3811. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 12 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 12 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

สิ้นคำผมตอบรับร่วมต้านศึก รุณตาแดง สะบัดหน้าไปทาง ๔ สมุนที่เขากำหนดให้ร่วมตลบหลัง ถามเสียงเย็นกลางเสียงปืนซัลโวใส่พวกเราราวห่าฝนจนกิ่งไม้ใบร่วงกราว

“มึง ๔ คนพร้อม?”

ดำ บ่อไร่ตอบแทนพวกเสียงแน่น “พร้อมพี่”

นัยน์ตาแหลมคมใต้คิ้วหนาเข้มขมวดเคร่งขรึมจริงจังบัดนี้จับยังดงไม้หนาทึบชัยภูมิฝ่ายตรงข้ามซึ่งค่อยๆ เงียบลง และเงียบเชียบจนได้ยินเสียงหอบหายใจตัวเอง
“มันเล่นเลห์แล้วพี่” ป้อมคาดการณ์

รุนหันมาทางผม “เปี๊ยกคิดยังไง?”

ผมตอบไปตามที่รู้สึก “เราว่ามันหนีแล้ว เรื่องตามถล่มยิงเราคงไม่กล้า”

“เพราะอะไร?”

ตามที่เราคิดมี ๒ ทาง” ผมแจง “ทางหนึ่งเพราะลงมือพลาด ทางสุดท้ายเพราะกำลังเราเหนือมัน เมื่อลงมือพลาดเลยเสียขวัญ…แต่อย่ามั่นใจนัก”
นักเลงปืนผิวนิลคล้ายครุ่นคิดเชิงลังเล ผมกล่าวเสริม

“นายลองยิงกราดเข้าไปในดงไม้นั่นดู บางทีจะได้คำตอบ”

รุณยิ้มขรึมสลับท่านั่งในลักษณะนั่งทับเข่าพร้อมส่ายปากกระบอกเอ็ม-๑๖ เหนี่ยวไกยิงทันที ปืนกลมือใช้ในราชการสงครามแผดกัมปนาทปานป่าแตก ไล่ๆ กันปรากฏเสียงปืนรัวกึกก้องตามด้วยเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ระเบ็งเสียงสนั่นบนิเวณเชิงเขาวงด้านทิศเหนืออันคนละจุดกับที่ฝ่ายตรงข้ามซุ่มโจมตีครั้งแรก

“มันหนีแล้ว เร็วโว้ย”

รุณเนื้อเต้นลุกขึ้นเผ่นไปยังเชิงเขาที่มาของเสียงปืนกับรถม ผมโผนตามอีก ๖ สมุนจี้ติดหลังผม อึดใจรุณหยุดหอบเหงื่อโชกชุ่มหน้าพลางชี้ไปที่แท่งหินขนาดใหญ่เชิงเขาอันมีทางลาดชัน พอขึ้นไปได้สูงประมาณ ๒๐ เมตร ปากแผดเสียงเอ็ดอึงกลางตะวันกล้า

“ขึ้นไปดักยิงข้างบนโน่น มันจะต้องขับรถอ้อมไปที่นั่น ไม่หยั่งงั้นไม่มีทางออก”

ไหวพริบปฏิภาณกับความจัดเจนในพื้นที่ของลูกพี่มีส่วนสร้างความเชื่อมั่นต่อทั้ง ๖ สมุนจนกรูกันขึ้นไป รุณแตะแขนผม บอกห้วนๆ

“ไปที่รถเถอะ เผื่อมันย้อนออกทางนั้น”

เรา ๒ คนวิ่งลงเนินเขาลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ บางแห่งรกทึบ บางแห่งเป็นป่าโปร่งเหมือนมิรู้เหนื่อย บริเวณพื้นราบอแอ่งกระทะบัดนี้สงบเงียบ จิ๊ปเล็กยังจอดโต้แดดอยู่ สภาพรถที่เห็นชัดตาขณะนี้มีรูกระสุนปืนสงครามเจาะไม่ต่ำกว่า ๕๐ รู รุณขึ้นไปบนรถเปิดสวิตช์สตาร์ตเครื่องยนต์รถทดสอบสมรรถนะเสียงกระหึ่ม จู่ๆ เสียงปืนแผดสะท้านสะเทือนไปทั้งป่า รุณร้อนฉ่าเรียกลั่น

“เปี๊ยก ขึ้นรถเร็ว”

ผมก้าวพรวดขึ้นนั่งยังเบาะหน้า รุณปล่อยคลัตช์เคลื่อนรถปานจะเหาะรถตะกุยฝุ่นลูกรังทะยานลิ่วไปข้างหน้าบนเส้นทางทั้งคดเคี้ยวทั้งขรุขระ พักใหญ่เสียงปืนได้เงียบหายไป รถเริ่มไต่ขึ้นเนินเขาแล้วปล่อยให้ไหลลงอย่างช้าๆ กระทั่งพ้นสภาพป่าทึบสู่พื้นที่ราบโล่งแลเขียวพรืดด้วยไร่มันสำปะหลัง จึงพบกลุ่มสมุนเพื่อนยืนบนก้อนหินใหญ่โบกมือให้สัญญาณไปมาก่อนใช้ปืนชี้ไปยังละเมาะไม้ข้างหน้ารุณหันมองผม

“เปี๊ยก ระวังตัวนะ”

“เราพร้อม”

จิ๊ปเล็กวิ่งโคลงเคลงฝุ่นฟุ้งไปได้อีก ๒๐ เมตร ปรากฏมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งล้มขวางทางอยู่ รุณหยุดรถฉับพลัน บอกอีกประโยค

“ระวังหลังให้เราด้วย”

ผมยิ้มให้เขา รุณลงจากรถทีท่าขรึม สองมือกระชับเอ็ม-๑๖ ก้าวย่างไปยังจักรยานยนต์วิบากสีน้ำเงินซีดสภาพเก่าคร่ำฝุ่นลูกรังจับแดงหนาเตอะ

๑๑ ม.ม. ในมือผมถูกยกขึ้นประทับ ส่ายตาคอยคุ้มกันเพื่อน แต่ไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติ รุณก้าวไปหยุดที่รถกวาดตาสังเกตการณ์รอบๆ บริเวณนั้นอย่างระมัดระวังพักเดียวก็กวักมือเรียก ผมผละจากรถไปหาที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ริมทางอันปรากฏรอยเลือดสดๆ จับอยู่ตามกิ่งไม้ใบหญ้าซึ่งเอนราบลู่เป็นช่อง

“มันบาดเจ็บมาก ไปไม่ไกลหรอก” รุณบอกเสียงเครียดก่อนโบกมือส่ง “ซิก” ให้สมุนลงจากเขามาสมทบ ส่วนผมข้องใจกับหลักฐานรถจักรยานยนต์ เนื่องจากพาหนะดังกล่าวไม่สามารถบรรทุกผู้คนได้เกิน ๓ คน ทว่าจากเสียงปืนที่ฝ่ายตรงข้ามระดมยิงใส่พวกเราตอนแรกดูเหมือนใช้ปืนไม่ต่ำกว่า ๔-๕ กระบอกก็อดคิดไม่ได้ จึงเดินสำรวจพื้นที่บริเวณนั้นอย่างละเอียด พบเเม็กกาซีนปืนคาร์ไบน์ ปลอกกระสุนเอ็ม-๑๖ และลูกซองยาวนับสิบตกเรี่ยราดเข้าล็อกตามที่ข้องจิต

“รุณ นายคิดว่ามันมีกำลังซุ่มยิงเรากี่คน?”

เจ้าพ่อเขาหวายยกท่อนแขนปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนตอบไม่เต็มเสียง

“เรากะคงไม่ต่ำกว่า ๔ คน”

“ถ้าหยั่งงั้นต้องใช้รถ ๒ คัน ไม่เช่นนั้นมันจะหนีพวกเรามาถึงนี่หรือ”

การคำนวนกับคำคาดการณ์พร้อม “ของกลาง” ที่ผมเก็บได้คงเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะของเราขณะนี้มิได้เป็นต่อ ทั้งยังไม่ปลอดภัยเท่าใด เพื่อนจึงไม่ผลีผลามลุยป่าตามรอยเลือดไป

“ค้นหารถอีกคันเถอะ”

“ดีเหมือนกัน” ผมตามแห่

จากนั้นเรา ๒ คนได้ช่วยกันค้นหาตามสุมทุมพุ่มไม้สองฝั่งถนนลูกรังไปจรดแนวป่าทึบอันมีทิวเขาทอดยาวขวางหน้า ก็พบกองเลือดตามพื้นและจับเป็นคราบอยู่ตามกิ่งไม้ใบไม้มุ่งขึ้นภูเขา

“เปี๊ยก เจอรถแล้ว” รุณโฟนมาจากพุ่มไม้ทึบด้านขวา

ผมรีบกลับไปสมทบ นักเลงปืนผิวนิลกล่าวพร้อมแหวกพุ่มไม้เตี้ยๆ ออกโชว์จักรยานยนต์วิบากที่ถูกนำมาซุกซ่อนไว้ และจุดนี้เองที่เราพบกองเลือดซึ่งยังไม่ทันแห้งจับเป็นคราบ ครานี้ผมชัก
เครียดกับทิศทางหนีและรอยเลือด เพราะไม่อาจแยกได้ว่ากองเลือดจากที่เห็นข้างทางครั้งแรกกับเบื้องหน้าเป็นเลือดจากผู้ได้รับบาดเจ็บคนเดียวกันหรือมากกว่านั้น รุณหลุดคำเสียงเบาแผ่ว

“ตอนนี้ถ้าเราตามมันถูกทางไม่นานก็ทัน แต่ถ้าพลาด กว่าจะตั้งหลักได้มันไปลิบ”

“เราต้องเดาใจมัน”

“เดายังไง?”

“ถ้านายเป็นฝ่ายหนีโดยมีเพื่อนได้รับบาดเจ็บมากอยู่ด้วยนายจะไปทางไหน?”

“ถ้าเป็นเราก็ต้องหนีไปตามสันเขา เพราะชัยภูมิอยู่สูงกว่าย่อมได้เปรียบ”

เจ้าพ่อเขาหวายช้อนตาขึ้นมองทิวเขาวงกลางตะวันจ้าสงบเงียบ ดวงตาดำขลับใต้คิ้วเข้มลุกโพลงส่อประกายวาวไม่ระย่อภัย ลมภูเขากรรโชกกรูเกรียว จู่ๆ เสียงครืนโครมคล้ายหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นมาจากข้างบนดังชัดหูในความเงียบ สะเก็ดใหญ่เล็กพลอยร่วงกรูเป็นทางฝุ่นหินสีเทาฟุ้งตลบ และโดยไม่ต้องร้องบอกแก่กัน ทั้งรุณและผมโจนเข้าหาต้นมะค่ายักษ์ตามสัญชาตญาณ หินภูเขาที่ถูกทิ้งลงมาอย่างต่อเนื่องสะเทือนครืนๆ ปานภูเขาไฟใกล้ระเบิด ไม้เล็กไม้ใหญ่ที่ยืนต้นขวางทางหินทลายลงมาเอนราบเป็นทาง รุณกัดฟันกรอดเค้นคำเหี้ยม “กูเอามึงแน่”
พักใหญ่บริเวณนั้นได้คืนสู่ความเงียบอันคละคลุ้งฝุ่นหิน รุณกวาดตาสังเกตสภาพรอบตัวอยู่ครู่เดียว จมูกผมคล้ายได้กลิ่นคาวเลือดอวลอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“เฮ้ย…เปี๊ยก นายดูตรงก้อนหินนั่น ใช่รองเท้าหรือเปล่า?” รุณบอกพร้อมชี้นำ

“เห็นแล้ว คงเป็นคนเจ็บ” ผมว่า

“ขึ้นไปดูกัน”

“ไป”

ความหนาทึบของสภาพป่าไม้เชิงเขาวงช่วยให้เราพ้นตาฝ่ายตรงข้ามบุกขึ้นไปจนถึงก้อนหินดังกล่าว พบชายฉกรรจ์วัย ๓๐ ปี ผิวคล้ำแต่งกายด้วยชุดพรางของทหารไม่ติดยศกับเครื่องหมายบอกสังกัดในสภาพนอนหงาย ตาปิดสนิท บริเวณแผงอกกับไหปลาร้าซ้ายถูกกระสุนปืนเจาะเป็นรูเลือดยังทะลักไม่หยุด

“เปี๊ยก ระวังให้ด้วย” รุณบอกก่อนทรุดลงนั่งทับเข่า จับชีพจรครู่หนึ่งก็ลุกขึ้น “มันตายแล้ว”

“รู้ไหมพวกไหน?”

“ไอ้นี่เราไม่เคยเห็นหน้า”

รุณตอบก่อนทรุดลงนั่งค้นตามกระเป๋าเสื้อกางเกงศพ ไม่พบหลักฐานอื่นนอกจากเศษธนบัตรกับเศษเหรียญประมาณ ๒๐ กว่าบาท ผมเหลือบมองนาฬิกาซ้ายบัดนี้เที่ยงเศษ รุณเป่าลมออกจากปาก หยีตามองขึ้นไปยังหน้าผาสูงชันอันสุดปลายทาง พึมพำมากกว่าบอก

“ถ้าเราบุกขึ้นไปมันต้องสู้แบบเสือจนตรอก”
“ทางลงด้านอื่นบนเขามีอีกไหม?”

“มีทางเดียว โดดหน้าผานั่น ที่นี่เหมือนบ้านเรา ถ้ามันจะลงต้องลงทางเรานี่แหละ”

“นายรอคอยไหวไหมล่ะ?”

รุณเลิกคิ้วสูง และโดยไม่มองหน้าผม ถามเสียงต่ำเบากริบ แต่ผมได้ยินชัดเจน

“เปี๊ยกคงหมายถึงรอซุ่มยิงมันกระมัง”

“อยู่ที่นายตัดสินใจ”

“มันเจตนาฆ่าเราถึง ๒ ครั้ง ตายคนเดียวไม่สะใจแน่”

“รุณ นายคิดจะฆ่าหมดทุกคนเลย”

“แล้วมันล่ะ มันถล่มยิงเราเหมาทั้งคันรถ ดีที่เราไหวทัน เอาเถอะเรื่องนี้เรากับคนของเราจะจัดการเอง”

ผมไม่แสดงความเห็นเมื่อเขามีเจตนาใช้ “ฟันต่อฟัน” ตอบแทนแก่ศัตรูอย่างแน่วแน่ แต่อาการสงบคำของผมกลับมีผลให้เพื่อนจ้องหน้าเขม็ง

“เปี๊ยก นายต้องการให้เราจับเป็นหรือ?”

ผมตอบทันควัน “หากมันไม่สู้ก็ควรเอาไว้ พวกนี้แค่สมุน นายต้องการให้ทุกอย่างจบไม่ใช่หรือ?”

“ก็ได้ เราจะลองดู”

ต่อมาเราพากันกลับลงไปที่รถ ปะ ๖ สมุนเพื่อนคอยอยู่ก่อนกรูเข้ามาหาพร้อมคำถามกรณีหินภูเขาพังทลายลงมาก็ได้รับคำบอกจากลูกพี่ห้วนๆ

“มันพังหินลงมาหวังฆ่ากูกับเพื่อน”

“ผมนึกแล้ว” ดำ บ่อไร่หลุดปาก

“พวกมันมีกี่คนกันวะ?”

“๔ คนพี่ ใช้มอเตอร์ไซค์ ๒ คัน”

“เหลืออีก ๒ คน กูจะซุ่มคอยมันลงมาหา”

จากนั้นเขาได้สั่งลูกน้องช่วยกันยกรถจักรยานยนต์ทั้ง ๒ คันไปไว้ท้ายรถแล้วขับกลับเส้นทางเดิมราว ๑๐๐ เมตรจึงหาร่มไม้ร่วมวงกินอาหารเช้าอันแต่เดิมกำหนดที่เขาชะเมา

บ่ายแล้ว รุณวางกำลังสมุนสังเกตการณ์ไว้ทุกด้าน ทั้งกำชับทุกคนให้ “จับเป็น” แทน “จับตาย” ๓ มือปืน เรียบร้อยก็ดึงแขนผมไปที่รถซึ่งด้านหลังบรรทุกพาหนะกลุ่มมือปืนอีก ๒ คัน
“เปี๊ยก นายขับรถนะ” เขาบอกพร้อมส่งพวกกุญแจให้

ผมรับไว้แล้วก้าวขึ้นประจำหน้าที่ รุณขึ้นนั่งคู่แทนที่ผม ผมเสียบกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์รถขับออกจากร่มไม้ไปตามเส้นทางเดิมอย่างระมัดระวังถูกซุ่มยิง กระจกหน้ารถซึ่งช่วยบังลมบัดนี้ถูกกระสุนปืนแตกยับเยินเหลือเศษกระจกติดกรอบ ๒-๓ ชิ้น พักใหญ่ ขณะรถไต่ขึ้นเนิน รุณชี้ไปยังที่ราบโล่งคล้ายก้นกระทะใบมหึมา

“ที่ราบนั่นเมื่อก่อนเป็นป่าทึบ กำนันจิตพ่อไอ้เสาร์แกขายไม้ให้เสี่ยโป้ยเจ้าของาหพีระฟาร์มตัดเสียเตียนไปเลย”

“ทุกวันนี้กำนันจิตกับนายกินเส้นกันไหม?”

“ตัวกำนันน่ะไม่เท่าไหร่”

จิ๊ปเล็กไต่ขึ้นยอดเนิน กระไอร้อนแดดบ่ายเรียกเหงื่อแตกพลั่ก พอรถวิ่งลงเนินพลันปรากฏรถปิกอัพสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งโผล่จากดงไม้เข้าปิดทางอย่างฉับพลัน ผมกระทืบเบรกเต็มแรงจนท้ายรถปัดอย่างแรง จักรยานยนต์ ๑ ใน ๒ คันที่ซ้อนอยู่ทางกระบะหลังหล่นโครม

“เปี๊ยก ระวัง”

รุณบอกเสียงหลงพร้อมยกปากกระบอกเอ็ม-๑๖ พาดกับขอบเหล็กส่วนผมกำ ๑๑ ม.ม. วางมือกับพวงมาลัยรถ จับตายังกลุ่มชาบฉกรรจ์ ๗ นายที่ประทับปืนมาที่เราดุจกับ

“กำนันจิตกับพวกสายตรวจอำเภอแกลง” รุณบอก ใบหน้าถมึงทึง ท่ามกลางบรรยากาศการเผชิญหน้ากะทันหันพร้อมอาวุธครบมือยามนี้สะกดทุกฝ่ายเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏชายร่างสูงใหญ่วัย ๕๐ ปีเศษ แต่งกายด้วยชุดสีกากีคล้ายข้าราชการแต่ไม่ติดสังกัดลดปืนสั้นขนาด ๑๑ ม.ม. ลง รุณกะพริบตาปริบๆ ปากกระบอกปืนส่ายไปมาช้าๆ เจ้าหน้าที่สูงวัยนายนั้นถามประโยคแรก เสียงห้าวแหบๆ

“นายรุณมาจากหลังเขาหรือ?”

“ครับ กำนัน” รุณตะโกนบอก

“มีชาวบ้านไปแจ้งจ่าเยี่ยมว่าเกิดยิงกันขึ้นที่นั่น”

“ผมกับเพื่อนๆ ถูกมือปืนซุ่มยิงครับ”

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่พอกับกำนันในชุดกางเกงขายาวสีกากี สวมทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตฟีลด์ก้าวออกมายืนคู่กับกำนันพร้อมตะโกนเสียงดัง

“รุณโว้ย มึงตั้งท่าจะยิงตำรวจจริงๆ หรือ?”

เจ้าพ่อเขาหวายสูดหายใจแรงพร้อมลดปืนลง กลุ่มเจ้าหน้าที่ทุกนายเก็บอาวุธพากันเข้ามาหาจนเหลือระยะ ๔-๕ ก้าว รุณก็ยกมือคารวะตำรวจร่างใหญ่ซึ่งคาดว่าคือ “จ่าเยี่ยม” พร้อมกำนัน ทั้งคู่กระทำคารวะตอบ

“โอโฮ้ รถพังขนาดนี้เชียวหรือวะ”

“ยังโชคดีที่พวกผมผิดสังเกตรีบโดดออหจากรถทัน”

“พวกที่ซุ่มยิงล่ะ?”

“มันยิงสู้พวกผมอยู่พักหนึ่งก็ทิ้งรถ ๒ คันหนีขึ้นเขา ตอนนี้ลูกน้องผมซุ่มดักอยู่ มีทั้งหมด ๔ คน ตายอยู่เชิงเขาคนนึง”

“รุณ จ่าถามมึงเรื่องหนึ่งได้ไหม?”

“เรื่องอะไร?”

“เมื่อคืนวานนี้พวกมึงคนตาย ๔ คน เพราะบุกฉุดลูกสาวลุงโป้”

รุณค้านทันที “เรายิงสู้กันนะจ่า”

“แล้ว “ไอ้อิ้น” ล่ะ…ใครฆ่ามัน?”

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง”

“๒-๓ วันมานี้พวกมึงฆ่าคนติดๆ กัยเลยนะ” น้ำเสียงแดกดัน

“อ้าว…ไหงจ่ามาลงที่ผมล่ะ”

“อย่ากำแหง ไอ้รุณ…วันนี้หมวดนงค์กำชับกูให้เชิญมึงไปสอบปากคำ”

“เอาแล้ว ผมเป็นผู้ต้องหาอีกแล้ว”

“ไม่ใช่ผู้ต้องหา หมวดจะสอบมึงในฐานะพยานโจทก์”

“มีหนังสือของหมวดหรือหมายเชิญหรือเปล่า?”

“ไม่มี เป็นคำสั่งทางวาจา” จ่าชักเสียงดัง

“ถ้าหยั่งงั้นผมไม่ไป”

“มึงดื้อกูจับ” จ่าเยี่ยมประกาศิต

และก่อนที่เจ้าพ่อตาแดงจะขยับร่าง ปืนทุกกระบอกก็จี้หมับที่เรา ๒ คน อย่างรวดเร็ว รุณไม่สะทกสะท้าน นั่งตัวตรงไหล่ตั้งจวบ ๒ สายตรวจหนุ่มเข้ามาปลดอาวุธเราโดยสะดวก

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: