3820. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 20 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 20 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
ด้วยความอาทรของ “ครูม่วง” ครูน้อยสาวสวยโรงเรียนวัดเขาชากโดนซึ่งผมมาทราบภายหลังค่ำคืนนี้ รุณ จอน กลิ้น และผมจึงได้รับประทานอาหารอันส่วนใหญ่มาจากทะเลจนอิ่มแปล้ พอละจากวงอาหารใต้ถุนเรือนซึ่งมีเหลืออยู่โต๊ะเดียวไปยืนอัดบุหรี่รับลมชมทิวไผ่ลู่ลม ก็ปรากฏเสียงกระแอมเบาๆ จากซากเกียนเก่าๆ จึงหันไปทางเสียงพบเงาตะคุ่มๆ ของรุณ ตาแดงนั่งอยู่ห่างราว ๗-๘ เมตรก็เข้าไปหา รุณขยับที่บนคานไม้ให้ ปากเชื้อเชิญ
“นั่งสิเปี๊ยก”
ผมยิ้มให้เพื่อนก่อนทิ้งก้นตามคำเชิญข้างกายเขาพลางอัดบุหรี่ที่เหลือติดก้น อดีตเจ้าพ่อคุ้มครองป่าทั้งป่านับหมื่นไร่มองหน้าผมเจือยิ้ม พอดับก้นบุหรี่ด้วยส้นเท้ามิทันเงยหน้าขึ้น เสียงเพื่อนบอกไม่ดังนัก
“เปี๊ยก จากช่วงนี้ถึงตี ๒ เรากับไอ้กลิ้งไอ้จอนจะดูแลทั่วไปเอง ตี ๒ ถึงสว่างนายดูแล”
ผมจ้องหน้าเขา ตาประสานนัยน์ตาแดงก่ำปานไฟก็ฉุกคิดในบัดนั้น รุณยังไม่ละเลิกไปหาเจ้าของจดหมายนิรนาม ณ หาดทรายทอง จึงถามเอาบ้าง
“นายจะไปตามนัดนั่นหรือเปล่า?”
“เราไปแน่ แต่ไม่ใช่ตามที่มันนัด เรื่องนี้เปี๊ยกต้องฟังเราด้วย”
“เรากำลังฟังอยู่”
รุณหัวเราะเบาๆ สุ้มเสียงมีความสุข ครู่หนึ่งเพื่อนกล่าวเป็นงานเป็นการ
“ผู้ที่มีจดหมายถึงเราคือกลุ่มเดียวกับที่เราแพ้มันในป่านั่นแหละ เป็นพวกนายทุนกลุ่มเสี่ยกิม มีกำนันเลี้ยงปากน้ำประแสเป็นหัวหน้า”
“อ้าว กำนันเลี้ยงไม่ ‘ชี้’ กับนายหรือ?”
“ไอ้นี่แหละศัตรูตัวร้าย ต่อหน้ามันดีกับเราทุกอย่าง เผลอเป็นลอบกัดพวกนี้บูชา ‘เงิน’ อย่างเดียว”
“แล้วยังไงอีก” ผมตามเรื่อง
ที่เราว่ากำนันเลี้ยงเพราะไอ้ธมเป็นมือตีนของมัน เมื่อเกิดเรื่องระเบิดขึ้น โดยมีคนที่มากินอาหารส่วนใหญ่เห็นเราอยู่ในร้าน ต่างก็ไปพูดกันทำนองนึกว่าเราถูกระเบิดมากกว่าไอ้ธม เพราะชาวบ้านตั้งแต่ท่ากวาดยันแม่พิมพ์สาปแช่งเรามานานแล้ว เมื่อข่าวจากปากหนึ่งต่ออีกปากหนึ่งลือว่าเราอยู่ในร้านที่เกิดเหตุด้วย พวกมันจึงเหมาเอาว่าต้องเป็นฝีมือเรา จึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาให้เรา เชื่อว่ามันต้องมีแผน
“แผนฆ่านายหรือ?”
“ไม่ฆ่าก็บีบให้เราไปจากระยอง”
“เรื่องนี้นายคาดหมายเอาเองหรือว่าจาก ‘สาย’ บอก?”
“เราเดาต้องเป็นพวกนี้”
“ถ้าผิดจากที่นายว่าล่ะ?”
“คงไม่ผิด เปี๊ยกคอยดู ถ้า ๕ ทุ่มเราไม่ไปตามนัดพวกมันต้องมาที่นี่”
“แล้วถ้ามันยกโขยงมาที่นี่ นายจะทำอย่างไร?”
“เราะไปก่อนมันมา ขืนอยู่ที่นี่บ้านครูพัง ศพครูคงไม่ได้เผา”
“อ้าว…” ผมร้องเมื่อเพื่อนตอบหน้าตาเฉย “แล้วเรากับพวกที่อยู่ที่นี่มิป่นหรือ”
“มันต้องการเราคนเดียว เรามี ‘ค่าหัว’ ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย ส่วนนายมันไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้าจนแต้มก็บอกเป็นแฟนครูม่วงมาจากกรุงเทพฯ”
“ลูกน้องนาย ๒ คนล่ะ?”
“ไอ้ ๒ คนนั่นมันไปกับเรา ไปรอพวกมันตอนกลับจากที่นี่ หากโชคเข้าข้างเรา ป่าเขาวงกับเขาชะเมาจะได้ไม่ฉิบหายเพราะไอ้พวกนี้”
“ครูม่วงล่ะ เธอไม่เดือดร้อนหรือ?”
“มันไม่กล้าฆ่าลูกอีกคนหรอก”
“ถ้าหยั่งงั้นทำไมรุณให้เราอยู่เป็นเพื่อนครูม่วง แต่นายกับลูกน้องไปเสี่ยง”
รุณไม่ตอบทันที คิ้วหนาขมวดมุ่น ครูหนึ่งค่อยกล่าวเสียงแน่น “เราอธิบายไม่ถูกว่ะ เอาเป็นว่าเราเห็นนายมีค่ากว่าไอ้พวกผลาญป่าห้าร้อยนั่น เสร็จเรื่องก่อนสว่างเราจะมารับแล้วไปเกาะช้างเลย…ตกลงนะ”
“ทางเลือกอื่นไม่มีแล้วใช่ไหม?”
“สำหรับเราคงไม่มีแล้ว ไม่ทำมันวันนี้ วันหนึ่งเราจะพลาด”
“ถึงยังไงเราก็ไม่ค่อยสบายใจเลย” ผมเปิดอก
รุณจับแขนผมไว้ ปากบอก “เปี๊ยก เพื่อนแบบนาย นอกจากชาญแล้วเรายังไม่เคยเห็น อย่ากังวลเลย เราไม่รบซึ่งหน้าหรอก”
จบคำเขาพลิกนาฬิกาข้อมือซ้ายขึ้นดี “๕ ทุ่มกว่าแล้ว เราไปก่อนนะถ้าพวกมันไม่มาที่นี่เราอาจกลับเร็วขึ้น”
“รุณ เราขอเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
“ได้เลย”
“ต่อไปนายกับเราจะทำร้ายคนต่อเมื่อมีเหตุสมควรได้ไหม?”
