3810. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 11 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 11 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อยากตอบโต้ต่อสิ่งที่รุณ ตาแดงแสดงออกทั้งกิริยากับวาจาก็นึกถึงคำพูดพระคุณเจ้าหลวงพ่อมิให้ “เป่าไฟใต้ลม” จึงได้แต่สงบรับฟัง เจ้าพ่อตาแดงเห็นผมสงบนิ่งกล่าวสุ้มเสียงนุ่มลง

“เรารู้ว่าสิ่งที่เปี๊ยกพูดมาเมื่อกี้พูดด้วยเจตนาดี แต่เปี๊ยกรู้ไหมว่าพวกนายทุนมันกว้านซื้อจากชาวบ้านไร่ละเท่าไหร่? อย่างสูงสุดพันเดียวสำหรับที่ราบโล่ง ส่วนชาวบ้านที่ขายที่ไป เมื่อไม่มีที่ทำกินก็บุกรุกป่าหาที่ทำกินใหม่ทำให้ป่าฉิบหายวายวอดขนาดไหนใเฉพราะที่ที่เรากับชาญจับจองไว้ยุคก่อนเป็นพื้นที่ติดต่อกับเขาชะเมา ถ้าเราขายหรือเปิดให้พวกทำไม้เถื่อนผ่านเข้าไปได้รับประกันไม่เกิน ๓ ปีป่าวอดวาย”

รุณหยุดระบายลมหายใจยาวทรุดลงนั่งบนแคร่ม สีหน้าเครียดเมื่อครู่จางไป ผมเองแต่แรกที่เจอเพื่อนสำแดงอาการก้าวร้าวก็ขุ่นใจที่ถูกกระทำ มาบัดนี้พลอยโปร่งโล่งจึงล้วงบุหรี่ส่งให้เขา เพื่อนช้อนตาขึ้นมองก่อนรับบุหรี่ไปจุดสูบและส่งคืน

“ขอบใจ เปี๊ยก”

ผมยิ้มให้ เพื่อนยิ้มตอบ ตาสุกใสปากเปิดพ่นควันบุหรี่พลางกล่าวช้าๆ ไม่ดังนัก

“เรื่องที่เราฆ่าไอ้พวกสิงห์ป่าซุง ๒ คนในนั้น” เขาชี้ไปยังก้นถ้ำ “มันจำเป็นต่อพวกเรามาก หลงจู๊เส็งอาจแจ้งตำรวจที่แกลงเข้ามาค้นหา ถ้าเกิดตำรวจพบไอ้ ๒ คนนี่เราจะซวย เผลอๆ คดียิงทิ้งลูกน้องมัน ๓ คนเมื่อคืนจะถูกรื้อฟื้นให้พุ่งมาที่พวกเรา

“รุณ น่าจะบอกให้เรารู้บ้าง”

เพื่อนยิ้มขรึม ส่ายหน้าไปมา “ถ้าเราบอก เปี๊ยกต้องค้าน”

“ทำไมเราไม่ได้ยินเสียงปืน”

“เราไม่ได้ใช้ปืน”

“เพราะอะไรนายถึงคิดว่าเราจะค้านไม่ให้ฆ่า ๒ คนนั่น พูดตรงๆ เลย” ผมข้องจิต

“เปี๊ยกไม่ชอบความรุนแรง”

“โล่งอกไปที นึกว่านายสงสัยเราเป็น ‘สาย’ ตำรวจ”

“ไม่เคยคิดเลย”

“รุณ นายบุกเบิกที่นี่กับใคร และผลประโยชน์ทั้งหมดมีอะไรบ้าง บอกได้ไหม?”

“ตกลง” นักเลงปืนผิวนิลรับคำง่ายดาย

ในที่สุด รุณ ตาแดงได้เผยถึงสาเหตุที่เขาเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนจำนวนมหาศาลในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอแกลง จังหวัดระยองกับพื้นที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี มาจากเขากับพี่ชายชื่อ “ละไม” พร้อมทั้งเพื่อนคู่หูชาญ ระยอง ถูกตำรวจ นปพ. จากกองกำกับฯ ระยองตามล่าข้อหามีส่วนร่วมในการบุกยิง “หมอปราณีต” เสียชีวิตคาคลินิกกลางเมืองแกลง แรกๆ ที่เข้าไปอยู่ รุณบอกพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดิบหนาแน่นไม้ยืนต้นทุกประเภท มีชาวบ้านเข้าไปบุกรุกถางป่าทำไร่มันกับสับปะรดราว ๗-๘ ครอบครัว เขากับพี่ชายพร้อมทั้งชาญจึงเข้าไปจับจองบ้าง ต่อมาได้ว่าจ้างชาวอีสานถางป่ารายวันจนสามารถมีพื้นที่ทำเกษตรกรรมรวม ๑๕ ไร่ ทั้ง ๓ คนหลบอาญาทำไร่ยังชีพได้ ๑๐ เดือนเศษ จู่ๆ วันหนึ่งรุณก็ได้พบกับกำนันเลี้ยงคนดังปากน้ำประแสซึ่งรู้จักกับเขาเป็นอย่างดี มาพบพร้อมข้อเสนอใหม่จากบริษัทสมบูรณ์เกียรติ์ จำกัดของเสี่ยกิมเพื่อทำไม้เถื่อนร่วมกัน

จวบเขากับพี่ชายและชาญเจอ “เขี้ยว” ของเสี่ยกิมต่างจึงถอนตัว และนำสมุนเข้าจับจองพื้นที่ป่าระหว่างรอยต่ออำเภอแกลงกับอำเภอท่าใหม่ประมาณเนื้อที่นับสิบกิโลเมตร ระหว่างที่ประกาศพื้นที่ทั้งหมดเพื่อถือสิทธิ์ได้เกิดการปะทะกันหลายครั้ง ต่างฝ่ายต่างเสียหาย ส่วนละไมพี่ชายเขาซึ่งพาเมียมาอยู่ด้วยถูก “ไอ้สอน” หลานชายกำนันจิตพาพวกมาฉุดเมียแกไปข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งกลางป่า รุณ ตาแดงเผยถึงแผ่นดินเดือดมาถึงช่วงนี้ด้วยสีหน้ากับน้ำเสียงเครียดลง

“เมื่อเรื่องมาเกิดกับพี่สะใภ้เราที่ไม่ได้มีส่วนรู้เรื่องอะไรด้วยแบบนี้ใครมันจะทำใจเย็นอยู่ได้ จนตกดึกคืนหนึ่งพี่ไมได้พาลูกน้องบุกเผาบ้านไอ้สอนพร้อมลูกเมียเป็นการล้างแค้นสำเร็จ แต่ก็โชคไม่ดี ขณะเกิดไฟไหม้มีคนจำพี่ชายเรา ทางกำนันจิตซึ่งเป็นลุงของมันจึงแจ้งจับอยู่ทุกวันนี้”

“แล้วชาญล่ะ ถูกคดีด้วยหรือเปล่า?” ผมซักเสริม

“มันอ้างว่าคืนไฟไหม้มีชาญร่วมด้วย แต่ความจริงชาญไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แม่แต่เรามันยังว่าร่วมมือด้วย แต่โชคดีที่เราอยู่ที่ระยอง มีพยายานยืนยันช่วยเราไว้ถึงรอดมาได้”

“แล้วนายเสาร์ที่รุณเคยบอกเป็นลูกชายกำนันจิตนั่นล่ะ?”

“ไอ้ตัวนี้แสบกว่าไอ้สอนเยอะ มันเขม่นเราอยู่ แต่ไม่กล้า”

“รายได้ของนายนอกจากตั้งด่านเก็บค่าตัดไม้กับค่าผ่านทางแล้วมีจากไหนอีกหรือเปล่า?”

“ไม่มี”

“ถ้าหยั่งงั้นพอเลี้ยงคนหรือ?” ผมจี้ติด

“หากไม่ใช่หน้าฝนก็พออยู่ได้ มีบ้างบางครั้งที่ต้องปล่อยให้ออกไปหากินในเมือง เช่นปล้นรถ บ.ข.ส. นั่นแหละ”

ผมหยุดซักถาม ล้วงบุหรี่จุดสูบ ภายในถ้ำเงียบสงบจนแว่นเสียงลมครางวู่หวิวจากปากถ้า แสงไฟตะเกียงบัดนี้ส่องสว่างเรื่อเรืองบอกให้รู้น้ำมันใกล้หมด

“รุณ นายมีเป้าหมายทำอะไรในพื้นที่ทั้งหมด?”

เจ้าของผิวนิลส่ายหน้าท้อแท้ “ยังไม่รู้เหมือนกัน”

สิ้นเสียงตอบเพื่อน กลับปรากฏเสียงเรียกดังมาจากปากถ้ำ

“พี่รุณ พี่รุณ”

รุณป้องปากตะโกนออกไป “เข้ามาเลย”

๔ หนุ่มสมุนของเพื่อนโผล่โฉม ๑ ใน ๔ มือขวาถือกระสอบข้าวสารก้าวเข้ามาหยุดเบื้องหน้า ถามเสียงเย็น

“พี่รุณจะให้พวกเราฝังหรือเผาครับ?”

“เผาอย่าให้เหลือซาก”

“ครับ”

“ศพไอ้สิงห์ด้วย”

“เออ”

๔ สมุนรุณ ตาแดงผละไปที่คุมขังเชลยพร้อมเปิดไฟฉายส่องทาง ผมลอบมองเพื่อนซึ่งเห็นเพียงซีกหน้าด้านซ้ายดำเป็นมันพลางพรูลมหายใจเบากริบ เวลาไม่กี่วันที่ผมเคียงข้างเขาท่องไปหลายถิ่นที่ล้วนเป็นเรื่องอันตรายทั้งสิ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังหาร ๕ ชายฉกรรจ์พลพรรคของหลงจู๊เส็งเจ้าพ่อนักบู๊สิงห์ป่าซุงอันขณะนี้เพื่อนบัญชาสมุนนำซากร่างไปเผาทำลายหลักฐาน จะต้องเกิดปัญหาเช่นที่ผมคาดไว้แน่ ดังนั้น สิ่งที่ผมน่าจะทำต่อไปคือพยายามทุกทางที่จะโน้มน้าวให้เขาไปจากที่นี่ให้ได้ พลัน! เสียงตะโกนเรียกเขาดังลั่นจากก้นถ้ำมือตื้อ สุ้มเสียงบอกถึงความตระหนก

“พี่รุณ ศพหาย”

เรา ๒ คนสะดุ้งโหยง ลุกจากแคร่นนอนเกือบพร้อมกัน รุณปราดไปคว้าตะเกียง ผมก้าวตามกลางสภาพซอกหินผาเล็กแคบ มีช่องแค่ตะแคงเข้าไปลึกประมาณ ๑๐ เมตร จึงพบลานหินกว้างพอๆ กับด้านหน้า ขณะนี้ ๔ สมุนเพื่อนกำลังส่องไฟสาดไปรอบๆ พอเราเข้าไปสบทบ ไอ้หนุ่มร่างใหญ่พาดกระสอบข้าวสารไว้บนบ่ารายงานทันที

“ศพทั้ง ๒ ศพหายพี่…ดูนี่สิ ไอ้ป้อมขอไฟฉายหน่อย”

ไฟฉายในมือสมุนหุ่นสมชื่อส่องจ้าไปที่พื้นถ้ำ รุณกับผมยืนจังงัง บอกไม่ถูกว่าอะไรเกิดขึ้นกับซากคนทั้ง ๒ ซาก

“ผมว่าไม่หนูก็มด ต้องไม่ใช่สัตว์ใหญ่” ๑ ใน ๔ สมุนตั้งข้อสังเกต

ผมชีกคล้อยตามเมื่อนึกถึงภาพยนตร์ผจญภัยในป่าดงดิบ เคยเห็นหนูภูเขานับพันกัดกินซากคน รุณเองคงประหลานใจคว้าไฟฉายจากลูกน้องมาถือแทนตะเกียงส่องไปตามซอกหินใหญ่เล็กกองสลับซับซ้อนอย่างละเอียด จึงพบท่อนขาคนเหลือแต่กระดูกติดอยู่ในซอกโพรงหิน

“แปลกว่ะ” รุณหลุดคำทีท่าฉงน

“ผมว่าอาจเป็นงูใหญ่” ไอ้หนุ่มเจ้าของไฟฉายตั้งข้อสังเกตร่วม

“ช่วยกันค้นดูให้ทั่ว” เพื่อนบัญชาเสียงดัง

การค้นหาซากร่างคน ๒ ร่างดำเนินต่อไปทั่วพื้นที่ก้นถ้ำซึ่งเป็นทางตันในเวลาต่อมาพบกระดูกช่วงท่อนขาครบสมบูรณ์ แต่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าซากร่างนั่นถูกสัตว์ประเภทใดนำไปเป็นอาหาร เฉพาะที่กระดูกท่อนขาแต่ละชิ้นมีรอยคล้ายฟันหนูแทะกินเนื้อติดกระดูก

“จะเอายังไงดีพี่?”

“พวกมึงไปคอยที่รถ เตรียมน้ำไปด้วยนะ”

“ครับพี่”

กลุ่มบริวารเพื่อนกลับออกไปแล้ว สภาพก้นถ้ำที่เรายืนเงียบกริบ รุณก้าวมาหาผมบอกเสียงเบาแผ่ว

“เปี๊ยกคอยดูตรงที่เราส่องไฟนะ สังเกตให้ดี”

ผมผยักหน้ารับรู้ รุณตวัดไฟฉายไปยังโพรงถ้ำระเกะระกะแท่งหินสูงระดับเอวฝั่งซ้ายมือ ผมจ้องตาเขม้นมองตามลำแสงไฟถึงกับร่างซาหนึบขนลุกเกียว ภาพที่เห็นเป็นดวงตาเขียวเรืองวาววามคู่หนึ่งของสัตว์ประเภทงู หัวขนาดเกือบเท่าหัวเด็กวัย ๕ เดือน คล้ายจ้องมองมาที่เราเหมือนกัน

“เปี๊ยก นายช่วยจับไฟฉายไว้หน่อย อย่าให้เคลื่อนที่นะ”

ผมรับไฟฉายจากเขามาส่องเป้ายังที่หมายเดิม หัวงูยักษ์ชูตั้งราวรูปปั้น รุณดึง ๑๑ ม.ม. จากซองเอวขึ้นลำปืนดังกราว ผมรู้สึกมือเท้าเย็นไปหมดปืนในมือเขาประทับมั่น ศูนย์ปืนหมายหัวงูยักษ์ รุณกระซิบบอก

“พอเรายิง เปี๊ยกต้องรีบฉากไปที่ก้อนหินนั่นนะ เพราะยังไม่รู้ว่างูอะไร…ระวัง”

สิ้นเสียงเขา นิ้วในโกร่งไกปืนเหนี่ยวฉับ ปัง! กระสุน ๑๑ ม.ม. พุ่งเจาะเข้ากลางหัวงูยักษ์เต็มเป้า ผมโจนผลุงเข้าหลบยังก้อนหินที่เพื่อนบอก ส่วนเขาโดดแยกไปยังก้อนหินซ้ายมือท่ามกลางเสียงครืนโครมของหินผาร่วงกรู

“เปี๊ยก ฉายไฟไปที่เดิม เราจะยิงกันไว้ให้”

ผมกดสวิตช์เปิดไฟทันที เสียงหินใหญ่เล็กร่วงครืนโครมสนั่นอึงกลางความมืดทะมึมมาจากงูยักษ์เกล็ดดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบถูกกระสุนปืนดิ้นสะบัดตัวอย่างแรงนั่นเอง พักใหญ่งูยักษ์หยุดเคลื่อนไหว รุณกำปืนวิ่งพรวดมาสมทบบอกระคนหอบถี่

“งูบ้าอะไรไม่รู้ ใหญ่เกินขนาดว่ะ”

“พี่รุณ พี่รุณ…เกิดอะไรขึ้นครับ?” เสียงเรียกจากด้านนอก

ลูกพี่ตะโกนสวนออกไป “ดำ ดำโว้ยมจุดคบเข้ามา ๒ อันเร็วๆ ด้วย”

เสียงจากภายในเงียบได้ครู่ใหญ่ก็ปรากฏแสงคบไฟลุกโซนส่องเข้ามาก่อน จากนั้นกลุ่มสมุนเจ้าพ่อเขาหวายพร้อมคบไฟ ๒ อัน ได้ช่วยเสริมแสงไฟฉายให้เห็นสภาพโพรงถ้ำพังยับเยินมหินภูเขาขนาดใหญ่หลายก้อนกองทับอยู่บนร่างอันดูคล้ายหุ้มเกล็ดสีดำออกน้ำตาลแก่ตัวขนาดโคนขา ยาวประมาณ ๔-๕ เมตร

“จงอางน่ะพี่” ดำ บ่อไร่อุทาน ตาเบิกโพลง

ทุกคนชะงักตีน กลุ่มบริวารทั้ง ๖ นายยืนลังเลมองหน้าลูกพี่เชิงขอความเห็น รุณกระชับ ๑๑ ม.ม. คู่ใจก้าวเข้าหา ผมเปลี่ยนไฟฉายแลกเอาคบไฟจากดำ บ่อไร่ตามเพื่อนเข้าไปสำรวจซากงูใหญ่พิษร้ายกาจ พบบริเวรหัวขนาดใหญ่ถูกกระสุนปืนเจาะเป็นแผลโหว่เลือดแดงฉาน

“นายยิงได้เยี่ยมมาก” ผมชมจากใจ

เพื่อนยิ้มเนือยๆ ก่อนสั่งสมุนตัดหั่นจงอางยักษ์เป็นท่อน ๕ ท่อนใส่กระสอบข้าวสาร แล้วช่วยกันแบกหามออกจากถ้ำในบัดนั้น

นาฬกาบนข้อมือผมบอกเวลาใกล้เพล สภาพภายนอกใต้แสงแดดกล้าร้อนระยิบ จี๊ปเล็กพาหนะเดินทางสำรวจพื้นที่ป่าจอดอยู่ใต้ร่มตะแบกใหญ่ดอกสีม่วงห้อยระย้า เหล่าสมุนซึ่งผมเริ่มรู้จักนาม เช่น ดำ บ่อไร่, แขก เมโทร, วัน, มิ่ง, เรือง, และป้อม พร้อมอาวุธครบมือเดินเกาะกลุ่มไปคอยที่รถพร้อมกระสอบข้าวบรรจุงูยักษ์ รุณซึ่งเงียบขรึมผิกสังเกตผลุบเข้าไปในเต็นท์พักเดียว ได้กลับออกมาพร้อมยื่นกล่องกระสุนปืน ๑๑ ม.ม. ให้

“เปี๊ยกเอาเก็บไว้ ที่มีในแม็กอาจไม่พอใช้”

ผมรับกล่องกระสุนจากเขา รุณกล่าวเสริม

“เราจะไปกินข้าวกันที่เขาชะเมา ทนหน่อยนะ”

“ไม่เป็นไร มีกาแฟลุงโป้รองท้องแล้ว”

จี๊ปเล็กคันเดิมโดยโชเฟอร์คนเก่าขับเคลื่อนออกจากร่มตะแบกใหญ่วิ่งโคลงเคลงลุยฝุ่นลงไปทางทิศเหนือเส้นทางใหม่ที่ผมไม่เคยผ่าน ก็ได้แต่จดจำสภาพภูมิประเทศสองข้างทางล้วนเป็นป่าทึบมัไม้ใหญ่ขนาดคนผู้เดียวโอบไม่รอบชูยอดสูงลิ่ว

“เปี๊ยก พื้นที่ของเราเริ่มตั้งแต่สักต้นใหญ่ที่ใช้สีน้ำมันกากบาทสีแดงๆ เข้าไป”

“ทั้ง ๒ ฝั่งถนนเลยหรือ?”

“ใช่” เขาตอบเสียงดังโต้เสียงเครื่องยนต์ “จากที่นี่ไปอีกราว ๑๐ กิโลจรดพื้นที่เขาชะเมาเป็นที่ของเรา”

“มันกี่หมื่นกี่แสนไร่กันแน่” ผมชักทึ่ง

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าวิ่งรถไปรอบๆ ก็ใช้เวลาเกือบ ๓ ชั่วโมง”

“แบบนี้คงดูแลไม่ทั่ว”

“ถึงดูไม่ทั่วก็ยังไม่เคยมีใครกล้ารุกที่หรือตัดไม้โดยไม่ขอ”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังคล้ายต้นไม้หักตามด้วยเสียงครืนโครม ทุกคนบนรถนิ่งขึงเงี่ยหูฟัง รุณจ้องตาวาวไปตามเส้นทางลูกรังคดเคี้ยวขรุขระพร้อมเร่งความเร็วรถ จวบรถผ่านโค้งลงจากเนินกลางแดดจ้า เพื่อนถึงกับเบรกรถฉับพลัน!

หลายคนบนรถไม่ทันรู้ตัวเสียหลักไปตามๆ กัน รุณสั่งการดุดัน

“รีบลงจากรถเร็ว!”

สัญชาตญาณบอกชัดว่าเกิดเหตุผิดปกติจึงโจนลงจากรถ ไล่ๆ กันเสียงปืนนานาชนิดแผดกัมปนาทกึกก้อง รุณกระชับเอ็ม-๑๖ โผนลิ่วมาหาบอกห้วนๆ ระคนเสียงปืนรัวถี่ยิบ

“เปี๊ยก นายกับไอ้เรืองไอ้ป้อมยิงล่อมันไว้ที่นี่นะ เราจะพาไอ้ดำไอ้แขกไอ้วันและไอ้มิ่งเข้าตลบหลังมัน”

“ตกลง”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อันธพาน ครองเมือง 2012

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: