3816 อนุทินนิรนาม ตอนที่ 16 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 16 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

มาสด้าปิกอัพสีฟ้าเคลื่อนไปหยุดยังด้านหลัง ๒ สาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผาชมทะเลยามราตรีผมปลิวสยายพลางบีบเรียก สาวสวยสะดุ้งโหยง โชเฟอร์รุณ ตาแดงหมุนกระจกรถลงกวักมือเรียก ๑ ใน ๒ สาวชุดสีน้ำเงินคาดขาว ๓ ส่วนก้าวไปหา การพูดคุยของทั้งคู่ไกลเกินกว่าผมจะได้ยิน พักเดียวสาวเจ้าชุดบลูก็เดินอ้อมหน้ารถไปเปิดประตูฝั่งตรงข้ามกับคนขับเข้าไปนั่ง สาวงามชุดรัดรูปสีเหลืองอ่อนกลืนกับผิวขาวมองมาที่ผมทันที รุณเลี้ยวรถกลับมาหาอีกครั้ง

“เต็มที่เลยนะเพื่อน เราจะพาจุ๋มไปส่งก่อน…เออ เสื้อผ้านายมีชุดเดียวนี่หว่า เอาหยั่งงี้ ไชซ์เอวนายกับเราคงพอกัน ไว้ตอนมารับจะซื้อมาด้วย”

ผมก้มลงจับขอบหน้าต่างรถ “จุ๋ม” สาวที่เพื่อนกล่าวถึงรีบกระพุ่มมือไหว้ บอกเสียงพร่าสั่น

“พี่-พี่ ขอให้จุ๋มอยู่ด้วยคนได้ไหม จุ๋มไม่คิดค่าอะไรทั้งนั่นคะ”

ผมร้อนทั้งร่างราวถูกไฟชอร์ตอย่างจัง รุณฉวัดตามองหน้าผม นัยน์ตาดุดันคมกริบลุกจ้า ขณะนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าสอดมือเขาไปบีบมือเขา ปากบอกเธอ

“ไปกับพี่เขาเถอะ เขาจะไปส่งถึงบ้านให้”

หญิงสาวชุด ๓ ส่วนสีน้ำเงินปิดหน้าสะอื้นก่อนซบหน้ากับท่อนขาตัวเองร่ำไห้จนผมอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก นอกจากบีบมือเพื่อนแรงขึ้น อดีตเจ้าพ่อผู้ตกผลึกความผ่ายแพ้ไว้เต็มอก พอมาถูก “ฟหักหน้า” จาก “เมียเช่า” สำแดงความหวาดกลัวถึงกับบดกรามกรอด หลุดคำห้วนๆ

“ลงไปเถอะ พี่อนุญาต”

โอ…ดังสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในหล้าโลก “ล้างใจ” เพื่อนให้หมดตัว “อัตตา” รุณ ตาแดงถึงเปลี่ยนไปชนิดคนละคน จุ๋มหยุดร่ำไห้เงยหน้านองน้ำตาขึ้นมองบุคคลที่เธอพรั่นเหมือนลืมตัว นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลง รุณบอกซ้ำเสียงนุ่มลง

“จุ๋มลงไปเถอะ พรุ่งนี้ตอนหลังเที่ยงพี่จะมารับพร้อมๆ กัน”

มือขาวเรียวยาวสสาวเจ้ายกขึ้นพนมก่อนก้มลงกราบบนท่อนขานักเลงปืนผิวนิลอย่างเต็มใจ ผมปล่อยมือจากเขาประตูรถฝั่งซ้ายมือถูกผลักเปิดและปิด สาวงามพอลงจากรถได้ปรี่ไปหาเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน ทั้งคู่ผวากอดกันกลม ผมก้มลงบอกรุณด้วยความปีติ

“นายบังคับจิตใจได้ดีเหลือเกิน”

“อีพวกนี้มันกลัวเราไปหมด มันกลัวเราโหด”

“เหมือนกับเราเลย” ผมสวมรอยทันใด “แต่คนเรามันเปลี่ยนกันได้ ทุกคนมีความคิด อย่างเราทุกวันนี้ตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่ทำลายน้ำใจผู้หญิงในทุกเรื่อง ถ้าเรารู้มาก่อน”

รุณยิ้มสีหน้าดีขึ้น กล่าวอย่างชาญฉลาด “เปี๊ยก ที่เพื่อนๆ รักนายแม้กระทั่งชาญเพราะนายดีต่อเพื่อน”

“เรามีแต่ความจริงใจกับเพื่อน ถ้าลองได้คบหากินนอนด้วยกันแล้ว”

“เปี๊ยก…”

“หือ”

“น่าประหลาดเหลือเกินที่ไอ้พวนนั้นไม่ฆ่าเรา เอาละไปละเพื่อน ขอให้ถึงวิมานชั่นฟ้าอีกที”

“โชคดี รุณ”

มาสด้าปิกอัพพุ่งทะยานจากที่โดยมีวัยคะนองผู้ให้บริการกระโจนผลุงขึ้นไปนั่งบนกระบะอย่างชำนาญการ

เสียงคลื่นลมยังเป็นบทเพลงธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ผมยืนถือพวงกุญแจบังกะโลมองไฟท้านรถเพื่อนจนลับตาพร้อมกับถอนหายใจยาว สภาพคับขันทางจิตใจต่อผมที่สาวจุ๋มกระทำเมื่อครู่บรรเทา จึงก้าวไปเปิดประตูหน้าต่างบังกะโล ซึ่งต่อมา ๒ สาวก็ได้เข้ามาช่วย เลยถือโอกาสคว้าผ้าเช็คตัวฉากเข้าห้องน้ำด้วยใจกระอักกระอ่วน อาบน้ำชำระคาบเหงื่อไคลผสมฝุ่นลูกรังด้วยความปลอดโปร่งจนเสร็จกิจ เปิดประตูออกไปพบ ๒ สาวในชุดทูพียืนยิ้มสดใสค่อยใจชื้นก็บอกเอาใจ

“ขอโทษนะที่อาบนานไปหน่อย อยู่กับฝุ่นลูกรังมาทั้งวัน”

พลัน…๒ สาวปรี่ประชิดตัวช่วยกันจับแขนขาผมยกไปที่เตียง โดยที่ผมไม่ได้ขัดขืนดิ้นรน จึงถูกทั้งคู่หวดด้วยแส้สวาทจนหลับ และ “ฝัน” เห็นตัวเองเดินทางไปกับรุณ ตาแดงที่ท่าเทียบเรือริมทะเลแห่งหนึ่ง จากนั้นเราพากันลงเรือประมงข้ามทะเลท่ามกลางฟ้าดำมืดอยู่ลิบๆ คลื่นลมกรรโชกแรงขึ้นจนเรือที่เราโดยสารไปพร้อมกับชาวบ้านอีก ๖-๗ คนโคลงเคลงราวถูกมือยักษ์จับเขย่า รุณซึ่งอยู่ทางหัวเรือวิ่งเซหลุนๆ มาหา ตะโกนโต้เสียงคลื่นลม

“เปี๊ยก ถอดเข็มขัดรัดตัวเองล็อกกับเสาเรือไว้แล้วจับเป็นหลักยึด”

ความที่ไม่ประสากับทะเลทำให้ผมกุลีกุจอดึงเข็มขัดจากเอวออกล็อกกับเสาเก๋งเรือที่ชาวบ้านเข้าไปมุดหัวหลบลมที่พัดอู้ แรงลมก่อให้เกิดคลื่นสาดซัดขึ้นมาบนเรือ กวาดเอาสรรพสิ่งของที่ชาวบ้านซื้อใส่เรือมากลิ้งลงทะเลในวิบตาในฝันผมมองหาเพื่อนแต่ไม่พบ บรรดาลูกเรือกับไต้ก๋งคล้ายไม่พรั่นทะเลใกล้คลั่ง สั่งทุกคนอย่าตกใจ พลัน…เสียงหนึ่งดังมาจากท้องทะเลปั่นป่วน เป็นเสียงคนที่เสียงคล้าย รุณ ตาแดงดังขาดหายเป็นห้วงๆ

“เปี๊ยก-เปี๊ยก”

ผมลืมตัวปล่อยมือจากเข็มขัด แต่มีมือหนึ่งตะปบคว้าคอเสื้อไว้กระชากกลับอย่างแรงจนตกใจตื่น นอนลืมตาเหงื่อแตกพลั่กคิดไม่ตกว่ามันเป็นการบอกเหตุเหมือนอย่างหลายคราวในหมู่เพื่อนที่ผมเคยฝันถึงแล้วมักประสบชะตากรรมต่างกัน เผลอนอนคิดอยู่บนเตียงเดียวดายครู่ใหญ่ก็ฉุกคิดถึง ๒ สาวที่เพื่อนเช่ามาจากสำนักย่านท่าเรือแพ จึงรีบลุกขึ้นคว้ากางเกงมาสำรวจทรัพย์สินกับเฟอร์นิเจอร์ติดกายพบอยู่ครบ นาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๑๐ โมงเช้า อย่างไม่รอช้า

ผมจัดแจงเข้าห้องน้ำชำระคราบคาวกลางคืนอย่างเร่งด่วนเพราะเชื่อว่า ๒ สาวยังไม่ไปไหน ที่เงียบไปอาจออกไปหาซื้ออาหารหรือไม่ก็ออกไปเดืนรับลมทะเลก็ได้ เสร็จกิจในมาดชุดเก่าแต่ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตฟีลด์แขวนไว้ ก็เปิดประตูบังกะโลออกไปพบแสงตะวันยามสายส่องหน้าพอดี ทำเอานัยน์ตาพร่าเห็นฟ้าสีครามเป็นสีเหลืองซีดๆ ทะเลยามสาย น้ำลดลงจนเห็นหาดทรายขาวยาวเหยียด นักทัศนาจรชายหญิงทั้งไทย-เทศและภิกษุต่างแยกย้ายกันนั่งตามโขดหินริมหาดใต้ร่มเงาลั่นทมที่แผ่กิ่งก้านเอื้อร่มเงาบังตะวันให้ ผมก้าวช้าๆ ไปยืนที่ใต้ต้นรังใหญ่ตากวาดมองหา ๒ สาว แต่ไม่พบก็เตร่ไปทางสโมสรหรือร้านอาหารสวนวังแก้ว พบ ๒ สาวเดินออกมาในมือหิ้วข้างของพะรุงพะรังจึงเข้าไปช่วยแบ่งเบาไว้

“จุ๋มกับเรียมขอโทษที่ออกมาโดยไม่บอก เพราะอยากให้พี่พักผ่อนมากๆ”

“ขอบใจครับ”

“เมื่อคืนพี่พูดยาวกว่านี้นะคะ แล้วก็พูดเพราะด้วย” เรียวสาวผิวขาวชุดกระโปรงรัดรูปสีเหลืองหยอก

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เมื่อคืนคงพูดหมดแล้ว”

๒ สาวพากันหัวเราะคิกคัก ส่วนมือจัดวางอาหาร ตักข้าว อีกพักเดียวเรา ๓ ชีวิตจึงร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ เป็นที่เจริญอาหารเหมือนกับ ๒ สาวได้ลืมเรื่องรุณ ตาแดงเสียสนิท พอรามือจากอาหารคาว ๒ สาวจัดการเทเงาะกระป๋องเกล็ดน้ำแข็งเกาะพราวซึ่งทางร้านค้าเปิดฝาให้แล้วเทลงถ้วยส่งให้ก่อน ความสุขจาการปรนนิบัติตั้งแต่เมื่อคืนจรดขณะนี้มักไม่เกิดขึ้นกับใครง่ายนัก เพราะถือเป็นโชคมิรู้กี่ชั้นถ้าเป็นหวยก็ต้องถูกทั้งรางวัลทั้งเลขท้ายทีเดียว

ครับกับเรื่องแบบนี้ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองอย่างต่ำ ๒ ครั้ง ว่าทำไมจึงไม่ปักหลักหยุดชีวิตจริงจังยังที่ใดที่หนึ่ง แล้วมีครอบครัวอย่างเป็นหลักเป็นฐานเสียที คำตอบก็คือ เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ถึงสัปดาห์ระหว่างเป็นเงาให้เพื่อนคงเป็นคำตอบได้บ้าง หลายถิ่นที่ที่ผมตะลอนไป เคยมีบ้างที่ผมพบปะพูดคุยกับหญิงสาวจนเข้าขั้นจะเข้าใจกัน จู่ๆ ก็เกิดเหตุจนต้องระเห็ดหนีไปจากถิ่นที่นั้น ไปนอนเลียแผลใจจังหวัดอื่น ที่อื่น หนักเข้าเลยตัดปัญหาไม่พยายามสร้างไมตรีกับเพศตรงข้าม แต่ไม่เคยพ้น

“คิดอะไรหรือพี่ ดูสิเหม่อลอย ไหนบอกจุ๋มว่าแฟนยังไม่มีไงล่ะ”

ผมได้แต่ยิ้ม เรียมผิวขาวเหน็บเสียงใสบ้าง “ที่ระยองไม่มี แต่ที่อื่นไม่ทราบใช่ไหมพี่”

“พี่ยอมแพ้แล้วจ๊ะ” ผมยอมเสียชายยกแขนชูหรา

สาวเจ้าพากันหัวเราะเป็นที่ครึกครื้น จุ๋มสาวคล้ายได้คิดรีบเปลี่ยนอิริยาบถสงบขรึม พลางตักเงาะในถ้วยใส่ปากทีท่าเสแสร้งก็ปลอบ

“พี่เห็นจุ๋มหัวเราะร่าเริงก็ดีใจ อยู่ดีๆ ทำไมถึงเงียบไป หรือว่าเกิดสงสารพี่”

จุ๋มยิ้มเคอะเขิน ตาสุกใสดำขลับเหลือบมองเพื่อนสาว กล่าวแทบไม่ได้ยิน

“จุ๋มมาคิดว่า ถ้าพี่รุณเหมือนพี่ก็ดี จุ๋มขอโทษค่ะที่พูดตรงๆ”

“ที่แล้วมาพี่ขอให้ลืมมันเถอะ เมื่อคืนเขาก็ได้แสดงน้ำใจต่อจุ๋มแล้วไม่ใช่หรือ”

เรียมผิวขาวเสริมแทนเพื่อนสาวเสียงเครือ “พี่รุณเหมือนคนบ้า ป่าเถื่อนทำเหมือนพวกหนูไม่ใช่คน คิดเสียเงินแล้วจะทำอย่างไรก็ได้”

“ต่อไปนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

“ขอหนูถามพี่หน่อยนะ”

“ถามมาเถอะ”

“พี่เป็นเพื่อนกับพี่รุณหรือ…แต่ก่อนพวกจุ๋มไม่เคยเห็นพี่เลย เคยพบแต่พี่ชาญกับพี่อิ้ง”

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่เป็นพวกมือปืน” จุ๋มต่อคำ

“เพราะอะไรถึงไม่เชื่อ?”

หญิงสาวสั่นหน้า “จุ๋มบอกไม่ถูกค่ะ หรืออาจเป็นเพราะพี่ไม่ดุก็ไม่รู้”

“มือปืนน่ะ เขาจะดุตอนลงมือเท่านั้น”

“พี่ไม่กลัวถูกเขายิงเอาบ้างหรือคะ?” เรียมเริ่มกล้าขึ้น

“กลัว”

“แล้วปืนของพี่ล่ะ?”

“พี่มาอยู่ใกล้ผู้หญิง ไม่มีอันตรายมีแต่ความหอม ทำไมจะต้องพกปืนมาด้วย” ผมเลี่ยงดีกว่าจะพูดความจริง

๒ สาวหัวเราะคิก ยกมือขึ้นชี้หน้าผมราวนัดกัน จุ๋มร้องลั่น “เห็นไหมหวานก็เป็นด้วย”

ดวงตะวันคล้อยดวงไปทางทิศตะวันตก นาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลาบ่าย ๒ โมงเศษมาสด้าปิกอัพสีฟ้าขับโดยนักเลงปืนผิวนิลพร้อมกับ ๒ หนุ่มที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถเคลื่อนเข้าเทียบยังลานจอดรถหน้าบังกะโล ผมชวน ๒ สาวเข้าไปต้อนรับ รุณผลักประตูรถเปิดกว้างลงมา บอกประโยคแรก

“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน…เราซื้อเสื้อกางเกงมาฝากนาย ๒ ชุด เปลี่ยนเสียเลย”

จบคำรุณหันกลับก้มลงคว้าถุงกระดาษข้างเบาะนั่งส่งให้ ผมยิ้มให้เพื่อนพลางรับถุงเสื้อกางเกงดิ่งเข้าที่พักจัดการเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เสร็จ หิ้วถุงสมบัติกลับไปที่รถอีกครั้ง พบ ๒ สาวขึ้นไปนั่งบนกระบะรถร่วมกับ ๒ หนุ่มอันเมื่อครู่นั่งมาตอนหน้ารถ

“ขึ้นมาเลยเปี๊ยก”

“ค่าที่พักล่ะ จ่ายที่ไหน?”

“เราจ่ายแล้ว”

ผมก้าวขึ้นรถและดึงประตูปิด รุณขับรถโดยไม่รีบร้อนออกจากสวนวังแก้วท่ามกลางนักทัศนาจรชายหญิงที่มากับรถบัส รถทัวร์ หรือรถส่วนตัว ยังคงทยอยเข้าชมทัศนียภาพทะเลไม่ขาดสาย จวบรถวิ่งเลาะถนนชายหาดกลับเส้นทางเดิม รุณขยับตัว ผมเหลียวมอง เพื่อนยื่นวัตถุสีดำเป็นมันปลาบให้

“เปี๊ยกเอาไว้ใช้ ของพี่ชายเราจำนำในบ่อนเกือบปีแล้ว เรานึกขึ้นได้เลยไถ่มาให้”

“ของนายล่ะ?”

“เราขาดปืนไม่ได้หรอก”

“๒ คนที่มาด้วย ลูกน้องนายหรือเพื่อน?”

“เด็กเราเอง ใจกับความซื่อเชื่อได้ เราบอกมันแล้วว่าถ้ารักนับถือเราก็ต้องรักนับถือนายด้วย เลยไม่แนะนำให้รู้จัก”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“เปี๊ยก เราเลื่อนเวลาไปเกาะสัก ๓-๔ วันได้ไหม มีเรื่องด่วนต้องทำครูพรถูกยิงตายได้ ๒ วันเข้าวันนี้แล้ว”

“อ้าว…” ผมร้องได้คำเดียว

“ไอ้ธมกับไอ้ดิษฐ์เป็นคนลงมือ”

ภาพครูสมพรครูใหญ่ยอดนักสู้เพื่อชาวบ้านวันครึ่งศตวรรษถูกจับมัดมือเท้าไพล่หลังราวสัตว์ขณะที่รุณกับผมช้งตัวมาจากเสือธมที่ปากทางนายายอามผุดวาบ

“รุณจะเอายังไง?”

“เราต้องล่าไอ้ ๒ ตัวนั่นมาใช้หนี้ชีวิตครู เรื่องนี้เราขอเถอะ เพราะเราได้พูดไปแล้วว่าครูจะเป็นอะไรไม่ได้”

“รุณ นายมีอะไรยืนยันว่า ๒ คนนั่นฆ่าครูพร”

“คุณม่วงลูกสาวครู เธอรู้จักมันกับเห็นหน้ามันตอนขับรถเคลื่อนสวนกันหลังยิงครูไม่ถึง ๕ นาที”

“ถ้าหยั่งงั้นเราไปด้วย” ผมตัดสินใจเด็ดขาด

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: