3804. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 7 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 7 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
พอล้วงมีดโบว์วี่จากกระเป๋าใส่ปืนเอ็ม-๑๖ ของรุณ ตาแดงที่ถอดออกเป็นชิ้นได้ ผมเปลือยฝักเหน็บไว้ด้านหลังปราบเข้าหาร่างครูสมพรจัดการตัดเชือกไนล่อนมัดผ้าใบที่เสือธมกับสมุนใช้ห่อร่างครูยอดนักสู้โดยไม่นำพาเพื่อนมุ่งรถไปยังที่ใด เมื่อคลี่ผ้าใบฝุ่นเขรมอะออก สิ่งที่ปรากฏเป็นชายสูงวัยหรือครูสมพรสภาพใบหน้าขะมุกขะมอบเยิ้มเหงื่อเป็นมันปลาบ นัยน์ตาผิดสนิทค่อยๆ เปิดลืมขึ้นมองหน้าผมริมฝีปากหนาแห้งผากพะเยิบๆ คล้ายใคร่เปิดปากกล่าวสักประโยคแลยากเย็นนัก
ผมก้มลงช้อนร่างหนักอึ้งขึ้นนั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ก่อนขยับให้ศีรษะผู้สูงวัยมาพาดกับท่อนขาซ้าย มือขวาล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าหลังเช็ดทั่วไปหน้า ครูยอดทรหดหายใจแผ่วลง สายตาที่เริ่มคุ้นแสงแดดเปิดกว้างมองผมเสียงแหบพร่าลอดออกมาจนได้
“ขอบคุณมาก พ่อหนุ่ม”
“ครูเป็นยังไง? เปี๊ยก” รุณถามมาจากหน้ารถ
“หาที่ร่มๆ พักชั่วคราวก่อน”
ผมแนะพลางมองเส้นทางที่รถผ่าน จึงทราบว่าเขาเลี้ยวรถลงทางแยกซ้ายมืออันสองฝั่งมีไม้ใหญ่ให้ความร่มครึ้มรวมไปถึงป่ายางพารา รุณขับรถไปหยุดอยู่ใต้ร่มไผ่กอใหญ่ท่ามกลางความเงียบสงัด แล้วปีนข้ามท้ายรถมาช่วยประคองครูของเขาลงจากรถไปยังโคนไผ่ พอร่างครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลนอนราบกับพื้น แกกล่าวเสียงแหบพร่าเหมือนเดิม ตาแดงก่ำกะพริบถี่
“ขอบใจเธอมาก ครูจะขาดใจอยู่แล้ว”
ผมเห็นศีรษะครูพาดอยู่กับดิน รีบลุกกลับไปที่รถคว้าถุงเป้มารองศีรษะไว้ นักเลงปืนผิวนิลช้อนตาดำคมกริบขึ้นมอง ผมยิ้มให้เพื่อนเขากล่าวพอได้ยิน
“เราจะไปหาน้ำ เปี๊ยกดูครูด้วยนะ”
“ไปเถอะ”
ศิษย์น้ำใจงามผละจากไปในดงสวนยางพาราผมจัดการใช้ผ้าเช็ดหน้าลูบไล้บริเวณใบหน้าครู เช็ดเอาคราบฝ่นออกต่อมาก็ปลดกระดุมเสื้อชุดครูสีกากีออกทุกเม็ดแล้วถอดออกอย่างยากเย็น ด้วยเรือจ้างสูงวัยแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงเคลื่อนไหวจึงค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวประหนึ่งทารก สายลมบ่ายพัดกรูเกรียว ยอดยางที่ปลูกเรียงเป็นแถวยาวเหยียดเอนลู่ไปตามแรงลม ร้อนแดดเมื่อครู่บรรเทา ครูยอดทรหดไอโขลกขลากตัวโก่งตัวงอก็ช้อนศีรษะให้สูงขึ้น จึงได้ยินเสียงลมในท้องแกลั่นโครกครากไม่ผิดตัวเองเมื่อคืนวานยิ่งร้อนอก รุณหายเข้าไปในป่ายางพารา พักใหญ่ได้กลับออกมาพร้อมขันพลาสติกบรรจุน้ำใสแจ๋ว พลางทรุดลงนั่งข้างกายครูสูงวัย มือซ้ายจับแขนปากถามน้ำเสียงนอบน้อม
“รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”
ตาแดงก่ำที่จ้องหน้าศิษย์นับแต่รุณปรากฏตัว บัดนี้กะพริบถี่ครู่เดียวหยาดำใสที่เอ่อท้นเบ้าตาไหลปรี่ ศิษย์ชั่วก้มกราบยังทรวงอกเปลือยบอกเสียงสั้น
“ผมกราบขออภัยที่ช่วยครูช้าไปครับ”
หากครูสมพรมีแรงลมพอจะเอ่ยปาก ผมเชื่อว่าอย่างน้อยครูต้องกล่าวหลายประโยคทว่าสิ่งที่ครูทำได้ขณะน้ำตานองหน้าจึงเป็นยิ้มอันอิดโรยซึ่งส่งผลให้ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก รุณกล่าวอีกประโยค
“ที่นี่มีบ้านคนห่างไปราว ๔-๕ เส้น ผมกับเพื่อนจะพาครูไปกินข้าวพักผ่อน จากนั้นจะพาครูกลับบ้าน ตกลงนะครับ”
นัยน์ตาแดงก่ำอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใสกระพริบถี่ ริมฝีปากแห้งผากสั่นดุจเดิม เรา ๒ คนช้อนร่างใหญ่อ้วนกลมพิกัดไม่ต่ำ ๘๐ กิโลกรัมของครูสมพรคนละข้างสอดเข้าบ่าแล้วประคองฝ่าดงยางพาราสู่จุดหมายที่เพื่อนบอก เรา ๓ คนประคับประคองกันไปจนพบบ้านไม้ยกพื้นใต้ถุนสูงหลังย่อมมีชายวัย ๕๐ ปี แต่งกายพื้นๆ เหมือนชาวสวนยางทั่วไปยืนอยู่ข้างบันไดจ้องตามาที่เราสีหน้าส่อแวววิตกกังวล พอเราประคองคนเจ็บไปหยุดเบื้องหน้า เจ้าบ้านวัยครึ่งศตวรรษหลุดปากเชื้อเชิญด้วยอัธยาศัยดียิ่ง
“เชิญบนเรือดีกว่าพ่อหนุ่ม”
ในที่สุดเรา ๓ ชีวิตก็ได้พักผ่อนบนเรือนเจ้าของสวนยางพาราผู้อารีและได้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นให้กับครูสมพร จึงได้พบว่าอาการเปลี้ยล้าคล้ายหมดเรี่ยวแรงของแกมีผลมาจากความสมบุกสมบันเกินวัยระหว่างถูก เสือธม พาตระเวนย้ายที่คุมขัง จนส่งผลให้อาการเรื้อรังของไข้มาลาเรียที่ครูสมพรเคยเป็นทุกปีเริ่มคุกคามอีก
“ตัวแกร้อนยังกะไฟ เปี๊ยกลองจับดูสิ” รุณว่า
เมื่อเอื้อมมือไปแตะบริเวณหน้าผากผมรู้สึกร้อนหลังมือวูบวาบก็ยิ่งเพิ่มความเวทนาและเป็นกังวนแทน
“รุณจะจัดการยังไง?” ผมถามเบากริบ
สหายผิวนิลมองไปยังร่างที่คลุมผ้านวมปิดตาพริ้ม หายใจแผ่วล้าครู่เดียวเขาแตะแขนผมให้ละจากผู้ป่วยลงจากเรือนไปพบ ๒ สามีภรรยาซึ่งปรี่เข้ามาถามทีท่ากังวลไม่คลาย
“อาการเป็นยังไงบ้างคุณ?”
“ไข้กำเริบ” เพื่อนตอบสั้นๆ
“ทำไมไม่รีบส่งโรงหมอล่ะ เห็นหน้าตาซีดขนาดนั้น” เจ้าบ้านฝ่ายชายอาทร
รุณไม่ตอบรั้งแขนผมเดินไปที่บ่อน้ำบาดาลหน้าบ้านพลางเผยถึงเจตนาแท้จริง เขาใคร่นำตัวครูกลับไปส่งถึงบ้านที่ระยอง แต่ก็เป็นห่วงเกรงถูกอิทธิพลนายทุนลากตัวไปกักขังหรือฆ่าทิ้งขณะไข้กำเริบอีก ทั้งนี้ด้วยตัวเขาเองไม่มั่นใจคำประกาศที่พร้อมปกป้องครูสมพรจะศักดิ์สิทธิ์จนนายทุนอย่าง เสี่ยกิม ไม่กล้าแตะต้อง
“ที่จริงเรานัดพวกเด็กๆ ในป่าจะหาเสบียงเข้าไปให้เช้าวันนี้ เผอิญมีเรื่องเสียก่อน” รุณสรุปสุ้มเสียงไม่สบายใจนัก
“เราคิดว่ายังพอมีทางอื่น เช่น ส่งตัวแกให้กับตำรวจเพื่อส่งต่อไปโรงพยาบาล โดยแจ้งให้ทางตำรวจช่วยให้การคุ้มครองด้วย”
“ทางออกอื่นล่ะ”
“ส่งตัวแกให้ญาติๆ ที่ใกล้ที่สุดที่นายพอจะรู้จัก ช้านักยิ่งอันตราย”
“เรื่องญาตินี่ตัดไปได้เลย”
“งั้นก็ส่งมอบให้ตำรวจที่นี่”
นักเลงปืนผู้หมายสนองคุณครูนิ่งตรองครู่หนึ่ง หันกลับไปทาง ๒ สามีภรรยาเจ้าบ้านทั้งคู่ยิ้มไม่เต็มหน้า รุณบอกคล้ายปลงได้
“เราจะขอร้องเจ้าของบ้านให้ไปแจ้งตำรวจแทน เบื่อเป็นพยาน”
“เหมาะแล้ว” ผมเห็นงาม
“ไปเถอะ เพื่อน” รุณชวน
จากนั้นเรา ๒ คนได้ช่วยกันกันแจงเหตุที่เกิดขึ้นกับคนครูสมพรให้เจ้าบ้าน ๒ สามีภรรยารับรู้เพื่อเรียกความเห็นใจ พร้อมทั้งฝากฝังให้แกนำเรื่องทั้งหมดเข้าแจ้งแก่ร้อยเวร สภ.อ.ท่าใหม่เพื่อดำเนินการต่อไป
“โถ…ผมช่วยเต็มที่ครับ คนได้ทุกข์ขนาดนี้” ชาวสวนผู้อารีรีบรับคำ
รุณล้วงธนบัตรสีแดงเข้มออกมานับ ๑๐ ใบ ยื่นส่งให้ชายสูงวัยพร้อมกล่าวสุ้มเสียงภาพ
“กรุณาอย่าคิดเป็นอื่นนะครับ”
เจ้าบ้านวัยครึ่งศตวรรษส่ายหน้า “มันมากไปนะพ่อหนุ่ม”
“คิดว่าลูกหลานให้เถอะครับ” รุณหวานทางลมปากได้เหมือนกัน
“ถ้าหยั่งงั้นก็ขอบคุณพ่อหนุ่มมาก ขอให้บุญกุศลความดีนี้จงรักษาให้พ้นอันตรายเถิด” จบคำผู้สูงวัยยกมือท่วมหัวประกอบ
เรากลับขึ้นเรือนไปดูอาการครูสมพรอีกพักใหญ่จึงล่ำลา ๒ สามีภรรยาย่านอำเภอท่าใหม่จากมาในบัดนั้น หมดภาระที่เราสองคนก่อขึ้นเอง ระหว่างขับรถมุ่งยังอำเภอท่าใหม่ รุณ ตาแดงได้เปิดใจถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนับแต่ร่วมทางกับผมว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาไม่ฆ่าเสือธมระหว่างขัดขืนและพยายามต่อสู่เขาที่นายายอาม
“ที่เราไม่ยิงมัน ไม่ใช่เพราะสัญญากับเปี๊ยกกว่าจะไม่ฆ่าคนนะ ตอนนั้นหน้ามือลืมหมดแล้ว”
“อาจมาจากนายคิดมากขึ้นก็ได้” ผมเดา
รุณตบมือขวากับพวงมาลัยรถ ตาจ้องเขม็งยังวิถียาวเหยียดพลางส่ายหน้าไม่เห็นด้วย”
“เราว่ามีสิ่งหนึ่งกระตุ้นเรา” เพื่อนบอก มือเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็วรถ
“บอกได้ไหม?”
เขายิ้มเศร้า คิ้วเข้มขมวดมุ่นกล่าวเสียงซึม “นัยน์ตาของลูกชายเราตอนที่มันมองเปี๊ยงต่างกว่ามองเราที่เป็นพ่อ มันมองเราคล้ายไม่นิยมไม่เลื่อมใส…เราคงเหี้ยม ลูกจึงไม่ชอบตามสัญชาตญานหรือไม่แม่มันก็เสี้ยมสอนเพราะเป็น เมียฉุด ตอนเราเป็นทหาร
น้ำคำเขาอันบ่งถึงการรู้จากสิ่งที่สนองตอบเขาโดยพฤติกรรมของ เด็กชายหมึก ผู้เป็นทายาทเมื่อเที่ยงวันที่ผ่านมาดังกล่าวทำเอาผมต้องเป็นฝ่ายตรองและใคร่ครวญก่อนที่จะพูดหรือเสนอความเห็นเสริม เพราะสื่อจาการรับรู้ที่เขาบอกแสดงว่าเขาไวต่อทุกสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ดีเยี่ยม ส่วนจะแปลสื่อดังกล่าวให้เกิดคุณทางปฏิบัติแค่ไหนย่อมขึ้นกับจิตใจเขา เยี่ยงนี้รุณย่อมไม่ใช่นักเลงปืนภูธรธรรมดา
“พูดไปแล้วก็เป็นความผิดของเราเอง” เขาเปิดคำอีกครั้ง “เราฉุดเขามาแล้วก็ไม่เคยเลี้ยงดู ทำลายจิตใจเขาทุกอย่าง จะมีผัวใหม่ก็ไม่ได้”
“รุณสั่งหรือ?”
“ชื่อเรามันสั่ง ผู้หญิงที่เราฉุดมาทั้งหมด ๒๖ คน มีอยู่กับเรา ๑๘ คน อีก ๘ คนอพยพครอบครัวไปอยู่ที่อื่น”
คำตอบที่ตรงเผงทางตัวเลขทำเอาถามไม่ออก เพื่อนกลับเร้าเสียงเองดังเจตนาระบาย
“เปี๊ยกอยากถามอะไรเกี่ยวกับเราถามเลย นายคือ เพื่อน คนหนึ่งของเราแล้วอย่าเกรงใจมันอาจเป็นประโยชน์แก่ทั้งนายทั้งเรา”
“ถ้าแบบนี้ขอถาม ๒ เรื่องเท่านั้น”
“ว่ามาเลย”
“เมียที่ยังอยู่ด้วยกัน ๑๘ คน มีลูกหรือเปล่า?”
“มีบ้าง ไม่มีบ้าง ทั้งหมดรวมชายหญิง ๑๑ คน ส่วนใหญ่เราไม่ได้เลี้ยงดู ไปหาก็เอาตังค์ไปให้ เหมือนเมื่อตอนเที่ยงนั่นแหละ?”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ทางเพศใช่ไหม?”
ทุกครั้งที่เมาเหล้าเมาฝิ่น”
ผมไม่ชักต่อ ผินหน้าชมทิวทัศน์ข้างทางพบป้ายหลักบอกระยะทางอีก ๕ กิโลเมตรจะถึงอำเภอท่าใหม่ ท้องที่เดียวกับสถานที่ที่เราก่อเหตุชิงตัวครูสมพรจากเสือธม ก็เดาเอาว่ารุณคงเข้าเมืองแวะซื้อข้าวสารกับของแห้งเข้าไปให้สมุนในป่าที่เคยบอก
บ่ายโขแล้วจิ๊ปวิลลี่ของเราวิ่งชะลออยู่บนถนนใจกลางตลาดสดอำเภอท่าใหม่แวะซื้อข้าวสาร ๒ กระสอบ น้ำมันก๊าด ๒ ปี๊บ กะปิ พริก หอม กระเทียม ปล้าร้า น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ข้างเหนียว ไม้ขีดไฟ ผงซักฟอก ยาควินิน ยาสูบจนล้นกระบะท้ายรถ
“ข้าวสารกับข้าวเหนียวทั้งหมดนั่นลูกน้องเรากินไม่เกิน ๕๐ วัน” รุณบอกหลังสตาร์ตเครื่องยนต์รถเคลื่อนที่ออกจากหน้าร้านชำ
“นายเลี้ยงลูกน้องไว้เยอะเหรอ?”
“อยู่ใกล้ชิดจริงๆ ๕ คน นอกนั้นเป็นพวกคนงานหนีคดีมาจากที่อื่น”
“รุณช่วยเล่าเรื่องไร่มัน ฟาร์มวัว กับที่ดินที่เราจะเข้าไปทำให้ละเอียดได้ไหม?”
“จุดบุหรี่ให้มวนนึงสิ” รุณบอก
ผมจัดการจุดบุหรี่ขึ้น ๒ มวน มวนหนึ่งส่งให้เขา และอีกมวนตัวเองสูบ รถทะยานลิ่วกลับเส้นทางเดิม ต่อมาเรื่องราวที่ผมใคร่รู้ถูกเผยจากปากนักเลงปืนผิวนิลหมดเปลือกว่า แต่เดิมที่นั่นเรียกว่าบ้านเขาวง ภูมิประเทศทั่วไปเป็นป่าดงดิบมีภูเขาใหญ่เล็กทอดยาวสลับซับซ้อนคล้ายรูปวงกลม ชาวบ้านจึงเรียกติดปากว่า เขาวง ทั้งที่ภูเขาบางลูกมีชื่อเดิม เช่น เขาหวาย เขาชะเมา(วนอุทยานแห่งชาติเขาชะเมาในปัจจุบัน) เป็นต้น
ป่าดิบบ้านเขาวงมีชาวบ้านครอบครัวแรกเข้าไปบุกเบิกจับจองทำไร่มันกับเผาถ่านขาย คือนายจิตกับนางเหม็ง นาคำดี ๒ สามีภรรยา พร้อมลูกชายโทนวัย ๑๕ ปี ชื่อ เสาร์ นาคำดี ๒ ปีต่อมานายจิตได้ไปชีกชวนญาติๆ ซึ่งมีพื้นเพเป็นชาวอีสานอีก ๓-๔ ครอบครัวเข้าไปจับจองที่ทำไร่มัน จนมีรถบรรทุกบุกเข้าไปซื้อถ่าน ซื้อมันสำปะหลังเป็นประจำ นับแต่นั้นมาป่าดิบบ้านเขาวงได้ถูกรุกโค่นทำลายเพื่อใช้เป็นที่ทำกิน โดยเฉพาะเผาถ่านอย่างเป็นล่ำเป็นสันจวบจนอุบัติหมู่บ้านเขาวงขึ้นมา ๕ ปีต่อมาธุรกิจทำลายป่าด้วยการตัดไม้เผาถ่านถูกทางการปราบปรามจับกุมขนาดหนัก ชาวบ้านซึ่งเพิ่มจำนวนเป็น ๗๐-๘๐ หลังคาเรือนตามกาลเวลาล้วนอพยพเข้ามาเพื่อตัดไม้เผาถ่านขายเป็นอาชีพต่างหันไปปลูกมันปลูกสับปะรดยังชีพ แต่มีบ้างที่หัวดื้อยังอนุรักษ์อาชีพเก่าอยู่
ช่วงนี้เองที่เสี่ยกิมเจ้าพ่อโรงงานทำแป้งมันย่านชายฝั่งทะเลตะวันออกได้เข้าไปสำรวจหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกสับปะรดกับสร้างโรงงานทำสับปะรดกระป๋อง เห็นป่าไม้ถูกตัดโค่นและเผาเป็นหย่อมๆ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองสนใจก็สมองเปรื่อง ทุ่มเงินว่าจ้างชาวบ้านลักลอบตัดไม้ขายให้ตนทั้งในรูปไม้ซุ่งและไม้แปรรูป โดยมีรุณ ตาแดงเป็นผู้รับซื้อและควบคุมการลำเลียงไม้ออก จากป่าได้ต่าจ้างวันละ ๕๐๐ บาท ขณะเดียวกันได้มีเศรษฐีกลุ่มหนึ่งส่งลูกน้องเข้าไปกว้านซื้อที่ป่าเสื่อมโทรมที่ชาวบ้านถือสิทธิ์จับจองเอาไว้เพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ส่งผลให้ราคาที่ดินละแวกที่กลุ่มเศรษฐีต้องการมีค่าขึ้นทันควัน
หมู่บ้านเขาวงอันเคยสงบเงียบนานคือจะได้ยินเสียงปืนยิงสัตว์สักโป้งบัดนี้ระงมด้วยเสียงปืนของคนที่แย่งชิงกันถือสิทธิ์แผ่นดินแต่ละแปลง และไม้ใหญ่แต่ละต้นที่พวกเขาจองไว้ตัดมันขายให้นายทุน ต่อมารุณเกิดผิดใจกับเสี่ยกิมกรณีเขาขอเพิ่มค่าจ้างรายวันเป็นวันละ ๑ พันบาทเพื่อให้คุ้มค่าเหนือยกับเสี่ยง เสี่ยกิมยอมตกลงขึ้นให้อีกเพียง ๒๐๐ บาท รุณประกาศถอนตัวและนำสมุนเข้ายึดพื้นที่ป่าดิบนับหมื่นไร่โดยรอบเขาหวายไว้แต่ผู้เดียว
“๓-๔ ปีก่อนเรายิงคนเหมือนยิงนก บางรายเรายิงตายคาเลื่อนขณะกำลังโค่น สักทอง ขนาด ๒ คนโอบ บางพวกก็บุกรุกที่เพื่อนำไปอ้างโอนขายให้เสี่ยโป้ย เจ้าของบริษัทสหพระฟาร์ม จำกัด” รุณสรุปพลางก้มลงสูบก้นบุหรี่ที่เหลือ
“ที่ดินเป็นหมื่นๆ ไร่นายดูแลทั่วหรือ?”
“ป่ามีตา คนอยู่ป่าต้องตาไว ใจเที่ยง”
“เรื่องนี้เราต้องศึกษาจากนาย…”
รุณหัวเราะชอบใจจนตาหยีเป็นครั้งแรก….
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อันธพาน ครองเมือง 2012