รุณ ตาแดงยื่นมือให้สัมผัสแทนตอบ ผมสัมผัสมือกับเพื่อนกระชับมั่น ความรู้สึกเป็นความชื่นทรวงครั้งแรกนับแต่ร่วมเสี่ยงโชคเส้นทางเดียวกันบัดนี้เอง
นักเลงปืนผิวนิลพาร่างสันทัดเพรียวผละจากผมไปยังเรือนที่ตั้งศพ ไปแวะพูดคุยกับครูสาวกำพร้าบิดาพร้อมมวญญาติ ครู่หนึ่งก็โฉบไปยังโรงเรือนเก่าๆ สถานที่ตั้งบ่อนเถื่อนเป็นเพื่อนศพ ไม่นานนักจึงกลับออกมาพร้อม ๒ สมุน ผมลุกจากเกวียนปราดไปหา
“เราไปก่อนนะ อย่างช้าตี ๔ จะมารับ”
“ขอโชคชัยจงเป็นของนาย”
๓ มือดีถิ่นกวีเอกสุนทรภู่เดินดุ่มๆ แลตะคุ่มๆ จากไปแล้ว ต่อมาจึงปรากฏเสียงเครื่องยนต์รถ แสงไฟวูบวับ ไม่นานนักหมู่บ้านกลางทุ่งอันโอบล้อมด้วยไผ่ตงหนาแน่นก็ยินแต่เสียงสัตว์กลางคืนระเบ็งแซ่วหู สักครู่ไฟฟ้าไฟนีออนที่ติดไว้ตามปากทางเข้าบ้านงานค่อยๆ หรี่ลงและดับวูบไปพร้อมกับเสียงเครื่องปั่นไฟที่ทำหน้าที่ไม่หยุดยั้งมาแต่แดดดับ ตะเกียงเจ้าพายุซึ่งติดแขวนไว้บนเรือนที่ตั้งศพกับบริเวณใต้ถุนและที่บ่อนมีเพียง ๓ ดวง ส่งผลให้สภาพทั่วไปสว่างเรื่อเรือง แม่ครัวที่มาช่วยงานต่างแยกย้ายพักผ่อนยังบ้านเรือนตนที่ปลูกในคุ้มเดียวกัน ยิ่งทำให้ความเงียบมาเยือนเร็วขึ้น บนตัวเรือนที่ตั้งศพถ้ามองจากที่ผมยืนอยู่สามารถเห็นครูม่วงกับญาติหญิงสูงวัยสาละวนทำกิจ ก็รู้สึกสมเพชเวทนาขึ้นมาวูบหนึ่ง เช่นทุกคราวที่พบเห็นเรื่องราวพลัดพราก ยืนตากลมอยู่อีกราวครู่ใหญ่ หญิงสาวเจ้าของงานลงจากเรือนพร้อมญาติหญิง ผมรีบก้าวยาวๆ ไปหา ทั้ง ๒ หญิงหันมาเห็นพากันรั้งรอ ครูสาวบัดนี้เปลี่ยนเสื้อนอกสีดำเป็นเสื้อยืดสีเทาอ่อนบอกเสียงใส
“ม่วงกับป้าแม้นจัดที่นอนให้คุณที่นอกชานแล้ว พักผ่อนตามสบายนะคะ…อ้อ คุณควรจะอาบน้ำด้วย วันนี้แขกเยอะกว่าวันแรก อากาศก็ร้อน ขันสบู่ผ้าเช็ดตัวม่วงวางไว้ข้างๆ ที่นอนค่ะ น้ำที่โอ่งหลังบ้านโน่นนะคะ”
ในความเงียบเช่นนี้ เสียงครูสาวกังวานแสนรื่นหูเหลือเกิน จึงตอบรับพร้อมกล่าวสนองน้ำใจเธอ
“ขอบพระคุณครับ”
“ถ้านอนไม่หลับ ม่วงแช่เบียร์ไว้ในตู้นั่นค่ะ”
คราวนี้ผมชำเลืองไปทางคุณป้าซึ่งยืนสงบเสงี่ยมข้างๆ ผู้สูงวัยรีบเสริมบ้าง
“ที่นี่บ้านนอก ไม่สะดวกเหมือนกรุงเทพฯ ตกค่ำก็เข้านอนเงียบ”
“ครับ”
“ม่วงขอตัวไปปอกมัพร้าวที่บ้านป้าสักพักค่ะ มะพร้าวแห้งทำแกงขาดค่ะ”
“เชิญครับ”
๒ ป้าหลานจากไปทางบ้านยกพื้นสูงฝั่งตรงข้ามซึ่งแสงตะเกียงเจ้าพายุส่องข้ามไปถึง ผมชักอยากอาบน้ำขึ้นมาจึงปฏิบัติตามคำแนะนำเจ้าบ้านสาวเมื่อเวลาล่วงเข้า ๒ ยามตรง ครึ่งคืนล่วงไปนานแล้ว แต่ผมกระวนกระวายใจนอนไม่หลับจนต้องตลบมุ้งขึ้นนั่งสูบบุหรี่แทน บังเอิญเห็นไฟตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนไว้บนขื่อหน้าที่ตั้งศพหรี่แสงลงคล้ายหมดลม จึงดับบุหรี่ลุกไปยกลงมาสูบลมจมให้ความสว่างดังเดิม
แขวนตะเกียงเสร็จ จมูกผมสัมผัสกลิ่นหอมคล้ายน้ำอบโชยมาตามลมจึงหันไปทางห้องครูม่วงซึ่งเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จและกลับเข้าห้อง พบเธอในชุดกางเกงขายาวกับเสื้อชุดนอนสีขาวเลยเซ่อพูดไม่ออก จวบเจ้าบ้านสาวเอ่ยขึ้นมาก่อนเสียงเบาแผ่วแต่ได้ยินชัดเจน
“ม่วงเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้สูบลมตะเกียง พอออกมาก็พบคุณเปี๊ยกสูบอยู่พอดี ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ตอบไปแล้วเพิ่งนึกได้ น่าจะพูดให้สวยกว่านี้
“นอนไม่หลับเหรอคะ หรือว่าคอยพี่รุณ?”
“อยากหลับครับ แต่สมองมันตื่นข่มให้สงบไม่ได้ครับ”
“ม่วงก็คล้ายๆ กับคุณ จิตใจว้าวุ่นหมด ไม่คิดว่าพ่อจะบุญน้อย”
ประโยคหลังนั้นน้ำเสียงเธอไม่วายสั่น ถึงคราผมควรจะปลอบจึงบอกเธอไป
“ผมเสียใจครับที่คนดีๆ จากไปเร็วเหลือเกิน”
หญิงสาวนิ้มเศร้า ก้าวช้าๆ ไปยืนที่ระเบียง ผมยืนกลืนน้ำลายฝืดๆ ป้อไม่ถูก ครูสาวยืนเกาะราวระเบียงสงบนิ่ง สายลมดึกพัดพลิ้วหอบเอากลิ่นน้ำอบยวนจมูก ก็ยิ่งสังเวชตัวเองที่ไม่อาจก่อไมตรีดั่งใจต้องการได้ จึงก้าวเบากริบไปนั่งบนที่นอน แต่สองตาไม่วายชำเลืองแลใจเต้นรัว
“พี่รุณบอกคุณเปี๊ยกอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่บ้านนอกแบบนี้ไม่เหงาบ้างหรือคะ?”
“ผมชอบครับ ดูสงบดี”
“สงบไม่จริงหรอกค่ะ” เธอค้านเสียงใส “ยังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยเอารัดเอาเปรียบทำลายความสงบสุขของชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา”
วาจาทั้งประโยคนั่นบาดใจผมแปลบปลาบเมื่อสื่อรู้กลุ่มคนที่เธอกล่าวก็คืนกลุ่มคนที่มีผมผู้หนึ่งพัวพันอยู่ด้วย ดังนั้น ความคิดที่จะชวนเธอคุยบรรเทาทุกข์ทั้งกายใจจึงระงับไว้เพื่อรับฟัง ซึ่งต่อมาอุทกวาจาครูสาวได้กังวานหูขึ้นตามคาด
“อัธยาศัยไมตรี ความดีงาม ความเอื้อเฟื้อแก่กันและกันในหมู่เราคนไทยนับวันอัตคัดขัดสนขึ้นทุกที ความดี-ความชั่วกำลังสับสน ไม่มีใครแยกแยะเพื่อปลุกเร้าเยาวชนไม่ให้ ‘ตามสมัย’ หลงระเริงดูแคลนบรรพบุรุษเป็น ‘คนโบราณ’ ม่วงเรียนอยู่กรุงเทพฯ หลายปีแต่แทบไม่รู้จักใครเลยก็ว่าได้ จนวันนี้ม่วงเรียนจบออกมาสอนเด็กกับตัวถึงรู้ว่สชาวบ้านกำลังสับสน ไม่มีที่พึ่งพ่อเป็นครู หน้าที่ครูของพ่อมิได้หมายความจะให้วิชาความรู้แก่ศิษย์อย่างเดียวพ่อรักความชอบธรรม เมื่อเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นในหมู่บ้านในตำบล พ่อก็ออกไปคัดค้าน แล้วท่านก็ถูกฆ่าตายสมกับคำที่เขาขู่”
“สักวันพวกนั้นจะต้องได้รับผมกรรมไม่ต่างกันนะครับ” ผมปลอบ
“ก็ได้รับไปบ้างแล้วไม่ใช่หรือคะ หยั่งเสือธมกับลูกน้อง”
“นั่งแหละครับ กฏแห่งกรรม”
หญิงสาวไหวกายหันเผชิญหน้าผมตรงๆ นัยน์ตาดำขยับจ้องยังผมดั่งหมายจับพิรุธบางอย่าง ผมยิ้มเปิดเผย ถามเสียงเบาลง
“คุณม่วงสงสัยอะไรหรือครับ?”
“เกรงเป็นการละลาบละล้วงค่ะ”
“แบบนี้ยิ่งทำให้ผมคิดมากนะครับ”
“ม่วงเพียงสงสัยค่ะ”
“เกี่ยวกับผม?”
“ค่ะ”
“ถามสิครับ ผมจะตอบเท่าที่ตอบได้”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ก่อนหลุดคำเบาโหวง “คุณเปี๊ยกเป็นมือปืนรับจ้างใช่ไหมคะ?
“ไม่ถึงขั้นนั้นครับ ถ้าเรียกนักแสวงโชคคงใกล้เคียงครับ”
“มีคนสงสัยกันว่าเสือธมกับลูกน้องถูกพี่รุณฆ่าด้วยระเบิด ม่วงถามพี่รุณแล้วเขาได้แต่หัวเราะ”
“ถามผม ผมก็คงได้แต่หัวเราะเหมือนกันครับ”
“ม่วงหวั่นเกิดการตามฆ่ากันอีก” บ่นมากกว่าบอก
พลัน…เสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่มรัตติกาล จากความที่ประสาทหูคุ้มเสียงรถของรุณ ตาแดง จึงทราบไม่ใช่รถเพื่อน คาดว่าเป็นรถปิกอัพไม่ต่ำกว่า ๒-๓ คัน
“พี่รุณมากระมังคะ”
“ไม่ใช่ครับ เสียงรถคนละยี่ห้อ ดูเหมือนมาไม่ต่ำกว่า ๒ คัน คงเป็นพวกสายตรวจ”
หญิงสาวชะเง้อมองจากระเบียงบ้านไปยังปากทางกลางความมืด ผมรีบลุกขึ้นยืนจ้องตาไปยังเป้าหมายเดียวกับเธอ ครู่เดียวปรากฏเงาตะคุ่มๆ ของคนหลายคนเคลื่อนไหวปานวิ่งมุ่งมาทางเรา อีก ๗-๘ คนแยกย้ายกันไปตามบ้านเรือนชาวบ้าน
“ใครกันครับ คุณม่วงพอรู้จักหน้าตาบ้างไหม?”
ครูสาวยืนเกาะราวระเบียงมองกลุ่มชายฉกรรจ์ ๔ คน ซึ่งแต่ละคนล้วนมีอาวุธปืนครบมือ พอทั้งกลุ่มก้าวมาถึงลานหน้าบ้านเห็นเรา ๒ คนจ้องมองอยู่ ๑ ใน ๔ ถามเสียงดัง
“นี่บ้านครูสมพรใช่ไหม?”
ผมรับตอบแทน “ใช่ครับ”
“คุณผู้หญิงนั่นชื่อครูม่วงหรือเปล่า?”
“ค่ะ ดิฉันชื่อม่วง” ตอบเสียงใส สีหน้าปกติ
“นายรุณมาเป็นเจ้าภาพงานของคุณ ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาไปไหน พวกเราหวังว่าครูคงบอกได้”
“เขาไปตั้งแต่ ๕ ทุ่มแล้วค่ะ”
“ผมขออนุญาตตรวจค้นสักครู่นะครับ”
ครูม่วงสะบัดหน้ามาทางผมเชิงขอความเห็น สถานะเช่นนี้ขืนแข็งขอไปก็รังแต่จะเข้าเนื้อ จึงตัดใจก้มลงบอกไป
“เชิญเลย”
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography