3805. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 8 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 8 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
ตะวันลอยดวงต่ำลงทุกที จี๊ปเล็กโดยโซเฟอร์รุณ ตาแดงคนเดิมตะบึงออกนอกเส้นทางสุขุมวิทอันผมยึดเป็ยหลักในการเดินทาง ผ่านถนนลาดยางสองฝั่งถนนปลูกเงาะซึ่งกำลังติดผลอ่อนได้ประมาณ ๒ กิโลเมตร ถนนได้เปลี่ยนเป็นลูกรังมีหลุมบ่อเล็กใหญ่ไม่แผกทางเข้าบ้านเมียสาวของเขา จึงคว้าจับกานเหล็กหลังคารถไว้มั่น
นักเลงผิวนิลัวเราะเสียงดัง แต่แล้วก็รีบหักพวงมาลัยรถหลบหลุมขนาดใหญ่ได้หวุดหวิด
“เกือบประเดิมเข็นแล้วไหมล่ะ” ผมเย้า
“เส้นทางนี่แต่ก่อนเป็นทางเกวียน รถเล็กวิ่งสวนกันแทบไม่ได้ พอมีรถบรรทุกถ่านบรรทุกไม้เข้ามาวิ่งเลยเละ…นี่ถ้าไม่ได้เราเข้าไปเกี่ยวข้องป่านนี้ฉิบหายกว่านี้…”
“ทุกวันนี้ไม้ในป่าที่นายประกาศเป็นเขตคุ้มครองยังไม่มีใครกล้าบุกรุกเลยหรือ?”
“มีเฉพาะรายที่เราอนุญาต แต่ต้องเสียค่าตัดตามราคา”
“ราคายังไง?”
“พูดง่ายๆ สัก ๑ ต้น ขนาด ๑ คนโอบเราคิด ๕๐๐ บาท ส่วนมะค่า เต็ง ยาง ก็ลดหลั่นกันไป”
“แล้วนายจะรู้ขนาดกับจำนวนที่มันตัดวิธีไหน?”
“ก็ด่านน่ะซี รถถ่าน รถชุงทุกคันต้องผ่าน”
“เรียกว่าเก็บค่าคุ้มครอง”
“จะว่าแบบนั่นก็ได้”
“ตำรวจกับป่าไม้ไม่มีหรือ?”
“พวกนั้นฟันตอนขึ้นทางหลวง”
“เอากันเป็นทอดๆ เลย” ผมปลง
“ตัวเบิ้มๆ ฟันมากกว่าเราเยอะ” เพื่อนอ้างตำนาน
คำกล่าวชนิดเปิดอกของรุณ ตาแดง ตรงเผงกับที่ #เสืออบ เคยบอกรุณมีศัตรูรอบตัว ซึ่งเท่าที่พูดคุยกันมานี่เขาก็ได้เผยให้เห็นศัตรูหลายกลุ่มที่น่าจะเป็นเหตุให้เขาถูกหมายหัว เฉพาะอย่างยิ่งกรณีฉุดคร่าข่มขืนที่เขาก่อไว้ ๒๐ กว่าราย กับกรณีขวางผลประโยชน์ของเสี่ยกิมและช่วยครูสมพร เป็นต้น
สำหรับรายที่เขาไม่เผยไม่ทราบอีกกี่กลุ่ม กี่ราย? ดังนั้นผลจากที่เขาเผยถึงการเป็น เจ้าป่า เรียกเก็บ ภาษีเถื่อน จากบรรดานายทุนเถื่อนดังกล่าว ได้ก่อให้ผมหวั่นไหวบ้างในธรรมชาติคนเมื่อรู้ทางข้างหน้าอันตรายอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นกับอีกความคิดและรู้สึก ผมคล้ายผูกพันกับเขาดังได้กล่าวแต่ต้นแล้ว แม้จิตใจขณะนี้ก็ยอมรับเขาเป็นเพื่อนเต็มหัวใจ เหล่านี้ในฐานะเพื่อนผมจึงมีทั้งความปรารถนาดีกับเป็นห่วงเขา
เวลาล่วงไปพาหนะของเราวิ่งเข้าใกล้ทิวเขาสูงทะมึนปกคลุมด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ความเงียบสงัดใกล้พลบทำให้เสียงเครื่องยนต์รถดังก้องกระหึ่มป่า บรรยากาศรอบตัวเย็นลงแลครึ้ม วิหคนับสิบโผผินคืนคอนก่อนสิ้นแสงสูรย์ พื้นที่ป่าเริ่มปรากฏที่โล่งเพิ่งถูกหักร้าง ตอไม้ขนาดใหญ่โผล่เรียงราย บางแห่งไฟยังคุติดตออยู่ก็อดสลดใจไม่ได้
“นี่มันเผาป่ากันแล้ว” ผมกล่าวลอยๆ
“ที่จับจองของกำนันเลี้ยงกับเสือธม มีที่ของชาวบ้านที่อพยพเข้ามาจับจองอยู่ใกล้แถบที่ของเราไปจรดลำธาร”
“ที่กว้างขนาดนี้คงมีอิทธิพลไม่น้อย”
“แกชื่อกำนันจิต เป็นครอบครัวแรกที่บุกเบิกบ้านเขาวง มีลูกชายชื่อไอ้เสาร์ นาคำดี รุ่นเดียวกับเราที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ ไอ้นี่ฆ่าคนเฉพาะในพื้นที่เขาวงกว่า ๑๐ ราย ครั้งหลังสุดถูกตำรวจเมืองจันท์จับข้อหาปล้นรถซุงแล้วฆ่าคนขับชิงรถไปขายให้พวกทำเหมืองที่บ่อไร่ แต่สู่คดีชั้นฎีกาชนะ”
จิ๊ปเล็กเริ่มไต่ขึ้นเนิน รุณเปิดไฟหน้ารถพุ่งเป็นลำยาวสว่างจ้า พอรถไต่ขึ้นสุดยอดเนิน สิ่งที่เห็นเป็นหมู่บ้านตะคุ่มๆ อยู่เบื้องล่างอันเป็นที่โล่งลุ่มเหมือนแอ่งกระทะ แต่ละบ้านตามไฟตะเกียงสว่างวอมแวม
“นั่นล่ะจุดหมายปลายทางของเรา บ้านเขาวง” รุณบอก
ทันใดแสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นชายฉกรรจ์ ๓ นาย แต่งกายรัดกุมสวมหมวกแก๊ปหลุบหน้าพรางโฉมตนเองก้าวออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง โบกมือให้สัญญาเราหยุดรถ ผมเผลอเคลื่อนมือกุมด้ามปืน เพื่อนชะโงกบอก
“เด็กคุมด่านของเราเอง”
สิ้นคำรุณหยุดรถ ทั้ง ๓ นายด่านเถื่อนก้าวยาวๆ มาหา พอได้ระยะสายตาต่างชะงักตีนกึก ๑ ใน ๓ อุทาน
“พี่รุณ…”
เขายิ้มขรึม ถามห้วนๆ “ไอ้อิ้นกับพวกมันกลับมาหรือยัง?”
“กลับมาค่ำวานนี้เองพี่ ซื้อเหล้าซื้อกับมาฉลองชัยปล้นสำเร็จ ไม่ถึง ๒ ยามมีไอ้พวกรถสิงห์ป่าซุงเข้ามาขนไม้ ๒ คัน ไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียบแล้วยังชักปืนขู่เลยเกิดยิงกัน พี่อิ้นกับพี่ดำยิงตาย ๒ คน จับเป็นคนขับไอ้อีก ๒ คน”
“มันบอกหรือเปล่ารับจ้างใคร?”
“มันบอกไม่รู้ เพราะผู้ที่ว่าจ้างรถมันถูกยิงตายทั้งคู่”
“ตำรวจเข้ามาหรือเปล่าวะ?” รุณถามเสียงดังขึ้น
“เข้ามาชันสูตรพลิกศพกับขนศพออกไปตอนเกือบเที่ยงวันนี้เอง ส่วนรถบรรทุกซุง ๒ คัน ตำรวจยึดไปเป็นของกลาง”
สิ้นเสียงแจงสมุน รุณเบิดกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์รถ ทว่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาทิ้งเกียร์ว่างคาไว้พลางเอื้ยวตัวไปทางหลังรถชี้ไปที่กล่องสุราไทย ปากบัญชาสมุน
“มึง ๓ คนเอาไปกินขวดนึง กับแกล้มไม่มี”
๑ ใน ๓ ผมจำได้ว่าอยู่ในกลุ่มโจรปล้นรถ บ.ข.ส. ที่ผมโดยสารมาด้วยปราดไปท้ายรถแกะฝากกล่องเปิดออกเอาแม่โขง ๑ กลมไปหนีบไว้ใต้รักแร้ รุณเคลื่อนรถผ่านด่านเถื่อนเข้าถนนกลางหมู่บ้านเชิงเขาเมื่อทราบเรื่องร้อน เด็กเล็กชายหญิงที่จับกลุ่มเล่นหัวกันอยู่ล้วนหยุดกิจยืนมองรถเราผ่านเข้าไปท้ายหมู่บ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ รุณขับรถไปหยุดที่ขนำมุงหลังคาจากเชิงเขาซึ่งด้านหน้ามีก้อนหินใหญ่เล็กตั้งระเกะระกะไม่ต่างบังเกอร์ธรรมชาติ ด้านหลังขนำมีเต็นท์สนามของทหารขึงกางอยู่ ยังไม่ทันขยับก้าวลงจากรถ แสงไฟฉายได้พุ่งจ้ามาที่เราก่อน ตามด้วยเสียงตะโกนถาม
“ใครกัน บอกชื่อแซ่ด้วย?”
“เตี่ยมึง” รุณป้องปากตะโกนบอก
“โธ่…พี่รุณเอง เห็นเป็นรถจิ๊ปนึกว่าตำรวจ” ครวญอ่อยๆ แสงไฟดับวูบ
นักเลงปืนผิวนิลโดดลงจากรถยืนบิดร่าง ผมโดดตาม ชายฉกรรจ์ ๔-๕ นายถือปืนยาวตั้งแต่คาร์บิน ลูกซอง ๕ นัด และเอ็ม-๑๖ โผล่จากหลังก้อนหินก้าวยาวๆ มาที่รถ ผมเองพอเห็นโฉมหน้ากลุ่มมือปืนชัดๆ พบล้วนเป็นนักปล้นรถ บ.ข.ส. เกือบครบทีม ขาดแต่ชายหน้าบากที่รุณเรียก อิ้น หรือ #เสืออิ้น หัวหน้าทีมผู้เดียว
“อิ้นล่ะ?” รุณถามไม่เจาะจง
“ขี่รถออกไปตอน ๕ โมง บอกจะไปซื้อบุหรี่” ๑ ในกลุ่มตอบ
“คนขับรถซุง ๒ คนนั่นอยู่ไหน?”
“ในเต็นท์ครับพี่” นักปลันตาโตตอบ ตามองผม
“ไปเปี๊ยก เข้าข้างในกัน…เออ เอาข้าวสารกับของแห้งลงจากรถด้วยโว้ย” ประโยคหลังเขาสั่งบริวาร
นักเลงปืนผิวนิลหิ้วกระเป๋าใส่ชิ้นส่วนเอ็ม-๑๖ เดินนำไปตามแผ่นหินลาดชันไปยังเต็นท์สนามอันด้านหน้าก่อกองไฟไว้และเพิ่งคุแดง พื้นที่รอบๆ เต็นท์วางถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตร บรรจุน้ำมีฝาไม้กระดานปิดกับแคร์ไม้ไผ่ซึ่งใต้แคร์และบริเวณใกล้เคียงมีขวดโซดา ขวดเบียร์และสุราตั้งแต่เหล้าโรงยันเหล้านอกกองเกลื่อน ถ้วย จาน ชาม หม้ออะลูมิเนียบก้นหม้อดำปี๋ มีเศษอาหารกับคราบคาวเขรอะกองสุมอยู่ข้างถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ดั่งไม่ประสงค์นำมันมาใช้ในมื้อต่อไป จู่ๆ เสียงหนึ่งร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดดังลอดมาจากในเต็นท์ รุณกับผมเบรกวงล้อตีนฉับพลัน
“เสียงเหมือนคนเจ็บ” ผมเดา
เพื่อนไม่ต่อคำ แต่ก้าวพรวดๆ เข้าไปในเต็นท์ผมตามไปติดๆ ภายในเต็นท์สว่างจากแสงตะเกียงโป๊ะล้วนมีแต่แคร่ไม้ไผ่กับเครื่องนอนอยู่ ๔ แคร่ด้านขวามือสุดบนแคร่มีชายฉกรรจ์นอนแบ็บอยู่ รุณปราดไปยังแคร่มีคน จากแสงไฟตะเกียงวอมแวมส่องให้เห็นร่างเปลือยท่อนบนของชายฉกรรจ์มรคราบเลือดแห้งกรังเปื้อนอยู่ทั่ว บริเวณชายโครงขวามีผ้ากอชโปะทับซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นบาดแผล ขณะนี้เจ้าตัวปิดตาสนิท ริมฝีปากหนาแห้งผากเผยอ ทั่วหน้ายังเปรอะด้วยคราบฝุ่นลูกรัง
นักเลงปืนผิวนิลยืนนิ่งขึง ตาจ้องเขม็งยังร่างบนแคร่แทบไม่กระพริบเสียงย่ำตีนหนักๆ ของคนหลายคนดังที่หน้าเต็นท์ รุณกับผมหันไปมองผ้าบังตาถูกปัดเปิด กลุ่มนักปล้นเมื่อครู่พากันเข้ามาและแยกย้ายไปนั่งยังแคร่ไม้ไผ่อาการสงบเงียบ ผมชักรู้สึกว่าตัวเองยืนเคว้งคว้างชอบกล สภาพในเต็นท์อันล้อมรอบด้วยถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร พร้อมชายฉกรรจ์รวมทั้งผมกับรุณ ๙ ชีวิต ดุจถูกสะกดความเงียบใต้แสงไฟตะเกียงวอมแวมขณะนี้ยิ่งเพิ่มความใคร่รู้หนัก รุณหลุดปากเสียงดัง
“มันถูกปืนหรือ?”
“ถูกลูกซองขณะดวลกับพวกสิงห์ป่าซุงครับพี่”
“อาการหนักใช่ไหม?”
“ถ้ามันทนก็ไม่เกิน ๒ วัน”
“แล้วเอาไว้ทำไม”
“พี่อิ้นบอกให้คอยพี่”
“ไอ้บ้า!” รุณตวาด
ผมฉวัดตาไปยังร่างบนแคร่อันคาดว่าจะเคลื่อนไหวจากเสียงตวาดกลับนอนสงบเหมือนร้างลมหายใจแล้ว รุณขยับทิ้งก้นลงบนแคร่เอื้อมมือไปหยิบผ้ากอชที่ปิดแผลอยู่ ทว่าผ้าติดเลือดจากบาดแผลซึ่งแห้งแล้ว เขาจึงละมือ เสียงพร่าเบาของสมุนตาโตแนะเขา
“พี่ลองพลิกดูข้างหลังก็ได้”
รุณลุกขึ้นยืนและก้มลงจับร่างบนแคร่พลิกนอนคว่ำอย่างเบามือ เสียงครางจากคนเจ็บดังขึ้น ภาพแผลปืนลูกซองยาว ๕ นัดอันยิงจากด้านหน้าทะลุหลังเป็นแผลกว้างขนาดกำปั้นสอดเข้าไปได้ขณะนี้เลือดยังไหลไม่หยุด หนังเนื้อคล้ายเต้นระริกใต้แคร่ก็นอนไปด้วยเลือด ผมกัดฟันมือเท้าเย็นเยียบเมื่อเห็นบาดแผลกระสุนปืนลูกซอง ๕ นัดจะจะตาครั้งแรก รุณกล่าวขึ้นในความเงียบสุ้มเสียงหนักแน่น
“ใครช่วยให้พ้นทุกข์ทรมานได้กูให้พันนึง”
กลุ่มนักปล้นทั้งทีมปิดปากสนิทก่อนเหลียวมองหน้ากัน แต่ไม่ปรากฏผู้ใดหลุดปากอาสา บางคนก้มหน้ามองตีนตัวเอง รุณกราดตาสำรวจท่าทีสมุนแล้วหยุดที่นักปล้นตาโต เสือปล้นฝืนยิ้มจืดสนิท
“ไอ้ดำ มึงทำไม่ได้หรือ?”
“ผมว่าปล่อยมันตายเองดีกว่าพี่” ดำหรือนักปล้นตาโตเลี่ยงน้ำเสียงน่าเวทนา “ที่สำคัญไอ้สิงห์มันเหมือนพี่น้องแท้ๆ เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามานาน เป็นคนอื่นผมยิงตั้งแต่พี่บอกแล้ว”
รุณดึงสายตาไปยังบริวารที่เหลือ พบทุกคนฝืนยิ้มเกรงใจ ส่ายหน้าไปมา นัยน์ตาทุกคู่บ่งแวววิงวอน รุณสะบัดหน้าไปยังร่างคนเจ็บที่นอนคว่ำพลางจับข้อแขนบวมเป่งพลิกจับชีพจร
“ยังทรมานอีกหลายวัน”
ไม่มีผู้ใดเปิดปากเสนอความคิด รุณวางแขนคนเจ็บลง ถามเสียงดัง
“พวกมึงให้ยาอะไรมันกินบ้าง?”
“ไม่ได้ให้พี่ เพราะเห็นว่าไม่รอดแล้ว” ดำเผย
“ไอ้บ้า!” เพื่อนตะคอกใส่
“พวกเราแต่ละคนไม่รู้จะให้ยาแบบไหนด้วยพี่” ดำบอกอ่อยๆ
“ไปเอาฝิ่นมา”
“มันจะสูบได้หรือพี่ ให้กินน้ำยังไม่ค่อยจะอ้าปาก” อีกหนุ่มแย้ง
“เอาละลายน้ำกรอกปากมัน อย่างน้อยยังช่วยบรรเทาได้ พวกมึงยังไม่เคยถูกปืน ถูกเข้าเมื่อไหร่จะรู้…อ้อ อย่าเอานอนหงายอีกล่ะ”
สิ้นคำแพทย์พิเศษสั่งยาผู้ป่วย ดำผละออกจากเต็นท์ไปทำกิจ เหลืออีก ๖ สมุน รุณกำชับให้เข้มงวดเรื่องเวรยามป้องกันถูกจู่โจมล้างแค้นจากนักเลงสิงป่าซุงซึ่งมีทางเป็นไปได้ จากนั้นจึงคว้ากระเป๋ามาถือแล้วก้าวนำผมออกจากเต็นท์ตรงไปที่ปากถ้ำอันห่างจากเต็นท์ราว ๕-๖ เมตร ที่ปากถ้ำเป็นช่องกว้างพอเดินก้มหลังลอดเข้าไปได้ และพอหลุดตัวเองผ่านปากถ้ำเข้าไป สัมผัสแรกที่กระทบคือความเยือกเย็นกับแสงไฟตะเกียง พื้นถ้ำเป็นลานหินเรียกถูกปัดกวาดทำความสะอาดอย่างดี ติดผนังถ้ำซ้ายมือตั้งแคร่ไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าห่ม มีหมอนหนุนกับหนอนข้างสีคล้ำๆ วางทับลักษณะที่นอนดังกล่าวแสดงว่าเจ้าของไม่ได้ใช้มัน ติดผนังขวามือมีก้องหินใหญ่ตั้งอยู่วางถังพลาสติก ๓-๔ ใบ ใส่น้ำใสเต็มปรี่ ด้านในสุดมีช่องทางเดินแคบมืดตื้อไม่ทราบเป็นเส้นทางไปยังก้นถ้ำหรือเปล่า
รุณวางกระเป๋าบรรจุชิ้นส่วนปืนเอ็ม-๑๖ ลงบนแคร่ ผมวางถุงเป้ลงบ้าง รุณกล่าวไม่ดังนักแต่ยังเกิดเสียงสะท้อน
“นี่แหละบ้านเรา ห้องนอนเรา”
“ยังกะสมัยเสือฝ่าย-เสือมเหศวร”
“แต่ที่นี่เรียกถ้ำ เสือรุณ ตำรวจโป่งน้ำร้อนเป็นผู้ตั้ง” เขาแค่นเสียงบอก
ในที่สุดผมก็ได้ที่พักอันเป็นคูหาหินผาหรือบ้านของรุณเป็นที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อาบน้ำชำระคราบฝุ่นลูกรังที่ลุยกันมาเกือบทั้งวัน ระหว่างสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ รุณนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์ส่วนสัดท่อนบนอันแน่นพลังหนุ่มปรี่มาหา
“นายจะอาบน้ำหรือ?” ผมถามเขา
เพื่อนยิ้มฟันขาว สองมือประจงจับสร้อยเงินแขวนพระเครื่องเลี่ยมเงิน ๗ องค์ออกจากคอส่งให้ผม
“ฝากด้วย เปี๊ยก”
๒ ทุ่มครึ่ง ขณะกำลังชมรุณนั่งประกอบชิ้นส่วนปืนเอ็ม-๑๖ เข้าด้วยกันอย่างตั้งใจ จู่ๆ ได้ปรากฏเสียงผรุสวาทดังก้องถ้ำ
“ไอ้พวกชาติหมา ฆ่ากูซะทีโว้ย”
“ใครกัน?” ผมถาม
รุณจ้องตาวาวไปยังซอกทางเดินแคบๆ มืดตื้อซึ่งแสงไฟตะเกียงส่องเข้าไปไม่ถึง ครู่เดียวเพื่อนพึมพำมากกว่าบอก
“คนขับรถไอ้พวกสิงห์ป่าซุงที่ลูกน้องเราจับขังไว้ข้างในนั่น”
“นายจะทำอะไรมัน”
“กฏมีอยู่แล้วคือ ฆ่าทิ้ง”
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อันธพาน ครองเมือง 2012