ยว’ มีฟ้าแทนมุ้ง โรงแรมแทนบ้าน ร้านอาหารแทนครัว และหญิงโสเภณีแทนเมียนั้น ขณะนี้เมื่อนำมาเปรียบกับเรื่องราวที่เกิดกับผมบนเส้นทางสายนี้นับว่าใกล้เคียง

สายลมใกล้รุ่งกรรโชกกรูเข้ามาทางหน้าต่างรถบรรเทาร้อนทรวงเพราะจากสาวตรงสเป๊กใจมาหมาดๆ ดังนั้นนับจากกลับขึ้นรถผมเป็นฝ่ายปิดปากให้เพื่อนระบายความอัดอั้นตันใจ รวมทั้งเผยถึงยุทธวิธีล่าสังหารเสี่ยกิมอย่างเปิดใจ

รุณบอกนับแต่ทราบข่าวครูพรถูกยิงเสียชีวิต เขาแทบไม่เชื่อว่ามันจะเกิด ด้วยครูพรผู้นี้แหละที่พยายามส่งเสริมสนับสนุนเขามาแต่ยังเรียนประถมต้นดังได้กล่าวแล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวเขาจึงทิ้งกิจทั้งมวลมุ่งยังบ้านครูผู้เคราะห์ร้าย ก็ได้รับคำยืนยันจากลูกสาวว่า ผู้ที่ลอบสังหารบิดาคือเสือธมกับลูกน้องอันเขาเคยประกาศห้ามผู้ใดแตะต้อง นั่นแล้วที่แค้นอดีตเจ้าพ่อเขาหวายหมดความอดทน

“เกือบจะตี ๑ อยู่แล้วที่เราได้จังหวะยิงมัน และที่ไม่ใช้ระเบิดก็เพราะมีเพื่อนนายอยู่ในกลุ่มด้วย” รุณสรุป

มาสด้าปิกอัพคันเดิมวิ่งโคลงเคลงไปบนถนนลูกรังสายวังหิน-แม่พิมพ์ ได้อีกพักหนึ่ง ผมเริ่มจำสถานที่บางแห่งที่ผ่านตาได้บ้าง ก็เดาเอาว่าอีกราว ๓-๔ กม.รถคงออกปากทางบ้านวังหินเข้าเส้นทางสุขุมวิท ซึ่งก็ถูกต้อง รุณพุ่งรถข้ามเลนเข้าสู่เส้นทางสุขุมวิทกลางความเงียบอันคล้ายกับมีรถของเราวิ่งอยู่บนถนนคันเดียว นอกรถทางฝั่งที่ผมนั่งขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มจางจากสีเทาเข้ม พอรถเข้าเขตสามย่าน เมืองแกลง รุณชะลอรถเข้าจอดยังหน้าร้านค้าโต้รุ่ง

“ซื้อของหรือ?” ผมถาม

รุณยิ้มฟันขาวบอกระคนหัวเราะ “เปรี้ยวปากว่ะ เมื่อคืนเราไม่ได้แตะสักหยด กลัวยิงพลาด”

จบคำเพื่อนหมุนกระจกรถฝั่งตัวเองลง พร้อมยื่นธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท ๒ ฉบับให้สมุนบนกระบะ ปากสั่งความเสียงดัง

“กลิ้งโว้ย ลงไปซื้อเบียร์เย็นๆ ๒ ขวด บุหรี่ ๒ ซอง เหลือนอกนั้นซื้อเหล้ากินซะ อากาศตอนรุ่งมันเย็น”

กลิ้งรับธนบัตรไปจัดการตามสั่ง พักเดียวก็หิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังกลับมาพลางส่งเบียร์กับบุหรี่ให้ รุณรับมาส่งให้ผมพร้อมหลอดเครื่องดื่ม ปากบอก

“ไม่มีแก้ว ต้องกิยแบบลูกทุ่ง”

“ไม่เป็นไร”

รุณยิ้มพลางก้มลงใช้หลอดดูดเบียร์ในขวดอย่างกระหายรวดเดียวครึ่งขวดจึงวางขวดพิงกับเบาะ ยกท่อนแขนซ้ายขึ้นปาดเช็ดปาก แล้วสตาร์ตเครื่องยนต์รถเคลื่อนจนกร้านค้าโต่รุ่งอย่าบกระเปรี้กระเปร่าประหนึ่งโด๊ปยาเทวดา

นอกจากตาสว่างแข็งขันแล้ว เพื่อนยังกล่าวเซิงแนะถึงสถานที่ที่เรากำลังมุ่งไปอีดครั้งซึ่งละเอียดกว่าว่า แหล่งหรือเป้าของเรามิได้อยู่ที่ตัวตลาดของเกาะช้าง แต่เป็นพื้นที่ด้านหลังของตัวเกาะ มีชัยภูมิทางทะเลคล้ายอ่าว บรรดาเรือประมงใหญ่เล็กยามหลบมรสุม หรือประสงค์น้ำจืดน้ำแข็งแช่ปลาตลอดไปถึงเสบียงก็ไม่จำเป็นต้องเหเรือเข้าฝั่ง ชาวเรือหลากหลายส่วนใหญ่จึงแวะพึ่งบริการจากอ่าวด้านหลังเกาะ ที่ชาวเกาะเรียก #สลักเพชร เดิมทีสลักเพชรสงบเงียบไม่พลุกพล่าน พอเสือไมพี่ชายรุณ ตาแดง หนีคดีที่ก่อขึ้นในป่าเขาวงเตลิดไปที่นั่น และรวมสมัครพรรคพวกใหม่ตั้งแก๊งสลัด โดยใช้เรือยนต์เร็วเป็นพาหนะปล้นเรือประมง เรือสินค้า ตลอดทั้งรับจ้างบรรทุกสินค้าเถื่อนคนเถื่อนเข้าประเทศจนสามารถปลูกบ้านหลังใหญ่ขึ้นเหนือหาดสลักเพชร เปิดบริการค้าน้ำมัน น้ำจืด กับน้ำแข็งเป็นฉากบังหน้า

เพียง ๓-๔ ปีเท่านั้น เสือไมได้เปลี่ยนโฉมหน้าเป็นคหบดีเจ้าของร้านค้า บ่อน โรงบิลเลียด และหญิงค้าประเวณี ถึงกระนั้นเสือก็มิได้ทิ้งลายเสียทีเดียว เสือไมยังปล่อยให้ลูกสมุนตระเวนปล้นไปทั่วอ่าวจรดอันดามัน

“ระยะหลังๆ นี่ เท่าที่รู้พี่ไมวางมือเรื่องปล้นเด็ดขาด ทำแต่ธุรกิจบนบกเช่นทุกวันนี้ก็เหลือกินแล้ว” รุณออกตัวให้พี่ชาย

“ทำไมรุณไม่ร่วมกับพี่ล่ะ?” ผมหนุนเพื่อน

“พี่น้องทำร่วมกันไม่ดี อีกอย่างถึงทำได้ก็คงเจ๊ง ชาวบ้านที่นั่นกลัวเราไปหมด”

ผมไม่ชักถามต่อ ตามองตามไฟหน้ารถ สมองคิด คิดว่าถ้าผมยังเคียงข้างเขา ผมจะทำให้ความกลัวกลายเป็นความเข้าใจ สงสาร ขอเพียงโอกาสกับจังหวะเอื้ออำนวย

รุณไปทำเหตุให้ชาวบ้านหวาดกลัวอย่างไรผมไม่ทราบ แต่การกลับไปครั้งนี้เขาครวจะเปลี่ยนนิสัยใจคอกับบุคลิกภาพเป็นฝ่ายเข้าหา เพราะหากเรื่องราวที่เขาเล่ามาเป็นความจริงทั้งหมด แผ่นดินท้ายเกาะนั่นแล้วที่คนอย่างเขาควรปักหลักทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฏหมาย นั่นฝันเผลินจนไม่ได้สังเกตว่าถูกเพื่อนลอบมองกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอนึกขึ้นได้รีบหันไปก็ปะเอานัยน์ตาแดงเรื่อจ้องมองอยู่ก่อน เลยยิ้มเคอะเขินใจพูดไม่ออก

“คิดถึงครูม่วงหรือ?” รุณถามยิ้มๆ

ผมยิ้มลูกเดียว รุณรุกต่อ “ล่ำลาครูบ้างหรือเปล่า?”

“ลา..”

“แล้วรู้สึกยังไง ไม่ตอบก็ได้นะ”

“เศร้าใจพอสมควร”

“คิดจะปักหลักหรือเปล่าล่ะ เราช่วยได้เหมือนกันนะ”

“อย่าเลย ครูม่วงไม่เหมาะกับโจรหรอก”

รุณคล้ายชอบใจคำตอบถึงกับหัวเราะร่า มือซ้ายตบบ่าผมเบาๆ ทั้งเสริมเสียงนุ่ม

“ผู้หญิงสวยเหมือนดอกไม้งาม ผึ้งเถื่อนหยั่งพวกเรามันควรคู่กับดอกไม้ในซ่อง”

ผมนึกขำในทรวงที่ปะสำนวนเสือภูธรดังกล่าว เพราะภาษานั่นไม่ว่าพูดจริงหรือสำนวนล้วนน่าฟังสำหรับสตรีเพศอย่างยิ่ง ดูเหมือนเพิ่งจะคราวนี้เองที่เพื่อนกล่าวยอย่องผู้หญิง อันตรบข้ามกับพฤติกรรมที่ผ่านมา ครับ มนุษย์มีสมองที่พร้อมพัฒนาการกว่าสัตว์อื่น รุณ ตาแดงซึ่งแต่แรกแลโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งกับศัตรูและผู้หญิง มาขณะนี้เขาพูดถึงผู้หญิงด้วยสุ้มเสียงสุภาพและให้เกียรติ ก็พอมั่นใจได้ว่า วันต่อๆ ไปเพื่อนอาจลดราฤทธิ์เดชลงตามสภาพวัยกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา ทุกวันนี้ความคิดกับความรู้สึกดังกล่าวกำลังก่อตัวขึ้นในจิตใจผมบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสหรือเวลาพิสูจน์ว่า นอกจากก่อกรรมเลวแล้ว กรรมดีผมก็ทำได้เหมือนปุถุชนทั่วไป โดยขอเพียงคนของรัฐส่งเสริมให้โอกาสแทนใช้อำนาจเยี่ยงยุคโบราณบ้าง

ฟ้าสว่างแล้ว นาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลาใกล้ ๗ โมงเช้า พาหนะของเราผ่านเข้าตลาดเทศบาลเมืองจันทบุรีท่ามกลางยานพาหนะผู้คนพลุกพล่าน รุณเทียบรถยังหน้าร้านค้า ปากเปิดคำสั้นๆ

“แวะซื้อเบียร์อีก ๒ ขวด เครื่องกำลังเดิน”

ยังไม่ทันหมุนกระจกลง กลิ้งซึ่งโดดลงจากกระบะรถก่อนปราดไปหาลูกพี่ด้วยใบหน้าแดงซ่านจากฤทธิ์สุรา

“จะซื้ออะไรพี่?”

รุณผลักประตูรถเปิดออกไป ปากถามประโยคแรก “เหล้าหมดหรือยังวะ?”

“เหลืออีกครึ่งนึง…แหม ถ้าหมดขวดตูดหนักแน่พี่”

ลูกพี่หัวเราะชอบใจขณะส่งธนบัตร ‘ช้างแดง’ ๒ ใบให้ กลิ้งหันกลับก้าวลิ่วไปยังร้านค้าทำกิจตามบัญชา ผมผลักประตูฝั่งตัวเองเปิดแล้วจุดบุหรี่สูบ รุณเหลือบมอง ผมถาม

“สักมวนมัย?”

“เดี๋ยวก่อน คอกำลังแห้ง”

กลิ่งกลับมาที่รถพร้อมข้าวของเต็มมือเหมือนเดิม รุณรีบรับเบียร์ทั้ง ๒ ขวดส่งให้ผม

“เหลือเศษๆ ผมซื้อไก่ย่างกับลิโพมาผสมเหล้าแล้วนะพี่…ไม่ไหวบาดคอน่าดู”

รุณดึงประตูรถเปิด กลิ่งรีบโจนขึ้นกระบะ มาสด้าปิกอัพคันเดิมหมุนวงล้อบ่ายหน้าสู่ปลายทางถนนสุขุมวิทยังเมืองตราดจังหวัดชายแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา ณ บัดนี้

๑๐.๒๐ น. มาสด้าปิกอัพของเราถึงยังชายทะเลซึ่งมีป้ายระบุ “แหลมงอบ” ก็ไม่ได้ถามเพื่อน รุณขับรถไปบนถนนเลียบชายฝั่งทะเลอีกราว ๕๐ เมตร ก็ชี้ไปเบื้องหน้าลิบๆ

“ดูสิ ฟ้าดำทะมึนเลย ถ้าเราข้ามไปเกาะช่วงนี้จะไม่ปลอดภัย อาจเจอทั้งฝนทั้งลม หาข้าวปลากินกันก่อนดีกว่า”

พูดเองเออเองเสร็จก็ขับเคลื่อนรถไปตามถนนเลียบชายฝั่งอันสองข้างทางมีสถานที่รับฝากรถและร้านอาหารประเภทซีฟูด รถเข็นกับแผงลอยตั้งบริการนับสิบ กลิ่นคาวทะเลเริ่มฉุนจัด ฟ้าดำทะมึนปรากฏสายฟ้าสีส้มฉีกประกายวูบวับ สักครู่จึงเกิดเสียงครืนๆ

“ฝนตกแน่ แวะร้านข้างหน้านะ” รุณบอก

“สุดแต่นายเถอะ”

และแล้วพาหนะของเราก็เสือกหัวเข้ายังลานจอดรถร้านอาหาร ‘ชลธี’ ซึ่งปลูกสร้างเป็นเรือนไม้หลังย่อมริมทะเล พอรถจอดสนิทพนักงานสาวประจำร้านชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนปราดออกมาพนมมือไหว้ ยิ้มหวานจ๋อย บอกเสียงใส

“เชิญข้างในเลยค่ะ”

ในที่สุดร้านอาหารทะเล ‘ชลธี’ ของแหลมงอบก็เป็นครัวของเรา เหล้าเบียร์พร้อมสรรพอาหารแกล้มเหล้าทยอยนำเสิร์ฟ รุณซึ่งล่อเบียร์อยู่ในรถพร้อมทำหน้าที่โซเฟอร์กระดกเบียร์เหยือกแรกเกือบครึ่งแล้วจุดบุหรีอัดควันเข้าปอดจนแก้มตอบ ภายในร้านกว่า ๑๐ โต๊ะ มีเรา ๔ คนเท่านั้นใช้บริการ

ลมยิ่งกรรโชกแรงขึ้นทุกขณะ ท้องทะเลปรากฏคลื่นใหญ่เล็กถาโถมเข้าหาฝั่งครืนๆ พนักงานขาย ๒ นายกำลังช่วยกันปลดมู่ลี่ป้องกันฝนสาดมาทางโต๊ะเรา เรือประมงนับสิบมุ่งหน้าเข้าหาฝั่ง พักเด้ียวฝนตกจั้กๆ ปานฟ้ารั่วผสานเสียงคำรามครืนๆ แล้วผ่าเปรี้ยงสนั่นหู กระแสลมพัดอู้หอบละอองกระเซ็นเข้ามาถึงพวกเราจนได้ ทว่ารุณ จอน กลิ้น ทั้ง ๓ คนดูเหมือนไม่ไยดีกับธรรรมชาติกราดเกรี้ยวเอาแต่ดื่มกิน จึงพยายามประคองตัวเองมิให้ติดลมโดยดื่มแต่น้อยหวังเป็นหลักให้เพื่อน กระทั่งโต๊ะตั้งเหล้าเป็นที่วางขวดเบียร์เต็มไปหมด บ่ายโมงเศษกระแสลมอ่อนลง ฝนเริ่มปรอย รุณลุกออกจากร้านอาหารเดินฝ่าสายฝนพรำลงไปที่สะพานเรืออันเป็นสะพานไม้ทอดยาวลงทะเลและหยุดคุยกับเจ้าของเรือประมงลำหนึ่ง ครู่เดียวได้กลับมาบอก

“ไม่มีเรือวิ่งเข้าสลักเพชร มันกลัวถูกปล้น”

“เหมาไปไม่ได้หรือพี่?” จอนแนะ

ได้ แต่ต้องคอยลูกพี่มัน พวกนี้ไม่กล้าเข้าสลักเพชรหรอก”

กลิ้งซึ้งแลอ้ำอึ้งหลุดปากบ้าง “พี่รุณน่าจะให้ผมกับไอ้จอนไปด้วย”

รุณส่ายหน้าบอกเสียงเข้ม “มึง ๒ คนเอารถไปไว้ใช้เถอะ ดัดแปลงเป็นสองแถววิ่งรับคนไปก่อน พี่ไปพักผ่อนไม่นานก็กลับ”

บ่าย ๒ โมงตรง รุณมอบกุญแจรถให้ ๒ สมุนขับกลับระยองโดยไม่นำพาคำวิงวอน ๒ หนุ่มที่ใคร่ตามไปด้วยก็อดแปลกใจไม่ได้ แต่พอทั้งคู่ลาจากไป รุณบอกเสียงกังวาน

“พี่ชายเราสั่งห้ามพาคนระยองไปที่นั่น”

อยากถามอีกประโยคถึงสาเหตุว่า “เพราะอะไร?” แต่ระงับใจไว้ทัน

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก คมแฝก

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: