3813. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 13 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 13 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
เมื่อให้ลูกน้องปลดอาวุธเรา ๒ คนไปได้ ร่างสูงใหญ่ของจ่านายสิบตำรวจปราดเข้ามาหาพร้อมยื่นกุญแจมือขาววะวับให้ด้วยสีหน้าปั้นยาก สาดไฟทางลมปากใส่นักเลงปืนผิวนิลราวคู่แค้น
“ใส่ซะทั้ง ๒ คน ดูซิว่า “หมาย” กับ “ปืน” อย่างไหนจะศักดิ์สิทธิ์”
รุณ ตาแดงบดกรามกรอด หอบหายใจถี่ ตามองกุญแจมือเขม็งก่อนรับไว้ จ่าเยี่ยมยิ้มหยัน หล่นคำเข้ม
“ใส่ซะ…มึงใส่ให้ไอ้นั่นก่อน” ประโยคท้ายผู้ได้ชัยหมายถึงผม
เพื่อนรับกุญแจมือมาแกร่งเล่นคล้ายยั่งยุ ผมชำเลืองมองเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ยังประทับปืนจ้องมายังเรา ๒ คน พบแต่ละคนมีทีท่าขึงขังเอาจริง จ่าเยี่ยมฉุนขาดตบโครมเข้าที่บังโคลนรถ
“ไอ้หมารุณ ให้มันรู้ไปว่ามึงจะสู้ปืนได้”
รุณนั่งไหล่ตั้งสงบเฉย กุญแจมือขาววะวับยังถืออยู่ จ่ามือปราบตาลุกจ้าหอบหายใจแรง วิบตาร่างสูงใหญ่ขยับฉวัดปืนเอ็ม-๑๖ ขึ้นจ่อเข้าบริเวณท้ายทอยเพื่อนผู้ถูกยกย่อง “เจ้าพ่อเขาหวาย” แม้ถูกปืนจ่อเข้าที่ศีรษะก็มิได้ตระหนก จ่าเยี่ยมจ่อปากกระบอกเอ็ม-๑๖ คาไว้เหวี่ยงสายตามาที่ผม ตะคอกมากสั่ง
“เฮ้ย มึงน่ะแหละเอากุญแจมือใส่ซะ เสร็จแล้วใส่ให้ไอ้ตัวห่านี่ เอานะกูจะนับ ๑ ถึง ๓ ถ้ามึงไม่ทำก็อย่าหาว่าโหด”
ร่างใหญ่ของจ่าเยี่ยมค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปยืนรวมกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ประทับปืนจ้องจังก้ามาทางเราอยู่แล้ว ความร้อนตะวันบวกร้อนต่อสถานะคับขันเบื้องหน้าได้เพิ่มดีกรีความร้อนแก่ผมยิ่งขึ้น
“หนึ่ง” จ่าเยี่ยมนับ
ผมชักวุ่นวายกับลังเลต่อการตัดสินใจ เพราะหากผมยอมใส่กุญแจมือตัวเองก็เท่ากับต้องใส่ให้เพื่อนด้วย
“สอง”
ผมจนทาง สะบัดหน้าไปทางรุณ ตาแดง บังเอิญเพื่อนหันมาพอดี ใบหน้าอาบเหงื่อเป็นมันปลาบแลดุดัน ตาแดงก่ำจ้องหน้าผมพลางยื่นกุญแจมือให้ผมรับมาคล้องฉับข้อมือตัวเอง พอกดล็อกเข้าที่ก็เงยหน้ามองเจ้าพ่อเขาหวายรุณยิ้มขรึมบอกเบากริบ
“ใส่เถอะเพื่อน”
“เข้าใจเรานะ” ผมสนองตอบพร้อมสับกุญแจมือเข้ากับข้อแขนเขาทันที
ถูกยึดอาวุธคู่ใจ ถูกพันธนาการถึงขนาดนี้แทนที่จ่าเยี่ยมจะลดราโทสะเอากับเรา กลับซุนฟืนใส่ไฟด้วยถ้อยคำหยามหยันด่าทออันเกินหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่จะพึงกระทำสารพัด ทว่ารุณ ตาแดงผู้ร้อนปานไฟนรกกลับนั่งไหล่ตั้งไม่ต่างศิลา ผมเองตกอยู่ในสถานะเดียวกันแต่ไม่ได้ถูกกดดันจากลมปากผู้ได้ชัย พลอยนึกจงชังพฤติกรรมและแทบเหลือกล้น จ่าเยี่ยมก่นด่าเชิงยั่วยุให้รุณแสดงออก พักหนึ่งก็สรุปเสียงกร้าวมือขวากระชับเอ็ม-๑๖ อยู่ถูกยกขึ้นชี้หน้า
“มึงมันเป็นใครกันแน่ หรือเป็นเจ้าป่าเจ้าไพร เที่ยวชี้ตายชี้เป็นคนเขาทั่งไปหมด แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคนมึงถือสิทธิ์อะไรไปครอบครองถึงขนาดนั้น…ต่อนี้ไปกูจะกวาดล้างไอ้พวกศาลเตี้ยให้หมด”
มิทันที่หัวหน้าสายตรวจได้กล่าวจบความ เสียงเครื่องยนต์รถได้ดังกระหึ่มดึงความสนใจทุกคนพุ่งสายตาไปที่หมู่ไม้หนาทึบเชิงเขา กลางแดดบ่ายร้อนฉ่าห่างไปประมาณ ๓๐๐ เมตร ปรากฏรถปิกอัพคันหนึ่งบรรทุกชายฉกรรจ์มาแน่รถขับมุ่งมาหา กำนันจิตอันเป็นเจ้าหน้าที่นายเดียวในกลุ่มตำรวจปราดไปหาจ่าเยี่ยมบอกเสียงดัง
“พวกลูกๆ ผมเอง มันคงไปจับลูกน้องไอ้รุณที่ตั้งด่านอยู่”
จ่าเยี่ยมเทลมหายใจแรง “มันน่าจะพาตัวไปคุมไว้ที่บ้านกำนันก่อน พามาทำไมที่นี่”
“เดี๋ยวผมจะให้มันพากลับไปที่บ้าน” ผู้นำระดับตำบลรีบอาสา
“ถ้าหยั่งงั้นเอาไอ้ ๒ ตัวนี่ไปด้วย” จ่ามือปราบชี้มาที่เรา
“ดีเหมือนกัน”
ปิกอัพสีน้ำตาลไหม้คราบฝุ่นจับแดงวิ่งเข้าไปจอดห่างท้ายรถตำรวจ กำนันจิตเสียบ ๑๑ ม.ม. เข้าซอกเอวปรี่ไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์บนรถ หนุ่มวัย ๒๓ ปีร่างใหญ่ ผิวคล้ำ ผลักประตูด้านคนขับออกมา
“นั้นแหละไอ้เสาร์ ลูกกำนันจิต” รุณกระซิบข้างหูหลังจากเงียบไปนาน
ผมไม่ต่อคำเพื่อนเพราะ ๑ ในกลุ่มเจ้าหน้าที่หันมามอง จ่าเยี่ยมซึ่งผละจากเราไปสั่งการลูกน้องอยู่ใต้ร่มไม้เหมือนเจตนาทรมานเรา ๒ คนให้ถูกแดดเผาจนไหม้
“ลูกน้องเรา ๓ คนถูกมันจับมาด้วย” รุณกระซิบและเสริมสีหน้ากังขา “แปลกว่ะ”
ผมชักสะดุดใจ กระซิบถาม “แปลกยังไง?”
“ธรรมดาจ่าเยี่ยมกับกำนันจิตไม่ถูกกัน ตอนนี้มันรวมหัวกันเล่นงานเรา”
น้ำคำเพื่อนยิ่งช่วยเสริมให้สิ่งที่ผมหวั่นเกรงว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นแล้วนั่นคือการ “ฮั้ว” กันลดบทบาทรุณ ตาแดงหรือไม่ก็ฆ่าทิ้ง ซึ่งแต่แรกผมหวังดึงให้เพื่อนเข้าหาชาวบ้านสร้างแต่พระคุณไว้เป็นฐานเพื่อต้านนายทุนอันไม่ต่างเสือหิวเข้าไปบุกรุกทำลายป่า มาบัดนี้สิ่งที่วาดหวังพังสิ้น มิหนำซ้ำยังตกอยู่ในสภาพไม่แผกเชลยจากศัตรูที่รุณไปขวางเส้นทางอันหาใช่กำนันจิตกับลูกชายและกลุ่มนักเลงสิงห์ป่าซุงเท่านั้น การที่ตำรวจหัวหน้าสายตรวจอย่างจ่าเยี่ยมเข้าไปจับมือกับกำนันจิตเล่นงานเราขณะนี้ จะต้องมีคนที่ “ใหญ่” กว่านี้เข้ามาชักใยอยู่เบื้องหลังซึ่งสามรถสั่งให้ตำรวจกลุ่มหนึ่งกระทำการตามบัญชาได้ ช่างเถอะ พลาดแล้วก็อย่าให้พลาดซ้ำ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานะใด ตราบที่ยังมีลมหายใจย่อมมีหนทางแก้ไข ผมให้กำลังใจตัวเอง พักใหญ่ กำนันจิตผละจากหนุ่มร่างใหญ่ ผิวคล้ำ ติดหนวดเล็กเรียว หรือ #เสือเสาร์ ผู้เป็นลูกชายเข้าไปปรึกษาความกับจ่ามือปราบ อีกครู่เดียวก็พากันดิ่งมาที่เรา
“ลงจากรถได้แล้วโว้ย เจ้าพ่อ” จ่าเยี่ยมเหน็บเอาอีก
เจ้าพ่อสงบเงียบเหมือนเดิมขณะลากโซ่กุญแจมือที่ติดกับข้อผมลงจากรถไปยังรถปิกอัพท่ามกลางปากกระบอกปืนนานาชนิดจ้องพร้อมยิง ที่รถปิกอัพสีน้ำตาลไหม้พาหนะคันใหม่มี ๓ บริวารของรุณ ตาแดงในสภาพถูก “ยำ” หน้าตาปูดโปน บางคนหน้าแตกเลือดอาบนั่งคอตกดั่งหมดอาลัย
“เอ้า เฮ้ย มึง ๓ ตัวน่ะลืมตาดูลูกพี่ซะ”
เสาร์ นาคำดีบอก ๓ สมุนเพื่อนด้วยน้ำเสียงและท่าทางเย้ยหยัน ๓ หนุ่มบนกระบะรถเหลือบมองดูลูกพี่ด้วยสายตาอิดโรย รุณชายตามองสมุนแวบเดียวก็ปืนขึ้นไปบนกระบะรถ ผมปฏิบัติตาม กลุ่มลูกน้องกำนันอีก ๕ นายติดอาวุธปืนครบมือขึ้นมายืนกำกับ โชเฟอร์หรือเสือเสาร์เข้าประจำที่คนขับ สมุนร่างใหญ่พอกันเข้าไปนั่งขนาบ จ่าเยี่ยมยืนเท้าเอวจ้องตาวาว กล่าวเสียงดัง
“รุณโว้ย ลูกน้องมึงที่หลังเขาน่ะ ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก มันก่อกรรมไว้มากก็ต้องชดใช้กรรมตามธรรมเนียบ”
“ไอ้สัตว์เยี่ยม” รุณสุดกลั้นแผดเสียงสนั่นลุกยืนจังก้า
เสือเสาร์โชเฟอร์หัวเราะร่าเมื่อเห็นคู่แค้นถูกจ่าเยี่ยมยั่วยุจนเต้นผางส่วนจ่ามือปราบผู้ถูกรุณด่าใส่ฉวัดปากกระบอกเอ็ม-๑๖ หวดเข้าชายโครงรุณดังตึบ ร่างแกร่งสันทัดเปรียวเซหลุนๆ ไปท้ายรถ ผมซึ่งถูกล่างคู่กับเพื่อนโผนเข้ารับยันร่างเพื่อนไว้ เสียงปืนกลมือแผดระเบิดกึกก้องถี่ยิบ ผมกับรุณยืนร่างชาดิก กระสุนเอ็ม-๑๖ ในมือจ่าเยี่ยงทะลวงขึ้นฟ้าห่างจากใบหน้าเรา ๒ คนเมตรเศษ พอเสียงปืนจางหูเสียงจ่าร่างใหญ่ตะคอกลั่น
“ไอ้พวกหมาดำ ถ้านายไม่ห้าม กูไม่เอามึงไว้หรอก”
ใบหน้าจ่าเยี่ยงขณะนี้ดุดันไม่เป็นผู้เป็นคน ตาขวางแดงเรื่อ หันรีหันขวางแต่ไม่เคลื่อนไหว รุณกับผมยังคงตรึงร่างแนบกระบะรถ อึดใจจ่าร่างใหญ่หันขวับมายังเรา ๒ คน คำรามกร้าว
“มึงนะมึง ถ้านายไม่สั่ง กูจะตัดหัวมึงเสียบประจานไว้ที่นี่ให้ดู”
ไม่มีผู้ใดตอบสนอง ยอดจ่าก้าวอาดๆ ไปหาเสือหนุ่มผู้ทำหน้าที่โชเฟอร์สั่งความห้วนๆ
“เอาไอ้พวกห่านี่ไปได้แล้ว เดี๋ยวกูยิงหัวหลุด”
ยามนี้เสือเสาร์ลูกชายกำนันจิตไม่รั้งรอ รีบเคลื่อนรถไปถอยกลับแล้วขับคืนยังเส้นทางเข้าหมู่บ้านเขาวงอันไม่ทราบว่าจะพบกับอะไรอีก
นาฬิกาเรือนทองบนข้อมือผมซึ่งไม่ได้ถูกปลดไปพร้อมกับอาวุธบอกเวลาบ่ายโมงเศษ พาหนะเชลยวิ่งโคลงเคลงออกยังด้านหน้าเขาที่ตั้งบ้านเขาวง แต่เลี้ยวซ้ายเข้าถนนลูกรังแคบๆ ที่ผ่านเข้ากลางไร่มันสำปะหลังเขียวพรืดสุดสายตา พอรถรถตะกุยฝุ่นพ้นไร่มันก็เป็นถนนลูกรังขวางอยู่กลางป่าไม้ร่มครึ้มมีป้ายชื่อปักและลูกศรชี้
“กำนันจิต นาคำดี เลขที่ ๑ หมู่ ๑ ตำบลบ้านเขาวง”
รถผ่านเข้าหมู่ไม้ไปหยุดอยู่ใต้ซุ้มไผ่ ด้านหลังเราปรากฏบ้านไม้สักทองหลังใหญ่ใต้ถุนสูงกว้างขวาง เฉพาะเสาบ้านใช้ซุงขนาดเกือบ ๒ คนโอบราว ๕๐ ท่อน เปรียบความโอ่อ่าของกำนันจิตแล้วนำไปเทียบกับเพื่อนที่อาศัยถ้ำอยู่แลต่างกันฟ้ากับดิน
“เชิญเลย เสือรุณผู้ยิ่งใหญ่” เสาร์เชื้อเชิญแตไม่วายชายตามองผม
รุณผู้แสนจะอดกลั้นต่อคำหยามหยันนานาปิดปากเหมือนเดิมขณะโดดลงจากรถพร้อมกันอีก ๓ สมุนเพื่อนขยับจะโดดตาม หนุ่มร่างใหญ่ปราดเข้ามายกมือห้ามไว้ บอกเสียงเข้ม
“ผู้ใหญ่สั่งให้แยกย้ายกันควบคุม”
รุณร่างสั้นรัว สองมือกำจนเกร็งคล้ายจะรู้ว่าคำพูดนั่นแฝง “เจตนาร้าน” จนกลายเป็นความกดดันอย่างหนัก แต่เขาไม่สำแดงทางกิริยานอกจากประกายจากสายตาที่เขามองเสือเสาร์ปานจะกินเนื้อ จากนั้นรุณกับผมถูกคุมตัวเดินลอดใต้ถุนบ้านไม้สักทองหลังดังกล่าวไปทางด้านหลังซึ่งมีโรงเรือนไม้หลังเล็กปลูกอยู่ยกพื้นสูงราว ๑ เมตร ไม่มีหน้าต่าง
“พักผ่อนสัก ๓-๔ ชั่วโมง แดดดับแล้วกูจะให้เด็กๆ มันเอาข้าวปลามาให้กิน”
เสือเสาร์บอกก่อนพยักหน้าให้สมุนปิดประตูทั้ง ๒ บาน โดยไม่ยอมแม้แต่ถอดกุญแจมือที่ล่ามคู่กันอยู่ พอประตูปิดสนิทสภาพภายในโรงเรือนพลันมืดตื้อ กลิ่นมันบูดคือสัมผัสแรกทางจมูก ความอับทึบไม่มีช่องระบายลมผสมกับความร้อนจากถูกแสงแดดเผามากกว่าครึ่งวันทำให้บรรยากาศมืดตื้อร้อนอบอ้าวทับทวี
“ถอดเสื้อออกเถอะ ร้อนตับจะแตก”
รุณเปิดปากอีกครั้งพลางขยับเสื้อถอดหลุดจากไหล่ไปกองไว้ที่ข้อแขนซ้ายซึ่งติดกุญมือคู่กับผม
“ที่นี่คงใช่เก็บมันตาก กลิ่นบูดทำให้เวียนหัว เอาเสื้อปิดจมูกไว้ก่อนเถอะ”
สุ้มเสียงรุณ ตาแดงบอกแก่ผมเริ่มราบเรียบมีกับวาน ผมจัดการถอดเสื้อออกแล้วรูดไปกองยังข้อแขนขวาโดยใช้ชายเสื้อปิดจมูกตามที่เพื่อนแนะ รุณเรียกเสียงนุ่ม
“เปี๊ยก…”
“หือ”
“เสียใจไหมที่ร่วมทางกับเรา”
“ไม่เคยคิด” ผมตอบทั้งจ้องหน้าเขา
“เราจะบอกกำนันจิตว่านายไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด คิดว่าคงพูดกันรู้เรื่อง”
ผมชักฉุน “รุณ ถ้านายคิดว่าเราคือเพื่อนอย่าพูด เรายังไม่จนตรอกขอเพียงนายอย่าวู่วามกับเชื่อฟังเราบ้าง”
เจ้าของฉายาเจ้าพ่อเขาหวายเงียบไป ความมืดทำให้ผมไม่อาจเห็นกิริยาสนองตอบนอกจากเสียงทอดถอนใจแรง ครู่หนึ่งเขาใช้มือที่ใส่กุญแจติดกับผมจับแขนผมบีบ
“ที่เราพูดเมื่อกี้อย่าเข้าใจผิดนะ เราเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมแก่นาย”
“เราเข้าใจนายดี รุณสบายใจเถอะ เตรียมสมองไว้แก้ไขเรื่องข้างหน้าดีกว่า”
“ขณะนี้ไม่ต้องคิดแล้ว ลองมันรวมหัวกันตัดมือตีนเราแบบนี้ มี ๒ ทางคือฆ่าเรากับบังคับให้เราออกไปจากที่นี่”
“รุณ นายรู้ไหมว่า “ผู้ใหญ่” ที่มันพูดถึงน่ะใคร?”
เขาเงียบไปอึดใจก่อนหล่นคำท้อแท้ “เป็นนายตำรวจระดับรองผู้กำกับฯ ร่วมกับป่าไม้อำเภอ”
“พวกนี้คงต้องการที่ดินที่นายถือสิทธิ์อยู่”
“แน่นอน…ก็หยั่งที่เราเคยเล่าให้ฟังว่ามันขอซื้อไร่ละพันบ้างสองพันบ้างเราขายไม่ได้หรอก คนของเราตายไปเท่าไหร่”
“ถ้าขายเพื่อแลกกับชีวิตล่ะ?”
“ได้ ถ้าได้ห้าล้าน”
“ไม่มากไปหรือ?”
“ที่ดินเป็นหมื่นๆ ไร่ ตัดเฉพาะไม้ขายก็เป็นเศรษฐีแล้ว”
“แต่ราคาชีวิตพวกเราไม่ถึงขนาดนั้น”
“ทำไม่นายตีราคาตัวเองต่ำนัก คนเหมือนกัน” รุณเริ่มมีอารมณ์
แบบนี้คงพูดคุยกันตอนนี้ไม่ลงตัวแน่ เพราะทั้งคำพูดกับน้ำเสียงเพื่อนส่อชัดยังมี “อัตตา” ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ผมจะหว่านล้อมให้เขารับฟังในทันทีทันควัน จึงสงบปาก
เวลาผ่านไป ผมเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพเหม็นอับร้อนจนปากแห้งผากน้ำลายเหนียวเหนอะ รุณแต่เดิมนั่งทิ้งก้นกับพื้นกระดานพิงฝา บัดนี้เลื่อนลงนอนหงาย ท่อนแขนขวาพาดบนหน้าผากสงบนิ่ง ผมเองตกอยู่ในภาวะเครียดทั้งร่างกายจิตใจ รู้สึกอ่อนระโหยจนต้องล้มลงเอนตามเพื่อน ไม่นานก็พล็อยหลับไป ถูกปลุกให้รู้สึกตัวด้วยแรงกระตุกที่ข้อมืออย่างแรง รีบผลุนผลันลุกขึ้นนั่งตามองไปยังประตูซึ่งปรากฏเสียงกระแอมไล่เสลด ตามด้วยเสียงกระชากกลอนประตู
“รุณโว้ย รุณ”
รุณถามออกไป “กำนันเหรอ”
“เออ กูเอง ผู้ใหญ่เขาส่งตัวแทนมาคุยด้วย”
สิ้นเสียงประตูโรงเรือนถูกเปิดกว้าง แสงสว่างจากแสงตะเกียงเจ้าพายุสว่างจ้าจนต้องยกมือบังมิให้นัยน์ตาพร่า พบกลุ่มชายฉกรรจ์กับกำนันอิทธิพลยืนอยู่หน้าเพื่อน
“ไป พวกมึงพามันไปล้างหน้าตาแล้วกินข้าวปลาเสียก่อน”
ยามนี้เรา ๒ คนมีแต่ปฏิบัติตามกลุ่มลูกน้องกำนันพร้อมปืนไปยังเรือนไม้หลังขนาดย่อมซึ่งขณะนี้สว่างโพลงจากแสงตะเกียงเจ้าพายุไม่ต่ำกว่า ๕ ดวงผู้คนชายหญิงก็คึกคักไม่ต่างเจ้าบ้านจัดงานบุญสำคัญ
ที่เรือนไม้ขนาดย่อมใต้ถุนสูงอันอยู่ด้านหลังบ้านสักทองหลังใหญ่ก็มีชาวบ้านหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนกับการจัดเตรียมอาหาร รุณกับผมถูกพาตัวไปยังแท็งก์น้ำข้างเรือนซึ่งบัดนี้ชาวบ้านต่างหยุดกิจจ้องตามาที่เราเป็นจุดเดียว
“ล้างหน้าล้างตาซะลูกพี่” ๑ ในกลุ่มลูกน้องกำนันบอก
ความร้อนบวกกระหายน้ำบันดาลให้เราปรี่เข้าหาแท็งก์น้ำฝนราวนัดกัน ระหว่างดื่มกินกับลูบล้างหน้าตาเรียกความสดชื่นคืนมา เผอิญผมเหลือบไปพบกลุ่มชายฉกรรจ์ ๕ นายพกอาวุธปืนสั้นตุงเอวปราดมาหา ถามเสียงแน่น
“คนไหนวะเสือรุณ?”
รุณกับผมละจากก๊อกน้ำหันเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์แต่งกายรัดกุมอย่างไม่สะทกสะท้าน หนุ่มวัยเกือบ ๓๐ ปี หุ่นทรงมะขามข้อเดียว ติดหนวดไว้ใต้จมูกหนาเตอะ ผิวดำแดง ก้าวล้ำหน้ากลุ่มมายืนชมเรา เมื่อปะหน้ากันระยะประชิด เจ้าของหุ่นเตี้ยล้ำจ้องเขม็งมาที่ผมพลางกะพริบตาถี่ คิ้วหนาขมวดมุ่น หลุดปากทีท่าลังเล
“เปี๊ยกใช่ไหม?”
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อันธพาน ครองเมือง 2012