3818. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 18 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 18 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เหล้าหรือเบียร์หาใช่น้ำบริสุทธิ์ เมื่อดื่มกินมากสภาพแรกคือมึน เคลื่อนไหวช้าลง แต่ใช้ปากมากขึ้น รุณ ตาแดงผู้ปราดเปรียวก็อยู่ในประเภทนี้ เขากับผมบัดนี้ดื่มเบียร์ไทยไปกว่า ๑ โหลแล้ว หน้าเป็นมันปลาบ นัยน์ตาใต้คิ้วเข้มคมกริบ มองความไพศาลของทะเลก่อนตะวันจมน้ำสงบเฉย บุหรี่ในร่องนิ้วมือไหม้ลามไปกว่าครึ่ง ทิ้งเถ่าสีเทาร่วงสู้พื้นโดยเจ้าตัวมิได้รู้สึก จอนกับกลิ้ง ๒ หนุ่มวัยห้าวที่รุณนำเข้ามาร่วมทีมนั่งดื่มเหล้าไทยหมดไป ๑ กลมก็เพิ่มมาอีก ๑ แบน ต่างหน้าตาแดงก่ำ จึงใช้โอกาสร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันชักถามที่มาของทั้งคู่ พบมีดีกรีไม่เบา

จอนเป็นเด็กจากอำเภอเมืองระยอง รูปกายล่ำสันผิวเหลือง บิดามารดาเป็นเจ้าของซ่องข้างโรงภาพยนตร์เทพบันเทิง และคุมซ่อมมาแต่วัยรุ่นจนถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือ ต่อมาได้ร่วมกับพวกยิงลูกน้อง “เสี่ยกัง” เจ้าพ่อโอตานี่โฮเต็ลผู้ทรงอิทธพลคับเมืองสุนทรภู่ ต่อมาถูกตำรวจ สภ.อ.เมืองระยองจับตัวนำส่งฟ้องศาลทหาร แต่รอดคดีเพราะพ่อไม่เสียดายเงิน ระหว่างอยู่ในคุกได้เข้าสวามิภักดิ์กับรุณ ตาแดง และได้ร่วมทีมกันขณะนี้ กลิ้งเป็นเด็กที่เติบโตมาจากชุมชนย่าน “กิโล ๑๐” สนามบินอู่ตะเภาบิดามารดาอพยพหนีความแห้งแล้งแผ่นดินเมืองชัยภูมิมาสร้างงานเปิดร้านขายลาบ-ส้มตำแก่บรรดา “เมียเช่า” แต่ไม่รวยจึงส่งผลให้เด็กชายกลิ้งต้องออกหาลำไพ่พิเศษโดยบริการรับเช็ดขัดรองเท้าให้ฝรั่ง-นิโกรอยู่หน้าสนามบินแต่วัย ๘ ขวบ จนสามารถพูดคุยกับทหารอเมริกันด้วยภาษาที่ตัวเองไม่เคยเรียนจนคล่องกว่าไกด์เสียอีก

กลิ้งจึงได้ประสบการณ์สารพัน ณ ที่สนามบินนั่น เมื่อโตขึ้นอาชีพเก่าถูกกลิ้งเมิน เด็กรุ่นหันไปจับอาชีพเด็กรถสองแถววิ่งรับฝรั่งกับชาวบ้าน พอขับรถเป็นวิชาอาคมแก่กล้า กลิ่งก็วางแผนกับเพื่อนหลอกทหารอเมริกันไปลอกคราบ(ปล้น)แต่ถูกเจ้าทรัพย์ต่อสู้ขัดขืนจึงต้องฆ่าเหยื่อทิ้งจนถูกจับเข้าคุกและสวามิภักดิ์กับรุณ ตาแดงดุจเดียวกับจอน ครับ-ทั้ง ๒ รูปแบบที่มาของ ๒ มือปืนหนุ่มสมุนเพื่อนนับว่าใช้ได้ทั้งคู่หากเทียบเป็นวุฒิบัตร ทว่าหากมองในด้านกลับกันกับผลกระทบต่อสังคมโดยรวมแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นอันตรายกว่าบุคคลธรรมดา เพราะรูปแบบแต่วัยเด็กเขาขาดพื้นฐานกับสิ่งแวดล้อมที่ดีพอสมควรเป็นสิ่งโน้มน้าว และที่สำคัญ เขาขาดการเลี้ยงดูจนเรียกได้ว่าไม่มีโอกาสได้รับความอบอุ่นจากบุพาการีเลย แต่ก็มิได้หมายความถึงความรักของพ่อแม่เจือจาง ทั้งปวงมาจากโลกของความเป็นจริงที่พ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมปลูกฝัง

ระหว่างซักถามปูมหลัง ๒ สมุนเพื่อนในฐานะอาวุโสกว่า ผมไม่ลืมสังเกตสภาพภายในร้านอาหารและรอบตัว พบมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีพาหนะส่วนตัว คาดว่าเป็นคนพื้นที่ เพราะตะวันลอยดวงต่ำลงทุก เบียร์ขวดที่โหลกว่าถูกเพื่อนสั่งเพิ่มอีก ครานี้สาวเสิร์ฟร้าน “แม่พิมพ์” นางเดิมเดินค้อมร่างถือถาดเบียร์เข้ามาหาระหว่างรุณกับผม ปากบอกเสียงใส

“ผู้จัดการให้เรีนยว่ามีเบียร์เย็นเหลือขวดนี้ขวดเดียวค่ะ เพราะแขกสั่งหลายโต๊ะค่ะ”

รุณกับผมหลุดราวกับใจเดียวกัน “ขอบใจ”

และพอสาวเสิร์ฟผิวเหลืองกร้านถอยไปร้นเบียร์ด้านหลังโต๊ะตั้งเหล้ารุณชะโงกมากระซิบ

“เข้าห้องน้ำเถอะ เหลือทนแล้ว”

ได้กันครับ…ผมเองร่ำๆ จะถามพนักงานสาวถึงห้องน้ำตั้งแต่ชัดเบียร์กับเขาครบโหลแต่ทนอั้นไว้ เรา ๒ คนอ้อมกลับเข้าไปในร้านโดยรุณเดินนำผ่านโต๊ะผู้คนกลางเสียงทักทายและรับไหว้อันแสดงถึงความกว้างขวางจนผมอยู่ในฐานะไม่ต่างการ์คุ้มกัน ห้องสุขาทางด้านหลังร้านอาหารนั่นเอง ทว่าตั้งอยู่ภายนอกโรงเรือนอันเป็นห้องอาหาร ปลูกต้นมะม่วงลำต้นขนาดท่อนขาไว้ ๒-๓ ต่้น อาณาเขตของสถานที่ที่กั้นไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่ผุๆ ส่วนใหญ่ชำรุดจนสุนัขเดินข้ามได้ และสามารถมองเห็นรถของเราที่จอดอยู่ในลานจอด หลังทำกิจเสร็จ ผมออกไปยืนรับลมพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าลูบทั่วหน้าซ่านน้ำเมรัย ลมทะเลพัดครืนๆ จนสัมผัสความสดชื่น ฟ้าใกล้เก็บแดดจนสภาพทั่วไปมืดครึ้ม มาสด้าปิกอัพสีเขียวแก่รุ่นเดียวกับของเราวิ่งฝุ่นตลบเปิดไฟหน้าสว่างโร่มาจากบ้านกร่ำได้ชะลอความเร็วลงก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าจอดเทียบกับเก๋งดัทสันสีขาว พลันเสียงรุณ ตาแดงกระซิบจากด้านหลัง

“เปี๊ยก โชคเข้าข้างเราอีกครั้งแล้ว”

“โชคทางไหน?” ผมหันไปถาม

“นายหันไปดูไอ้ ๖ ตัวที่มากับปิกอัพสีเขียวแก่นั่นเถอะ”

ผมสะบัดหน้ากลับไปที่รถปิกอัพสีเขียวแก่ที่พบแต่แรก ปะ ๖ หนุ่มทีท่าไม่เบาเดินเกาะกลุ่มเข้าร้านอาหาร

“เปี๊ยก สังเกตไอ้คนเดินหน้าดีๆ” รุณชี้เป้าหมาย

ครั้งนี้ผมจับตาจ้องเขม็งยังชายหนุ่มกำยำผมสั้นเกรียน ขณะนี้กำลังได้รับการทักทายจากพนักงานเสิร์ฟพร้อมเชื่อเชิญอย่างสนิทสนม

“คล้ายเสือธม” ผมบอกไม่เต็มเสียง

“มันนั่นแหละ ครั้งนี้เราไม่ปล่อยมันอีกแล้ว…เปี๊ยกช่วยคุ้มกันด้วยนะ”

สิ้นคำ รุณ ตาแดงล้วงกระเข้าไปในอกเสื้องัดระเบิดเอ็ม-๒๖ กำไว้มั่นในมือขวา ผมามด่วนจี๋

“นายจะปาระเบิดใส่มันหรือ?”

“ไม่หรอก เราจะมุดเข้าไปวางระเบิดใต้รถมัน นายยืนเตร่อยู่ที่รถเรา”

“ตกลง” ผมรับคำและเสริม “อ้อ…หากพวกมันออกมาเราจะปาก้อนหินเข้าไปนะ”

อดีตเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ในพงไพรยิ้มฟันขาว หน้าเยิ้มเหงื่อพลางตบแขนผมจากนั้นร่างเปรียวผิวสีกลืนความมืดก้าวข้ามรั้วไม้ไผ่ปราดไปที่มาสด้าปิกอัพสีเขียวแก่ ผมกวาดตาพิทักษ์เภทภัยให้เพื่อนกลางความจงชังกลุ่มเสือธมซึ่งฆ่าได้กระทั่ง “ครู” ที่ต่อสู้เพื่อชาวบ้านอันเป็นส่วนรวม ร่างปราดเปรียวนักเลงปืนผิวนิลไปยืนเตร่อยู่ข้างประตูคนขับมาสด้าปิกอัพสีเขียวแก่ นัยน์ตาคมกริบกรุ่นน้ำเมรัยฉวัดไปมาวิบหนึ่งจึงทิ้งร่างนอนราบกับพื้นลานลูกรัง และคืบตัวเองหายเข้าไปใต้ท้องรถปานพฤติกรรมปิศาจ ผมยืนหันหน้าเข้าหาตัวถังรถ กระชากลูกเลื่อนขึ้นลำ ๑๑ ม.ม. กระบอกใหม่โดยพยายามให้เกิดเสียงเบาที่สุด จากนั้นจึงหันกลับทำเป็นยืนกอดอกมือขวากำด้ามปืนที่ใช้เสื้อพรางไว้ มือซ้ายถือก้อนหิน ส่วนในใจไม่วายเต้นรัวแม้จะเคบผ่านพบพฤติกรรมยิ่งกว่านี้

แรงลมยามใกล้ค่ำกรรโชกกรูเกรียว ทิวมะพร้าวเหนือหาดทรายขาวเอนลู่สั่นไหว นางนวลบินฉวัดเฉวียนขณะผืนฟ้าเปลี่ยนสีเทาเข้ม บริเวณลานจอดรถบัดนี้มีแต่รถไร้คนจนทำให้ปฏิบัติการของรุณปลอด เกือบ ๓ นาทีโดยประมาณ รุณขยับปลายเท้าโผล่ออกมาก่อน ผมยืนลุ้นขอให้งานสำเร็จ ตาส่ายทำหน้าที่คุ้มกันไปมาจวบร่างเปรียวของเขาลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินข้ามรั่วไม้ไผ่ชำรุดไปยืนจุดบุหรี่สูบที่หน้าห้องน้ำเดิมกิริยาปกติ เมื่อเห็นผลงานเพื่อนปลอดสายตาคนแน่ ผมผละจากรถมาสด้าปิกอัพของเพื่อนจุดยืนสังเกตการณ์เดินอ้อมไปเข้าทางด้านหน้าร้านเพื่อเบนจุดสนใจกลับไปนั่งยังโต๊ะนอกชายคาติดชายหาดเดิม โดยมี ๒ หนุ่มจอนกับกลิ้งถามหาลูกพี่เกือบพร้อมกัน

“พี่รุณละพี่?”

“เสร็จแล้ว เดี๋ยวคงตามมา”

จบคำปรากฏลูกพี่เดินไปที่เคาร์เตอร์ พูดคุยอยู่กับแคชเชียร์ครู่เดียวก็เดินผ่านโต๊ะผู้นิยมดื่มกินสุราอาหารเคล้าเสียงคลื่นลมไม่ผิดกับตอนไป ที่โต๊ะหนุ่มใหญ่ผิวพรรณดีแต่งกายภูมิฐาน ข้างกายมีสาวงามผิวขาวในชุดกระโปรงรัดรูปสีขาวสวมทับด้วยเสื้อยืดสีเหลืองไม่มีไหล่โชว์ความขาวอวบจนผู้มีไฟต้องชำเลือง ที่โต๊ะนี้รุณถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเบียร์จากฝ่ายชายด้วยอาการสนิทสนมจนเขาต้องจำใจดื่ม ผมละสายตาจากเพื่อนชำเลืองหาโต๊ะที่เสือธมกับพวกใช้บริการ พบอยู่ด้านซ้ายมือ ขณะนี้ทั้ง ๖ คนจ้องแน่วยังเจ้าพ่อเขาหวายที่เพิ่งผละจากโต๊ะหนุ่มใหญ่กับสาวสวยผิวขาวยวนตา จวบรุณกลับมานั่งร่วมโต๊ะยังเก้าอี้ตัวเดิม จอนรายงานเสียงเครียด

“ไอ้ธมกับไอ้ดิษฐ์พาลูกน้องมากินเหล้า พี่รุณเห็นพวกมันหรือยัง?”

“เห็นแล้ว กินเหล้าให้หมดแบนค่อยไป”

เพื่อนบอกสมุนน้ำเสียงปกติ ตาชำเลืองมองผม ๒ สมุนรินเหล้าที่เหลือครึ่งกั๊กแบ่งกันคล้ายต้องการทำเวลา รุณร้องปราม

“ช้าๆ เดี๋ยวเมาตายห่า”

กลิ่งสงสัย “พี่จะเอายังไง”

“ให้พวกมันมีเหล้ามีข้าวติดท้องก่อน”

“มันเซ็กบิลแล้วพี่” จอนสอด

ผมหับขวับไปที่โต๊ะเสือธมกับสมุนพากันลุกจากเอ้าอี้ เสียงรุณขีดไฟเช็กเรียกฝ่ายบิการจนผมหันมอง ครานี้ใบหน้าอดีตนักฆ่าสะท้านป่าแลดุดัน กล่าวลอยๆ

“มันออกไปเตรียมต้อนรับพวกเรา ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งบนเส้นทางก่อนถึงบ้านครูพร”

ผมเห็นด้วยกับความคิดเขา เพราะสภาพการมากับไปหลังปะหน้ารุณ ตาแดงกะทันหันบ่งไปในรูปนั้น ดังนั้น การที่เขาตัดสินใจลงมือทันทีที่โอกาสปลอดดังปฏิบัติการที่ผ่านมา จึงนับเป็นการชิงเหลี่ยมชิงจังหวะได้ทันการณ์

เสือธมชายร่างสูงกำยำตัดผมสั้นเกรียนในชุดกางเกงขายาวสีดำ เสื้อฮาวายลายฉูดฉาดก้าวอาดๆ นำสมุนออกจากร้าน รุณดีดนิ้วเรียกพนังงานสาวเช็กบิล เวลาแต่ละวินาทีผมทราบแก่ใจว่ามันผ่านไปอย่างแสนทารุณทางจิตใจ จนต้องหันไปคว้าเบียร์ครึ่งแก้วดับความว้าวุ่นทางความคิดด้วยเป็นอุกฤษฏ์โทษ พอพนักงานสาวกลับมายื่นถาดส่งเงินทอน รุณบอกเสียงนุ่ม

“น้องเก็บไว้”

หญิงสาวบรรจงพนมมือไหว้ พลัน…เสียงแผดสนั่นจากแรงระเบิดเอ็ม-๒๖ ที่รุณไปซุกไว้ใต้รถทำเอาสาวเสิร์ฟหวีดร้องสุดเสียง

บึ้ม!

มิทันสิ้นเสียงระเบิดลูกแรก ได้ปรากฏเสียงระเบิดดังตามมาติดๆ แขกเหรื่อกระโจนหนีจ้าละหวั่น แรงระเบิดทำเอาด้านหน้าร้านอาหารสั่นสะเทือนสรรพสิ่งข้าวของวัตถุทั้งแตกหักโดยแรงสั่นสะเทือนบวกมือเท้าผู้คนหนีภัย

“ไปเถอะพวกเรา ช้าถูกเพ่งเล็งแน่”

อย่างไม่รอช้า เรา ๔ คนอาศัยความชุบมุนวิ่งไปที่ลานจอดรถอันขณะนี้เสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่ม แสงไฟรถวูบวับ รถเก๋ง รถปิกอัพ และมอเตอร์ไซค์ต่างลนลานหนี ทำเอาหลายคันพุ่งรถชนรั่วไม้หน้า ๓ หักสะบั้นออกไป ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย รุณขับรถหลบหลีกผู้คนพลุกพล่านผ่านไปชมซากรถมาสด้าปิกอัพสีเขียวแก่ขณะไฟลุกโชน จนเห็นซากศพกระจายเกลื่อน

“ไปที่ชอบๆ เถอะไอ้ธม มึงก็คิดฆ่ากู” รุณพึมพำ

“รุณ ขอถามหน่อยนะ”

“พูดเลย”

“ทำไมแรงระเบิดลูกเดียวทำลายได้ขนาดนี้?”

รุณนิ่งงัน สองมือหักพวงมาลัยรถพุ่งตามท้ายมอเตอร์ไซค์ออกสู่ถนนลูกรังสายวังหิน-แม่พิมพ์ท่ามกลางราตรีมืดดำระคนเสียงเครื่องยนต์รถว่างหูลง

“นายถามตรงกับที่เราคิดพอดี” รุณเปิดปากอีกครั้ง

“เสียงระเบิดมีนฟ้อง” ผมคาด

“เป็นไปได้ไหมที่บริเวณที่นั่งตอนหน้าของรถมีวัตถุระเบิดอยู่ด้วย” รุณสรุป

ผมยกนาฬกาข้อมือขึ้นดูเวลา รุณเหลียวมองแวบเดียวบอกเหมือนอ่านใจถูก

“เดี๋ยวไปบ้านงานศพครูพร คืนนี้เรารับเป็นเจ้าภาพ”

คำชี้แจงเพื่อนทำให้คิดมากอีกแล้ว เพราะเหตุสยองขวัญเมื่อครู่แม้กฏหมายจะตามยังไม่ถึง แต่ผู้อยู่เบื้องหลังจ้างวานเสือธมฆ่าครูพรมีเส้นสายอิทธิพลตลอดจนหูตากว้างไกล หากสามารถหาข่าวและประมวลได้ว่า รุณ ตาแดงอยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุด้วยแล้ว นั่นแหละ…เป้าปืนจากมือปืนนายทุนทุกกระบอกจะพุ่งมาที่เขาเพื่อการล้างแค้น ซึ่งอาจเป็นคืนนี้ที่เขารับเป็นเจ้าภาพก็ได้

ครับ-ปกติผมเป็นคนช่างสงสัย ชอบตั้งข้อสังเกตกับคาดการณ์ล่วงหน้าในทุกเรื่องที่รับรู้ดังได้กล่าวแล้ว ดังนั้น จึงมีหลายครั้งที่เหตุร้ายเกิดขึ้นและไม่เกิดขึ้นด้วยสถิติใกล้เคียงกันอันคล้ายรับรู้หรือสื่อจากสัมผัสที่หก อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึงบ้านงานผมอาจได้ข้อมูลเฉพาะหน้าเพิ่มเติมอีก

“เปี๊ยก เรื่องที่เกิดเมื่อกี้เราโหดไหม?”

“โหดแน่นอน ผมตอบตรงๆ”

“แล้วการยิงทิ้งครูพรโหดหรือเปล่า?”

“เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้นะ” ผมว่า

“เรารู้เต็มอก ตอนไปบ้านเมียเราที่ดงสารภี เจอพ่อตาเป็นสารวัตรกำนันพอดี แกบอกพวกนายทุนตั้ง “ค่าหัว” เรา ๑ แสนบาทแล้ว”

“พรุ่งนี้เช้าควรไปเกาะช้างเลย”

“ดีเหมือนกัน”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: