3822. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 21 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 21 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ทั้ง ๔ ชายฉกรรจ์ดูเหมือนคนหนึ่งหุ่นสูงกำยำ ใบหน้าสี่เหลี่ยม วัย ๓๐ ปี ติดหนวดเรียวเข้มใต้จมูกชวนสะดุดตา เหล่มองผมตั้งแต่ก้าวขึ้นสุดขั้นบันไดและปราดมาหา พลางเสียบปืนสั้นขนาด ๑๑ ม.ม. เข้าซอกเอวซ้าย ปากบอกเสียงดัง

“เจอกันอีกแล้ว”

ผมยืนงง นึกไม่ออกว่าเคยพบปะกับไอ้หนวดงามที่ไหนบ้าง ระหว่างยืนสงบปากอีก ๓ หนุ่มเดินตึงๆ ไปยังห้องนอนครูสาวราวถนน ครูม่วงซึ่งจับตามองตามแต่ขึ้นเรือนท้วงเสียงกังวาน

“นั่นห้องนอนฉัน ‘เสือ’ อย่างพี่รุณไม่เข้าไปซ่อนหรอก”

พับผ่าเถอะ…เห็นสงบหงิบแลสุขุม ทว่าไม่น่าเชื่อที่ปากนั้นปานมีดโกนซึ่งส่งผลให้ ๓ หนุ่มแต่งกายรัดกุมเบรกตีนกึก หันขวับกลับมาทางเราด้วยใบหน้าปั้นยาก

“เฮ้ย…เอาอะไรกับปากผู้หญิงวะ” ไอ้หนวดหนุน

หญิงสาวได้ทีสอดคำฉะฉาน “บ้านมีอยู่หลังแค่นี้ ห้องนอนก็มีอยู่ห้องเดียวเท่านั้น ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นใครกันแน่?”

ครานี้ไอ้หนวดหันมาตวาดเอากับเธอทันที “คุณน่ะหยุดปากได้แล้ว”

ผมอดปากไม่อยู่ สอดหมับ “ในที่สุดคุณก็มาลงกับผู้หญิงจนได้”

ไอ้หนวดถลึงตาวาวใส่ผม “มึงอีกคน ที่ปล่อยออกมาจากป่าน่ะเพราะพี่แดงคนเดียว”

คำพูดมันฟ้องชัดเพิ่งมาจากป่าดังที่รุณ ตาแดงบอกแต่แรก ถึงกระนั้นก็ไม่ชัดเจนว่ากลุ่มที่มานี่เป็นกลุ่มไหนกัน อย่างไรก็ตาม การที่มันเอ่ยถึงเพื่อนเก่า “แดง แหว่ง” หัวหน้าทีมมือปืนกลุ่มสิงห์ป่าซุง ย่อมเป็นเครื่องประกันระดับหนึ่งว่ามันไม่กล้าทำร้ายผมแน่ จึงโต้กลับ

“เรื่องนี้มึงไม่เกี่ยว และที่กูค้านเพราะมึงระรานผู้หญิง”

ไอ้หนวดทำหนวดกระดิก กัดฟันกรอด ตาชำเลืองมอง ๑๑ ม.ม. ที่ผมเสียบติดเอวอยู่ ผมเสริมคำต่อ

“เราผู้ชายด้วยกัน ดีชั่วก็ขอให้อยู่ในหมู่เรา ทุกคนมาที่นี่ต้องการตัวนายรุณ เมื่อไม่พบนายรุณก็แล้วกันไป แต่อย่างน้อยควรเคารพสถานที่บ้างทุกคนต่างก็เห็นว่ายังตั้งศพอยู่คาบ้าน จึงเป็นธรรมดาที่ครูม่วงเจ้าของบ้านจะต้องโมโหหรือโกรธ”

“ไม่ฟังโวัย ไอ้พวกกรุงเทพฯ” ไอ้หนวดสรุปเสียงดังพลางหันไปสั่ง ๓ สมุน “พวกมึงลงไปค้นที่อื่นให้ทั่ว”

๓ หนุ่มแต่งกายรัดกุมยังไม่วายทำท่าไม่พอใจก่อนลงจากเรือน ไอ้หนวดมองหน้าเรา ๒ คนวูบหนึ่ง บอกเสียงดัง

“ขอโทษที่เสียมารยาท”

สิ้นคำมันผละลงจากเรือนทันที ผมซึ่งตกอยู่ในสภาพกดดันเป่าลมออกจากปากจนครูสาวหันมอง จึงยิ้มให้ ตาไพล่มองไอ้หนวดเดินผ่านลานบ้านข้ามไปยังอีกฟากหนึ่ง ครู่เดียวครูสาวสะกิดแขนบอกเสียงกระเส่า “ดูที่ปากทางโน่น มีคนมาอีกค่ะ”

จริงของเธอ ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านปรากฏกลุ่มคนตะคุ่มๆ ประมาณ ๔ คน คนหนึ่งส่องไฟฉายนำทางวูบวาบ เท่าที่สังเกตในระยะสายตาเอื้อ ๒ ใน ๔ หนีบปืนยาวไว้ใต้รักแร้ จึงออกปาก

“ลงไปข้างล่างเถอะครับ”

หญิงสาวยังจ้องตาแน่วยังกลุ่มคนดังกล่าว ได้แต่ส่ายหน้าหน้าบอกเสียงเบาลง “ม่วงว่าอย่าลงไปดีกว่า ตอนนี้ยังไม่รู้ใครเป็นใคร”

“อย่างน้อยผมควรลงไปต้อนรับเขานะครับ”

“ม่วงว่าอย่าเลย เมื่อกี้ก็เกือบทำให้คุณเดือดร้อนแล้วค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ หากเดือดร้อนเพื่อความถูกต้อง”

จบคำผมไม่ฟังเธอมีข้อเสนออื่นอีก รีบผละจากโดยไม่ลืมยกมือกระทำคารวะดวงวิญญาณครูยอดนักสู้ในโลงทองกลางบ้านเอาชัย มิทันสุดขั้นบันไดก็ปรากฏเสียงเอะอะโวยวายมาจากโรงเรือนสถานที่ตั้งบ่อนเถื่อน เสียงใสๆ ครูสาวดังมาจากระเบียง

“คุณเปี๊ยก….”

ผมหันหน้าขึ้นมองขณะที่เสียงเอะอะกับเสียงวัตถุล้มครืนโครมดังสนั่นหู พลันผมเห็นไอ้หนวดกระชับปืนสั้นโผนลิ่วไปยังที่เกิดเหตุตามด้วยอีก ๓ สมุน แต่แล้วเสียงปืนก็แผดลั่นขึ้นกลางเสียงอึกทึก

ปัง! ปัง! ปัง!

อีทีนี้ผมเส้นกระตุกยึกทำอะไรไม่ถูก ห่วงคนที่ตนจะต้องพิทักษ์ก็ห่วงอยากรู้เรื่องที่เกิดเบื้องหน้าก็อยาก เลยไม่ไปหน้ามาหลัง กระทั่งมือนุ่มแตะบริเวณท่อนแขนขวาเบาๆ ระคนเสียงใสบอกความตื่นเต้น

“ไปดูเถอะคุณ สงสัยชาวบ้านถูกยิง”

น้ำคำของเธอทำเอาต้องมองหน้า ก็พบนัยน์ตาดำขลับประกายวาวส่อความอาจหาญผิดวิสัยหญิง

“ม่วงห่างชาวบ้าน ห้ามได้ก็จะห้าม”

เมื่อเธอประสงค์ตรงกับใจ ผมหันกลับก้าวลิ่วนำครูบ้านนอกไปยังสถานที่ตั้งบ่อน บัดนี้มีนักพนันกว่า ๑๐ คนออกไปจับกลุ่มอยู่ข้างกองฟางสูงท่วมหัว แสงไฟตะเกียงเจ้าพายุดวงเดียวที่แขวนอยู่หน้าบ่อนใส้แดงคล้ายใกล้หมดลม สภาพทั่วไปจึงรางเลือน โดยเฉพาะภายในสถานที่ตั้งบ่อนขณะไปถึงมีถ้วยจานชามแตกกระจายเกลื่อน ผู้คนภายในบ่อนกว่า ๑๐ นายและนางยืนหน้าซีดเผือดปานหุ่น ทุกดวงตามองยังร่างที่นอนหงายเลือดแดงฉานเต็มทรวงอก ตาเบิกโพลง

“ใครทำเขา?” เสียงกังวานใสดังขึ้นในความเงียบ

เงียบกริบอีกครั้ง ไอ้หนวดอันขณะนี้ยืนสงบเฉยอยู่กลางกลุ่มบริวาร ๑๐ คนลอบชำเลืองมองผม เสียงฝีเท้าคนหลายคนดังจากภายนอก ตรู่เดียวชายจีนร่างอ้วนกลมผิวขาวผ่องวัย ๔๐ ปีเศษก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน นอกจากนั้นยังมีชายฉกรรจ์อีก ๓ คนตามมาสมทบ ๑ ใน ๓ คือ “แดง แหว่ง” นักเลงปืนค่ายสิงห์ป่าซุงของหลงจู๊เส็งนั่นเอง การพบกันครั้งนี้เราเพียงสบตากัน….

ชายจีนหุ่นเสี่ยพอได้เห็นคนนอนหงายเหยียดยาวโชกเลือดเบิกตาโพลงถึงกับหน้าเสีย ถามสุ้มเสียงไทยปนจีนเสียงห้าวใหญ่

“ใครยิงเขาวะ?”

ไม่มีใครรับสมอ้างเป็นผู้ลั่นกระสุนสังหาร เสี่ยที่ผมยังไม่รู้จักนามกราดตามองทุกคนก่อนมาหยุดที่ครูสาว พลางเปิดยิ้มกว้าง ทั้งยังก้มศีรษะให้อีก

“สวัสดีครับครูม่วง”

ครูสาวข้างกายกลับมิได้พนมมทอไหว้ด้วยท่วงท่างดงามตามวัยวุฒิ เธอเพียงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่คนตาย บอกน้ำเสียงนอบน้อบ

“เสี่ยช่วยกรุณาหาคนยิงให้ดิฉันได้ไหมคะ?”

“อ้าว…” เสี่ยแสร้งร้องเสียงหลง “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ใครยิง ครูม่วงก็เห็นผมเพิ่งจะมาถึง มากัน ๓-๔ คนแค่นี้”

เสี่ยใหญ่เล่นเล่ห์ปัดความรับผิดชอบ ทำเอาผมชักจะกลั้นไม่อยู่ แต่ครูสาวร้อนแรงกว่า ชี้กราดยังกลุ่มไอ้หนวด

“แล้วพวกนี้เป็นใคร ถ้าไม่ได้มากับเสี่ย”

“เฮ้ย…” ไอ้หนวดโวย “ครูอย่าชี้ซุ่ย เห็นใครยิงก็ระบุตัวไปเลย เอาสิทุกคนในนี้ใครเห็นว่าใครยิงชี้ตัวมาเลย”

ชาวบ้านชายหญิงซึ่งเพิ่งเป็นนักพนันเอาในงานศพกลับยืนนิ่งขึงปิดปากตัวเองสนิท ครูม่วงหันรีหันขวาง ผมชำเลืองไปทางเพื่อนเก่าผู้ให้ชีวิตได้ยังหายใจอยู่ขณะนี้ พบเพื่อนส่ง “ซิก” ด้วยวิธีกะพริบตาให้ผมสงวนท่าทีไว้ จวบครูสาวเลือดพ่อกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ม่วงเป็นเด็กกว่า ไม่ต้องการแนะนำ ‘ผู้ใหญ่’ ว่าอะไรควรกลัวหรือไม่ควรกลัว…เชิญจัดการกันเองเถอะ”

โดยไม่รั้งรอ หญิงสาวด่วนเดินหนีโดยมีกลุ่มผู้หญิงนักพนันตามไป ๒ คน ผมเองไม่ใช่พระเอกในนิยาย ได้แต่ยืนปลงเมื่อบรรดานักพนันพากันละจากที่เกิดเหตุจนเกลี้ยง นั่นแหละที่แดง แหว่งละจากกลุ่มเสี่ยมาหา จึงรีบออกตัว

“เจอกันอีกจนได้ใช่ไหม”

เจ้าของปากแหว่งจากของมีคนยิ้มขรึม บอกเสียงเบาหวิว

“คนที่จะฆ่าคนด้วยระเบิดได้ดีเยี่ยมแถบนี้มีไอ้รุณคนเดียว ทุกฝ่ายตั้งค่าหัวมันไว้แล้ว”

“เราคงพูดอะไรไม่ได้” ผมว่า

“ไม่เป็นไร…เอาละ เราไปนะ”

“แล้วคนตายนั่นล่ะ?” ผมถาม แต่หูคล้ายไม่ได้ยินเสียงตัวเอง

“เปี๊ยกต้องทำใจ ลาก่อนเพื่อน”

ผมรีบรั้งไว้ “เดี๋ยว แดง”

“มีอะไรหรือ”

“นั่นเสี่ยกิมใช่ไหม?” ผมพยายามใช้เสียงเบาที่สุด

“ใช่ มันเป็นเพื่อนกับเจ้านายเรา”

“ขอบใจ”

ผมบอกได้แค่นั้น ทั้งๆ ที่มีเจตนาเตือนเขามิให้ร่วมทางไปกับเสี่ยกิม ในคืนนี้ ซึ่งผมเชื่อว่ารุณ ตาแดงจะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง จวบทั้งหมดจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งผมให้ใช้เสื่อรำแพงปิดคลุมซากร่างคละคลุ้งคาวเลือดป้องกันอุจาดตาไว้ ซึ่งพอดีกับแสงไฟตะเกียงเจ้าพายุมอดดับก็ทำเอาขนลุกเกรียวฉับพลัน

“ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ”

หันมองรอบตัวในความมืด บัดนี้ดูเหมือนจะมีผมผู้เดียวที่ยังอยู่ในที่เกิดเหตุ อีกพักหนึ่งจึงกลับไปยังเรือนพักที่ตั้งศพครูพร พบบนชานเรือนมีชาวบ้านชายหญิง ๕-๖ คน นั่งับกลุ่มมองมาที่ผมด้วยสีหน้าซึมเศร้า ก็เลี่ยงไปยืนเกาะราวระเบียงอีกด้านหนึ่ง นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาตี ๑ แล้ว บรรดาเพื่อนบ้านและญาติครูสาวเริ่มเคลื่อนไหวปูเสื่อปูที่นอนยังชานเรือนดังประสงค์ให้ครูสาวอุ่นใจยิ่งขึ้น ทว่ามิทันทุกคนได้หลับนอนก็ปรากฏเสียงสุนัขเห่าหอนขึ้นกลางรัตติกาลสงัดเงียบฟังดูโหยหวนชอบกล ต่อมาสุนัขภายในคุ้มอีกนับสิบเริ่มเห่าหอนรับกันเกลียว จากแสงเดือนที่สาดแสงส่องผมเห็นเงาตะคุ่มๆ ของมันชูคอหอนสลอน พลัน! เสียงหนึ่งลั่นดังเปรี๊ยะ!? ผมสะดุ้งเฮือก ครูม่วงกับญาติที่จับกลุ่มอยู่กลางชานเรือนกรูกันมาหาหน้าตาตื่น ครู่เดียวกลิ่นศพฉุนกึกตลบคลุ้งไปทั้งเรือน หญิงชาวบ้านวัย ๓๐ ปีเศษชี้ไปที่โรงศพ

“เสียงเหมือนโลกแตก!”

อีทีนี้ผมตกอยู่กลางวงล้อมทุกคนทันที แต่พยายามควบคุมสติไม่พรั่นไหวกับสภาพการณ์เบื้องหน้า และปลอบ

“ไม่มีอะไรหรอก คนตายท่านไปเป็นสุขหมดสิ้นกรรมแล้ว ที่เกิดเสียงเมื่อกี้เป็นเพราะสภาพศพพองอืดขึ้นดันโลงจนปริ ช่วยกันจุดธูปหลายๆ ดอกปักไว้เหนือลมเถอะครับ”

ผมไม่แนะอย่างเดียว แต่นำทำเพื่อเสริมความมั่นใจให้ทุกคนบนเรือน โดยพยายามกลั้นใจสกัดกลิ่นศพไปคว้าธูปเทียนที่วางอยู่หน้าศพอันขณะนี้ใต้โลงทองที่ครอบไว้ปรากฏน้ำเหลืองไหลเยิ้ม พอแจกธูปช่วยกันจุดบรรเทากลิ่นเสร็จ ผมจัดการเปิดหน้าต่างทุกบานรับลม ซึ่งพอดับกลิ่นลงบ้าง จากนั้นก็ลงไปคว้าถาดจากใต้ถุนขึ้นมา ๒ ใบ แล้วนำไปสอดใต้โลงรองรับน้ำเหลือง

“ตอนสว่างครูม่วงต้องให้คนไปรับสัปเหร่อมาทำ หรือไม่ก็เปลี่ยนโลงใหม่” ผมแนะ

“ค่ะ คิดอยู่เหมือนกันค่ะ”

“ถ้าอย่างงั้นพักผ่อนกันเถอะ” ผมเสนอ

หลายคนสั่นหน้า นางผู้เป็นญาติวัย ๔๐ ปีเศษผินหน้าไปทางครูสาวแนะทีท่าห่วยใย

“ม่วงไปนอนบ้านน้าก็ได้ ตอนสว่างค่อยมา”

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ บอกเสียงกังวาน “ม่วงไปไม่ได้หรอก พ่อยังอยู่ที่นี่”

ผมชำเลืองดูนาฬิกาบนข้อมือแขนซ้ายบัดนี้เวลาเฉียดตี ๒ แล้ว ความคิดที่จะหลับนอนเป็นอันเลิกได้ ทั้งสมองมันคิดสับสนไปหมด ยิ่งเวลาล่วงไปเท่าใดผมก็ยิ่งคล้ายเร่าร้อน เพราะเกิดความเป็นห่วงครูม่วงจะดำเนินการอย่างไรกับเรื่องคนถูกฆ่าตาย และศพบิดาที่ยังตั้งคาบ้านขณะนี้ เท่าที่มองเห็นจะหาผู้ใหญ่สักคนเป็นหลักเป็นแม่งานก็ทั้งยาก เวลาล่วงไปอีกหลายคนที่ปฏิเสธการหลับนอนตอนที่ผมแนะล้วนเอนกันบ้างแล้ว ส่วนผมกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงราวระเบียง ตาสว่างโพลง ธูปที่จุดปักไว้ดับกลิ่นมอดผมก็ลุกไปเปลี่ยน สาละวนอยู่หน้าศพเสร็จ ขณะเดินผ่านที่นอนญาติครูสาว เห็นแต่ละคนหลับสนิท ไม่เห็นสาวเจ้าร่วมอยู่ด้วยก็เผ่นผลุงไปที่บันได พบหญิงสาวถือขวดเบียร์กับแก้วเปล่าเดินยิ้มหวานขึ้นมาพอดี

“แหม ผมนึกว่าหายไปไหน?”

“ม่วงเห็นคุณนอนไม่หลับ เลยลงไปเอามาค่ะ”

“ขอบคูณครับ”

นับแต่นั้น ตรงระเบียงใกล้กับที่นอนนั่นแหละคือสถานที่นั่งดื่มน้ำเมรัยกลางกลิ่นน้ำเหลืองที่อวลอยู่รอบตัว ส่วนครูสาวกลับไปพักผ่อนอยู่กับญาติกลางเรือน ราวตี ๓ เศษ ผมกระดกเบียร์แก้วสุดท้ายแล้วลุกไปปลดตะเกียงเจ้าพายุลงมาสูบลมเพิ่มแสงสว่างจนเต็มจึงยกขึ้นแขวน ต่อมาก็กลับไปเก็บพับผ้าห่มหมอนมุ้งวางไว้มุมบ้าน ส่วนตัวชำเลืองมองครูสาวด้วยใจห่วงใยไม่หายไม่อยากจากก็จำจาก

ความคิดเตลิดเพราะต้องใจครูสาวอยู่พักหนึ่ง เสียงสุนัขเห่ากระชั้นดังขรมจึงพยายามเงี่ยหูฟัง จวบเสียงเห่ากรรโชกของสุนัขเพิ่มจำนวนขึ้นและใกล้เข้ามาจึงลุกขึ้นมองฝ่าความมืดไปทางปากทางเข้า เห็นเงาตะคุ่มๆ ของคน ๓ คน พอได้ระยะสายตา ผมจำหุ่นกับลักษณะการเดินของรุณ ตาแดงได้ จึงปราดลงบันไดไปรับทันที เมื่อปะหน้า เพื่อนถามประโยคแรก

“ที่นี่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”

“มี ถูกพวกนั้นยิงตาย ๑ ศพ”

“นึกแล้วต้องเกิดเรื่อง”

“แล้ว ‘งาน’ ของนายล่ะ?”

“เราใช้ไอ้นี่….ให้โคตรเสี่ยกิมก็อยู่ไม่ได้”

จบคำรุณหันไปทาง ๒ สมุนกลิ้งกับจอน จอนซึ่งถือปืนยาวไรเฟิลติดกล้องเล็งอยู่ยื่นปืนยิงสัตว์ให้ลูกพี่ เพื่อนเสริมสุ้มเสียงปกติ

“เราซุ่มยิงมันตอนออกจากบังกะโลไปขึ้นรถ ป่านนี้ตำรวจเต็มหาดแล้วไปเถอะ…อ้าว ครูม่วง”

ประโยคท้ายรุณกล่าวกับผู้ที่อยู่ด้านหลังซึ่งเป็นครูสาวกำลังเดินมาหา

“ผมเสียใจด้วยที่มีคนตายที่นี่”

หญิงสาวยิ้มเศร้า ริมฝีปากบางเปิดคำกังวาน “ไม่เป็นไรค่ะ ม่วงจัดการได้”

“ถ้าหยั่งงั้นพวกเราต้องขอลาครูม่วงเลยนะครับ”

พอครูสาวผินหน้ามาทางผมก็ต้องเปิดปากบ้าง “ผมต้องถือโอกาสลาครูด้วยครับ”

หญิงสาวรีบกระพุ่มมือไหว้ท่าทีนุ่มนวล ผมรับไหว้เธอทั้งๆ ที่ความรู้สึกลึกๆ แสนอาลัยเสียดาย และคงไม่มีโอกาสกับเวลาเช่นนี้อีกสำหรับชายพเนจร

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อัธพาน 2499

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: