3819. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 19 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 19 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

คืนนี้ฟ้าสีดำผืนใหญ่ประดับเดือนดาวสุกปลั่ง ตลอดสองข้างทางถนนลูกรังสายวังหิน-แม่พิมพ์ว่างโหรงราวเส้นทางในป่า หมู่ไม้ใหญ่เล็กที่ยืนต้นอยู่สองฝั่งถนนอันส่วนใหญ่เป็นไม้โตตามธรรมชาติ บัดนี้ยามต้องแสงไฟหน้ารถแลมีแต่ฝุ่นลูกรังคละคลุ้งทอดยาวเป็นเป็นแถวดูครึ้มทั้งๆ ที่เวลาเพิ่งต้นราตรีเท่านั้น จวบรถวิ่งมาถึงวัดริมทางแห่งหนึ่ง รุณชั้ไปข้างหน้าปากบอก

“อีกราว ๕๐๐ เมตรจะถึงทางแยกเข้าบ้านงานแล้ว วัดที่ผ่านมาเมื่อกี้เรียก “วัดเขาซากโดน” เราเคยเป็นลูกศิษย์ศิษย์หลวงพ่อวัดเขา ก่อนท่านตายมีเรา กับรองฯ ดมเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุด ทั่วตัวเราอาบน้ำว่านมาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี อภินิหารของหลวงพ่อวัดเขาคนระยอง-คนจันทร์รู้ดี”

รุณทิ้งคำค้างไว้ คิ้วขมวดมุ่ม จ้องตาตามแสงไฟหน้ารถซึ่งฉายให้เห็นจักรยานยนต์วิบาก ๒ คันจอดคู่กันบริเวณริมทางอันตรงกับปากทางเข้าบ้านพักครูพร แต่ไม่เห็นคน รุณชะลอความเร็วรถพลางเลี้ยวลงทางแยกถนนลูกรังขนาดรถเล็กวิ่งสวนกันได้ สองข้างทางเป็นทุ่งนาโล่งเตียนปรากฏแสงหิ่งห้อยวูบวาบ รถผ่านผ่าทุ่งนาเข้าไปได้ประมาณครึ่งทาง ประสาทหูผมแว่วเสียงปี่พาทย์ฆ้องกลองกังโหยหวนมากับสายลมค่ำ โชเฟอร์ผิวนิลซึ่งทำหน้าที่สงบขรึมมาแต่เลี้ยวรถผ่าทุ่งกล่าวน่าคิด

“รถมอเตอร์ไซค์ ๒ คันนั่นมันมาจอดทำไม จะว่าเป็นพวกสายตรวจก็ต้องออกมาก๋า…นี่ไม่เห็นกระทั่งเงามัน”

“นายรอบคอบดี” ผมชม

“ขอให้ช่วงพักงานศพครูพ้นคืนนี้ก่อนเถอะ” เพื่อนบอกสุ้มเสียงดุจคำราม

พอรถวิ่งเข้าใกล้แนวไผ่กับหมู่ไม้กลางทุ่ง เสียงเครื่องปั่นไฟครางกระหึ่มตลอดแนวทุ่งดินแห้งผาก บางแห่งแตกระแหง มีรถมอเตอร์ไซค์กับรถปิกอัพจอดอยู่ ๓ คัน อีกราว ๑๐ กว่าคันล้วนเป็นจักรยาน ๒ ล้อถีบ เสียงปี่พาทย์ฆ้องกลองที่เงียบไปดังกังวานเศร้าออกทางลำโพงประหนึ่งฟ้องถึงความอาทรอาลัยหาของผู้อยู่หลังอีกคราว

รุณจอดรถต่อจากดัทสันปิกอัพสีแดงเข้มสภาพเก่าโทรม บังโคลนหน้าซ้ายมือบุบบู้บี้ ฝุ่นลูกรังจับแดงเถือก ๒ สมุนเพื่อนบนกระบะหลังโดดลงปรากฏมีคนโผล่จากดงไผ่ซึ่งมีดวงไฟขนาด ๒๕ วัตต์ให้ความสว่างเรื่อเรือง เรา ๒ คนผลักประตูรถเปิดออกไป กลุ่มเจ้าภาพปรี่มาต้อนรับรุณ ตาแดงตามประเพณี ครู่หนึ่งจึงชักชวนเราทั้งหมดเดินเท้าผ่านดงไผ่เข้าไปปะแสงสว่างจากแสงไฟ ๔-๕ ดวงที่ติดไว้รอบบ้านไม้เก่าๆ ยกพื้นใต้ถุนสูงหลังคาสังกะสีมีชานยื่น บริเวณใต้ถุนบ้านชุมนุมแม่ครัวจัดทำอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อหลังสวดพระอภิธรรมกำลังขมีขมันจัดวางสำรับ บ้างเช็ดถ้วยจาน การปรากฏตัวของนักเลงปืนผิวนิลครั้งนี้ตกอยู่ภายใต้สายตาผู้มาร่วมงานก่อนเป็นตาเดียวเหมือนเช่นทุกถิ่นที่ผมร่วม ดังนั้นการที่ผมได้เดินขนาบคู่คนดังจึงไม้พ้นสายตาผู้ร่วมงานกว่าสิบคนขณะนี้

รุณทักทายผู้คนชายหญิงบริเวณใต้ถุนบ้านจนทั่วก็นำขึ้นบันไดเรือนพักอันใช้เป็นที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศล แล้วจัดการจุดธูปเทียนขออโหสิกรรมแก่ครูนักสู้ตามวัตร โลงทองที่ตั้งตระหง่านถูกประดับด้วยไม้ดอกเรียงร้อยไว้อย่างสวยงาม ส่วนซ้ายมือที่ตั้งภาพถ่ายครูพรประดับผ้าแพรดำ ระบุวันเกิดและวันดับด้วยตัวอักษรบรรจงงดงาม ผมกราบหนึ่งลาเป็นการคารวะศพผู้วายชนน์แล้วก็ถอยไปนั่งที่นอกชาน ปล่อยให่เพื่อนนั่งสำรวมสงบนิ่งอยู่หน้าศพเพียงลำพัง สาวสวยชุดกระโปรงกับเสื้อแขนกระบอกสีดำทั้งชุดวัย ๒๐ ปีเศษประคองถาดเครื่องดื่มขึ้นมาเสิร์ฟบรรดาโหรีด้วยกิริยาสุภาพน่ารัก เสร็จจากเสิร์ฟกลุ่มโหรี หญิงสาวหันมาทางเรา ๓ คน ก่อนฉวัดตาไปทางร่างเพรียวผิวนิลที่นั่งสงบอยู่หน้าศพวิบหนึ่งค่อยก้าวย่างช้าๆ มาทรุดลงนั่งพับเพียบเบื้องหน้าพร้อมกับยิ้มซึมเศร้า

“ทานน้ำลำไยสิคะ” หล่อนบอกเสียงกังวานพร้อมยื่นถาดตั้งแก้วน้ำแข็งใส่น้ำลำไยให้

“ขอบคุณครับ” ผมสนองไมตรี ทั้งช่วยหยิบแก้วน้ำลำไยส่งให้จอนกับกลิ้งรับไป

ก่อนหญิงสาวชุดดำลาจาก หล่อนวางน้ำลำไยอีกแก้วไว้ ปากบอกฝากเสียงใสพอได้ยิน

“ม่วงฝากให้พี่รุณด้วยค่ะ”

“ครับ”

เมื่อหญิงสาวลงจากเรือนผมยกแก้วน้ำลำไยเย็นเจี๊ยบขึ้นดื่ม บนตัวเรือนเฉพาะตัวระเบียงแผ่นไม้กระดานขัดเป็นมันปลาบที่เรา ๓ คนนั่งอยู่ยังว่างเปล่า กาน้ำชา ถาดวางถ้วยชาพร้อมกาถูกวางทิ้งระยะห่างพอสมควร ส่วนด้านขวาที่ตั้งศพและตั้งวงมโหรีปี่พาทย์อยู่เริ่มบรรเลงเพลงโศกอีกครั้ง อดีตเจ้าพ่อเขาหวายซึ่งนั่งพับเพียบสำรวมอยู่หน้าศพครูพรผู้มีคุณแก่เขาเริ่มเคลื่อนไหวคล้ายพรูลมหายใจ กลิ่นธูปหอมหอมจรุงไปทั่วตัวเรือน ครู่เดียวรุณก้มลงกราบยังแท่นรองเบื้องหน้า ๑ ครั้ง จึงขยับลุกขึ้นเดินค้อมหลังมาทรุดลงนั่งข้างๆ ผมยกแก้วน้ำลำไยส่งให้ เขารับไปดื่มรวดเดียวเหลือแต่ก้อนน้ำแข็งพอวางแก้วลงเขาก้มลงบอกข้างหูโต้เสียงปี่พาทย์ฆ้องกลอง

“เราจะต้องลงไปรับแขก จะไปด้วยกันไหม?”

“คืนนี้รุณกับเราควรอยู่ห่างกัน เผื่อจะได้เห็นอะไรกว้างๆ บ้าง”

รุณช้อนตาคมกริบขึ้นมองผม บอกปนยิ้ม “นายนี่รอบคอบดีเหลือเกิน”

“เหตุการณ์บังคับมากกว่า” ผมเลี่ยง

เจ้าของร่างสูงเพียวไม่ถึงกับผอมลุกขึ้นยืน ๒ สมุนลุกตาม ทั้ง ๓ คนพากันลงจากเรือนโดยมีสายตาหนุ่มๆ ประจำวงมโหรีมองตามก่อนชำเลืองมองผมซึ่งทำทียกแก้วน้ำลำไยดื่น หลังเพื่อนละจากไปได้ครู่ใหญ่ ๓ มโหรีหยุดบรรเลง แขกเหรื่อชายหญิงแต่งกายชุดดำเป็นส่วนใหญ่ทยอดขึ้นมานั่งที่ระเบียง บางรายเข้าไปจุดธูปเทียนคารวะผู้ตายกับขออโหสิกรรมระคนเสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่ม ผมเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือซ้ายบอกเวลาอีก ๕ นาที ๒ ทุ่มตรง กลางความพลุกพล่านระหว่างแขกเหรือขึ้นลงเรือนอย่างต่อเนื่อง ผมใช้โอกาสดังกล่าวพาตัวเองลงจากเรือนเข้าปะปนกับผู้มาช่วยงานเพื่อหาข่าว พบผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่กำลังวิเคราะห์วิจารณ์ถึงการระเบิดรถปิกอัพ ณ ชายหาดแม่พิมพ์จนส่งผลให้เสือธมกับ ๕ สมุนร่างแหลกเละตายคาซากรถ ก็ทำเอาทุกคนลืมเรื่องครูพรและการตายของครูนักสู้ในงานสวดพระอภิธรรมค่นนี้เสียสนิท

รุณ ตาแดงซึ่งรับเป็นเจ้าภาพในคืนนี้ร่วมกับทายาทผู้เสียชีวิตพร้อม ๒ สมุนจอนกับกลิ้งได้ร่วมต้อนรับแขกเหรื่อที่หนุนเนื่องมาร่วมงานไม่ขาดสายวบสองแถวโดยสารเล็กนำพระภิกษุ ๔ รูปมาถึง กลุ่มเจ้าภาพจึงเข้าไปนิมนต์ขึ้นเรือน ผมส่ายตาตรวจตราพื้นที่บ้านงานออกไปทางด้านขวาที่ตั้งโรงนา พบบริเวณดังกล่าวสว่างโพลงด้วยแสงไฟตะเกียงเจ้าพายุ มีมะพร้าวแห้งกองสุมไว้สูงท่วมเอวกับมีผู้คนชายหญิงเคลื่อนไหวเข้าออกผิดสังเกต จึงทอดเท้าเรื่อยๆ เข้าหาเป้าที่กังขา พบวงน้ำเต้าปูปลากับวงไฮโล ๓-๔ วงกำลังขับเคี่ยวหมายเอาชัยกันหน้ามันย่อง ความที่ช่วงหนึ่งของชีวิตผมเคยโลดเต้นหากินอยู่กับบ่อนเถื่อน และมีเลือดนักพนันพอตัว จึงเดินอ้อมกำแพงกองมะพร้าวแห้งเข้าไปชมในสถานที่กลับตกเป็นเป้าสายตานักพนันเป็นตาเดียวจึงรีบแจ้ง

“ตามสบายเถอะ ผมไม่ใช่ตำรวจหรอก”

สิ้นคำผม บรรดานักเสี่ยงโชคชายหญิงพร้อมเด็กชายวัย ๑๐-๑๒ ขวบ ๒ คนยิ้มสดใส ชายฉกรรจ์ ๔-๕ คนตั้งวงเหล้ากับพื้นกระดานปูรองด้วยเสื่อเมืองจันท์ส่งยิ้มราวคุ้มเคยก็พลอยส่งยิ้มร่วมให้ ส่วนใจนึกกระดากจึงฉากไปทางวงไฮโลทำเอางงหนัก เมื่อเจ้ามือวัย ๔๐ ปี ผิวคล้ำ สักอักขระเต็มตัวจรดลำคอ บอกปนยิ้มพินอบพิเทา

“เราเปิดเล่นมาตั้งแต่สวดคืนแรกแล้วพี่ “ต๋ง” ที่เก็บได้ทางพวกเจ้ามือมอบให้ครูม่วงหมด…ขอนะครับ ได้ข่าวว่าคืนนี้พี่รุณเป็นเจ้าภาพจึงต้องแอบเล่น ได้เสียไม่มากหรอกพี่”

ผมยิ้มปกติ และย้อนถาม “ไม่กลัวตำรวจหรือ?”

“อยู่ที่พี่รุณคนเดียวครับ ตอนนี้พวกสายตรวจไปที่หาดแม่พิมพ์กันหมดพี่”

“ถ้าหยั่งงั้นคุณ “ผัด” ต่อเลย ลูกค้ารอแย่แล้ว” ผมสรุป

ทั้งเจ้ามือทั้งนักพนันข้างเคียงต่างก้มหน้าก้มตาเสี่ยงโชคกันต่อดุจเสียดายค่าเวลาที่เสียไปเมื่อครู่ จากนั้นผมเดินชมการเสี่ยงโชคไปจนถึงที่ ๕ ชายฉกรรจ์วัยเดียวกับผมตั้งวงสุราพร้อมทักทาย

“สวัสดีครับ”

๑ ใน ๕ ร่างเตี้ยล่ำผมหยิกฟูชะโงกบอก “พวกผมจะดูแลความเรียบร้อยกับ “ต๋ง” ไม่ให้กระเด็นแม้แต่บาทเดียวครับพี่”

“ตามสบายครับ”

“ครับพี่”

ดูเถอะครับ ไม่ว่าสูงอายุกว่าหรือต่ำกว่าล้วนเรียกขานยกย่องผมราวกับเป็นดาวดังดวงหนึ่งแถบชายฝั่งทะเลนี้ ทั้งสิ้นมาจากอิทธิพลเดชเจ้าพ่อเขาหวายสั่งสมมาแต่อดีตนั่นเอง ออกจากบ่อนเถื่อนไปยืนชมทิวไผ่ตงที่ปลูกรายล้อมบ้านเรื่อนกว่า ๑๐ หลังคาเรือนลู่ลมเสียงกรูเกรียว กลับรู้สึกอ้างว้างว้าเหว่ไม่ต่างกับทุกถิ่นที่ที่พเนจรไป มิรู้วันใดจะได้หยุดปักหลักชีวิตยังเส้นทางที่เคยฝัน แม้วัยจะครบหลักสามอันเป็นตัวเลขนำหน้าอายุในปีหน้าแล้วก็ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ทั้งยังเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาเจ้าหน้าที่บางท่าน ครับ มีบ่อยครั้งขณะเผชิญโชคผมพบหญิงสาวที่วันเวลาทำให้เราใกล้ชิดกันจนจวบถึงขั้นเกิด “ความรัก” แต่ไม่เคยสมหวังกับความรักที่สู้เพาะมันขึ้นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และเลิกทำตัวเป็นเจ้าไม่มีศาลเสียที ทั้งนี้เนื่องจากทุกถิ่นที่ที่ผมอยู่อาศัยมัก “ร้อน” จากพฤติกรรมเพื่อนหรือผู้อื่นก่อเสียเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตจึงเร่ไม่ต่างเรือหาท่าเทียบ

เสียงสวดพระอภิธรรมศพครูพรเริ่มแล้ว บรรดาผู้มาร่วมงานแยกย้ายกันเข้านั่งประจำเก้าอี้ที่ตั้งเรียงไว้หน้าบ้านนับสิบ โดยยังซุบซิบพูดคุยถึงการตายหมู่ที่หาดแม่พิมพ์คลอเสียงพระคุณเจ้าบนเรือน รุณ จอน และกลิ้ง ยืนจับกลุ่มพูดคุยกับกลุ่มญาติๆ สูงวันด้านหลังเก้าอี้แถวหลังสุดห่างจากผมเกือบ ๕๐ เมตร ไม่สามารถรับฟังเสียงได้จึงสังเกตกิริยา เห็นต่างมีท่าทีรุ่มร้อนก็อดใจไม่อยู่รีบก้าวไปหา รุณเห็นผมแต่แรกผละจากญาติผู้ใหญ่มาหาพลางดึงแขนเลี่ยงไปทางปากทางเข้าหมู่บ้านอันมีเกวียนเก่าๆ หักชำรุดกองอยู่

“มีอะไรหรือ?”

รุณ ตาแดงล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อ ดึงเอากระดาษสีฟ้าออกมาคลี่ก่อนยื่นให้ผมรับไปส่องกับแสงไฟอ่านข้อความสั้นๆ

“คืนนี้ ๕ ทุ่มตรง ขอพบนายรุณที่บังกะโล “ดาว” หาดทรายทอง จากผู้หวังดี”

“เป็นยังไง?” รุณถาม

“เป็นเรื่องท้าทายหรือ?”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“แล้วนายจะไปตามนัดหรือเปล่า?” ผมถามเข้าจุด

“ต้องไป เราไม่เคยหนีคน” เพื่อนตอบหนักแน่น

ความสลดสังเวชใจเกิดกับผมจนได้ แต่ก็ไม่คัดค้านหรือเสนอความเห็นรุณเหลียวมองผม เปิดคำอีกประโยค

“เปี๊ยกนายคงอึดอัดใจ”

“นายจะไปเกาะช้างไม่ใช่หรือ?”

“เรายังไม่หมดธุระนะเพื่อน”

“ธุระที่มีแต่ขาดทุน เลิกสนใจเถอะ”

ผมทิ้งคำบอกถึงความขุ่นใจพร้อมผละจากเขาก้าวดุ่มๆ ออกไปยืนตากลม ฟังเสียงสวดพระอภิธรรมบรรเทาร้อนในทรวงที่เพื่อนยังแบก “อัตตา” ไม่เสื่อมคลาย

เวลาล่วงไป งานสวดพระอภิธรรมขึ้นช่วงที่ ๓ บรรดาแม่ครัวและลูกมือเตรียมบริการอาหารคาวหวานแก่แขกที่มาร่วมงาน รุณหายเข้าไปในกลุ่มผู้คน ครู่ใหญ่ ผมตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทัดทานเพื่อนมิให้เดินทางไหพบผู้เป็นเจ้าของจดหมายลึกลับ เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร บุคคลที่เขาหมายชีวิตมาทดแทนครูพรก็ได้ครบถ้วน ดังนั้น จดหมายนั่นจึงไม่น่ามีเหตุให้เขาเสียคำพูดกับผมเพื่อแลกกับการไปพบคนขี้ขลาดตาขาวใช้จดหมายแทนตัวโดยไม่ยอมระบุนาม งานสวดพระอภิธรรมศพครูพรสำเร็จด้วยดี ระหว่างผู้มาร่วมงานทยอยกันกลับ จอนได้มาตามผมบอกเจ้าภาพต้องการพบก็เดินตามไปโดยไม่ได้ชักถาม พอไปถึงตัวเรือนที่ตั้งศพพบรุณกับหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่า “ม่วง” ยิ้มทักทาย

“นั่งสิเปี๊ยก คุณม่วงมีเรื่องปรึกษาด้วย” รุณเกริ่นนำ

“ยินดีครับ” ผมหันไปสนองคำสาวชุดดำที่เพิ่งสังเกตรูปลักษณ์ชัดเจนยามนี้

ม่วงสาวหันเผชิญหน้าผม ยิ้มเคร้าผุดขึ้นจางๆ ริมฝีปากบางมิได้เคลือบสีวิทยาศาสตร์กล่าวคำเสียงกังวานใส

“พี่รุณบอกคืนนี้คุณจะไปเกาะช้าง ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญนักดิฉันใคร่กราบขอความกรุณาให้อยู่เป็นเพื่อนงานอีกคืนเดียวเท่านั้นค่ะ ตอนนี้ม่วงกลัวไปหมด ยิ่งพี่รุณกับพวกชาวบ้านมาบอกเสือธมถูกระเบิดตาย ม่วงยิ่งกลัวค่ะ”

ครานี้ผมหันไปทางเจ้าพ่อเขาหวายเพราะตัดสินใจไม่ถูก ด้วยไม่ทราบเช่นกันว่าเพื่อนพูดอย่างไรกับหญิงสาวก่อนที่ผมจะมาถึง รุณยิ้มพร้อมพยักหน้า

“สำหรับเรา เราบอกคุณม่วงแล้วว่าอยู่ที่นายจะตัดสินใจ”

ผมตอบทันที “ถ้าอยู่ให้ความคุ้มครองที่นี่ ผมยินดีเลื่อนการเดินทางไปมะรืนนี้ก็ได้”

หญิงสาวพนมมือไหว้ “ขอบพระคุณมากค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ถ้าหยั้งงั้นพี่รุณกับพี่เปี๊ยกนั่งอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวม่วงจะลงไปยกสำรับกับข้าวมาให้ค่ะ”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: