3803. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 6 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 6 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ตะวันร้อนฉ่าตรงหัวแล้ว จิ๊ปวิลลี่โดยโชเฟอร์นักเลงผิวนิลซึ่งผมนั่งขนาบคู่อยู่วิ่งลุยฝุ่นไปบนถนนลูกรังขรุขระอีกพักเดียวก็ปรากฏหมู่บ้านเล็กๆ ปลูกเป็นห้องแถวไม้ชั้นเดียว และมีบ้างปลูกเป็นขนำมุงจากหรือแฝกเรียงรายอยู่สองข้างทาง พอรถผ่านเข้าเขตหมู่บ้านผมเห็นป้ายชื่อบอกนามหมู่บ้าน หนองผักเป็ด ฝุ่นจับเขรอะ

รุณหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาตรงโคกถนนซึ่งเป็นทางสองแพร่ง แพร่งหนึ่งมีแผ่นป้ายไม้ทำลูกศรชี้ระบุหมู่บ้านเขาวง อีกแพร่งหนึ่งเป็นทางเกวียนกว้างพอรถวิ่นสวนกันได้ฉิวเฉียด สองข้างทางเป็นไร่พริกไทยเขียวชอุ่ม รุณหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอีกครั้ง คราวนี้เบื้องหน้าปรากฏเรือนไม้หลังขนาดย่อมยกพื้นใต้ถุนสูง บริเวณหน้าบ้านเป็นลานดินสะอาดตามีรถอีแต๋นโกโรโกโสจอดอยู่คันเดียว เสียงเครื่องยนต์จี๊ปเล็กเรียกสาววัย ๒๕ ปีนุ่งผ้าถุงดำใส่เสื้อแขนยาวสีน้ำเงินโผล่หน้าออกมา

“นั่นยังไง เมียเรา” รุณบอกขณะนำรถเข้าจอดยังด้านซ้ายรถอีแต๋น

ลงจากรถไปยืนบิดตัวคลายเมื่อยขบ รุณเดินนำเข้าใต้ถุนเรือนขณะสาววัยเบญจเพสกุลีกุจอปูเสื่อบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นรุณได้แนะนำให้เรารู้จักนามกันตามปกติจึงทราบชื่อเธอ ปรานี ต่อมาจากที่เห็นระยะใกล้ เธอจัดเป็นสาวหน้าตาน่ารักมากกว่าสวยผิวเหลืองแต่คล้ำเพราะกร้านแดดลม ยังเปล่งปลั่งวัยสาว เสียแต่ว่าในความงามน่ารักทั้งใบหน้าและดวงตาสาวกลับบ่มความเศร้าลบความน่ารักเสียสิ้น นั่งดื่มน้ำฝนจากขันลงหินดับความกระหาย รุณโอบหลังเมียสาวไปทางโรงเรือนมุงหลังคาจากใกล้กับดงไผ่แลร่มครึ้ม บ้านทั้งหลังเงียบกริบราวร้างผู้คน สายลมเที่ยงโกรกกรูเป็นครั้งคราว ฟ้าสีครามมีกลุ่มเมฆสีน้ำข้าวแต้มอยู่ทั่ว ความอบอ้าวกระไอร้อนตะวันที่นั่งโต้มาแต่เมืองแกลงบรรเทาลง รุณกลับมาจากด้านหลังตัวเรือน คล้องกระเป๋าใบขนาดย่อมไว้ที่หัวไหล่ปากถามมาแต่ไกล

“คอยนานไหม?”

ผมยิ้มให้แทนตอบ เมียสาวของเพื่อนเลี่ยงไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ปลายเตียงเหงื่อซึมหน้า รุณยกขันน้ำฝนขึ้นดื่ม พลัน…ประสาทหูแว่วเสียงคนวิ่งมาตามทางป่ามันเส้นทางเข้าบ้าน ผมหันขวับไปทางนักเลงผิวนิล รุณผินหน้าไปทางเมียสาวเชิงถาม มิทันปรานีบ้านไร่เอ่ยปากกลับปรากฏร่างเด็กชายวัย ๔-๕ ขวบ ๒ คนวิ่งไล่ตีกันมา เด็กน้อยผิวนิลซึ่งคาดว่าเป็นทายาทของรุณ ตาแดงกำลังวิ่งกวดเพื่อน พอเห็นคนแปลกหน้าทั้งคู่ก็หยุดกึกอยู่กลางแดด หยีตามองจนคิ้วขมวด เมียสาวออกปากบอกพลางลุกขึ้นยืน

“ไม่ไหว้พ่เขาล่ะ…หมึก?”

หนูหมึกยืนหยีตาลังเล ผมยืนหายใจไม่ทั่วท้องเอาใจช่วยขอให้หมึกไหว้พ่อ ปรานีเดืนอกไปหาลูก เด็กชายหมึกรีบยกมือไหว้ทันควัน
รุณยิ้มกว้าง กวักมือ ปากเรียกห้วน ๆ

“มาหาพ่อหน่อย เอาตังค์ไปซื้อขนมกิน”

หนูน้อยทิ้งเพื่อนไปยืนเกาะแขนมารดา นัยน์ตาดำขวับซ้อนตาดำขึ้นมองแม่ รุณล้วงกระเป๋าดึงธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทปึกหนึ่งยื่นให้พลางขยับเดินเข้าไปหาจนเลือระยะ ๒ เมตรกลางแดดจ้า พ่อลูกประสานตากันวิบเดียว เด็กชายละจากแม่เดินยื่นมือเข้าไปรับธนบัตรทั้งปึก รุณส่งให้หนูน้อยรับเงินไว้แล้ว แต่เด็กน้อยเดียงสาเกินกว่าจะรู้ค่าเงิน ยืนหันรีหันขวาง

“โธ่…รุณ เพื่อนน่าจะลูบหัวหรือโอบกอดลูกสักนิด เพื่อนกลับไม่ทำ”

ผมครวญในอกจวบเด็กชายหมึกวิ่งกลับไปหามารดา ปรานีสาวบ้านไร่กัมลงช้อนลูกชายขึ้นพาดไหล่เดินหลบแดดไปหลังบ้าน ผมยืนขาสั่นใจสั่นมองแม่ลูกจนลับตา

จิ๊ปวิลลี่ขับเคลื่อนโดยรุณ ตาแดงวิ่งฝ่าแดดพ้นไร้พริกไทยสถานที่ผมพบเด็กน้องผิวนิลมาไกลลิบ แต่ภาพเค้าหน้าเด็กยังติดตรึงให้ต้องคิดว่ามันเกิดอะไรกับครอบครัวเพื่อน สภาลูกเมินเมียหมางที่ผ่านมาต้องมาจากพฤติกรรมของเขา นั่งเงียบเพราะปัญหาใกล้ตัวจนรู้สึกว่าโชเฟอร์ชำเลืองมองบ่อยครั้งก็ออกปากถึงปัญหากระเพาะบ้าง

“เรายังไม่กินข้าวเช้าเลยนะ”

เขาตอบเหมือนเตรียมไว้ “เดี๋ยวเราแวะกินที่ปากทางนายายอาม”

“ในกระเป๋านั่นอะไร?” ผมข้องใจกระเป๋าที่เขาถือติดมือและวางอยู่ด้านหลังคู่กับถุงเป้

“ปืนเอ็ม-๑๖ ตอนนี้ต้องถอนเป็นชิ้นๆ”

“นายประกอบเองได้หรือ?”

“เราประกอบได้ยิงได้ตั้งแต่อายุ ๑๘ ครูฝึกเป็นพี่ชายเราเอง แกไปได้เมียอยู่เกาะช้าง จังหวัดตราด”

“นายรับปากจะช่วยครูพรโดยไม่ฆ่าปิดปากคนไม่ใช่หรือ” ผมเปลี่ยนเรื่องเข้าหาเหตุแคลงใจ

“เมื่อเราไม่ฆ่าเขา ก็ต้องระวังเขาฆ่าเรา”

“ขอโทษด้วย เราไมทันคิดถึงข้อนี้” ผมยอมรับ

“บ้านนอกฆ่าคนง่ายกว่าในเมือง” เขาว่า

ผมไม่เถียงเพราะทั้งตำรวจและข้าราชการภูธรน้อยรายนักที่ไม่กินตามน้ำ ขนาดในเมืองหลวงเองใกล้หูใกล้ตาผู้บริหารยังฉ้อฉลกันตั้งแต่กรมกองจรดระดับกระทรวง ไม่ต้องดูอื่นไกลเอาแค่กรณีครูสมพรนำหนังสือเข้าร้องทุกข์ผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนั้นเพื่อตั้งคณะกรรมการไปตรวจดูน้ำเสียที่ทางโรงงานแป้งมันปล่อยลงคูคลอง จนส่งผลให้พื้นไร่เกษตรกรที่ร่วมใช้น้ำเสียหายยับเยินนั่นปะไร เรื่องนี้ในฐานะคนไทยมีจิตรักความชอบธรรมอยู่ ผมพร้อมที่จะเคียงบ่ารุณต่อสู้จนกว่าจะรู้ผล อีก ๕ นาทีเที่ยงครึ่งรุณแวะจอรถยังร้านอาหารปากทางเข้านายายอาม สั่งเเบียร์เย็นเฉียบพร้อมกับแกล้มดื่มกินที่นี่ ผมสังเกตพบว่าเขาเป็นคนกว้างขวางสำหรับที่นี่ นับแต่เจ้าของร้านชาวจีนวัย ๔๐ ปี ตลอดไปถึงผู้คนที่นั่งกินอยู่ในร้านก่อนที่เราจะเข้าไปถึงล้วนยิ้มแย้มทักทายเขา พวกหนุ่มๆ รถปีกอัพ ๓ คนโต๊ะข้างเคียงก็เชื้อเชิญ แต่เขาเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุดหันหน้าออก เมื่อได้เบียร์สิงห์เย็นๆ กลั้วคอแห้งผากไปแก้วแรก อาการเปลี้ยเพลียทุเลาลง ยิ่งได้กับแกล้มผัดเผ็ดหมูป่าหน้าหนาเตอะขบเคี้ยวกระเพาะก็ค่อยๆ บรรเทาลง

เมารัยแก้วแล้วแก้วเล่าพร้อมสรรพอาหารผ่านลำคอเรา ๒ คนไปถึงขวดที่ ๖ ขณะรินเบียร์ลงแก้วตัวเองรุณขอตัวไปใช้ห้องน้ำ ผมสั่งบุหรี่เพิ่มอีกคนละ ๒ ซองพร้อมให้เช็กบิล พนักงานเสิร์ฟนำบุหรี่ใส่ถาดมาให้ ๔ ซอง พร้อมกระดาษชิ้นเล็กๆ เขียนข้อความ

“ค่าบริการทั้งหมดลงบัญชีนายรุณไว้แล้ว…ผู้จัดการ”

พอรุณกลับเข้านั่งประจำที่ ผมเหลือบไปทางหน้าร้านที่เราจอดรถไว้ปรากฏปิกอัพสีเขียวคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบโชเฟอร์ผลักประตูรถเปิด ผมตัวชาหนึบหลุดปากอุทาน

“นั่นมันพวกที่คุมตัวครูพรนี่”

นักเลงปืนผิวนิลจ้องตาแน่วยังโชเฟอร์หนุ่มฉกรรจ์หุ่นกำยำ ผิวดำแดงตัดผมสั่นเกรียน

“ไอ้ห่าธมน่ะเอง” รุณกระซิบ “มันคงจะพาตัวครูพรเข้าไปขังในชุมของมันที่เราจะตามเข้าไป”

“มันมากัน ๓ คน หน้ารถ ๒ คน บนกระบะรถอีกคน” ผมกระซิบบอก

“ไอ้คนบนกระบะคงมีหน้าที่คุมครูพร ครูอาจจะถูกมัดให้นอนในรถแบบเก่าก็ได้ ไอ้ธมคงไปเดินหาซื้อของ เชื่อว่าจะต้องเข้ามาที่นี่”

“ถ้ามันพบหน้าเราจะเกิดปัญหาไหม?”

“มันไม่เกิด แต่เราเกิดปัญหาแล้ว”

รุณบอกเสียงแน่น ตาแดงก่ำวาวเรืองจ้องร่างโชเฟอร์มาสด้าปิกอัพเดินหายไปทางร้านซ้ายมือ

“นายคิคอย่างไรหรือ?” ผมถาม

“เราจะช่วยครูตอนนี้เลย” เขาหลุดปากชัดเจน

“ตรงนี้น่ะเหรอ”

“ที่นี่แหละ!”

จากนั้นการหารือเพื่อปล้นชิงตัวครูสมพรของเราดำเนินอย่างเร่งรีบโดยรุณได้เรียกเจ้าของร้านวัย ๔๐ ปีมาขอกุญแจล็อกห้องน้ำในร้านไว้ได้อย่างง่ายดายทั้งยังกำชับเสียงเข้ม

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นป๋าต้องบอกไม่รู้จัก จำไม่ได้นะ”

“เชื่อใจเถอะ นายรุณ”

คล้อยหลังเจ้าของร้าน เพื่อนบอกตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เบียร์ หน้าดำเป็นมันปลาบ

“พอไอ้ธมมา เราจะเรียกมานั่งแล้วใช้ปืนจี้ลากไปขังในห้องน้ำ”

“หากมันสู้ล่ะ?”

“จำเป็นต้องฆ่า”

“คนในร้านจะแตกตื่นเราอาจหนีไม่รอดป้อมตำรวจก็อยู่ใกล้ๆ แค่นี้”

“เราจะพยายามอย่างดีที่สุด ตกลงนะ”

ไม่มีทางที่ผมจะคัดค้านอะไรได้อีก เมื่อที่หน้าร้านปรากฏหนุ่มฉกรรจ์ร่างกำยำผมสั้นเกรียนเดินเข้ามาในร้าน และปราดไปหาเถ้าชิ้วสั่งอาหารโดยไม่ทันมองทั่วร้านผิดสัญชาติ รุณแบนหน้ามาหาปากบอก

“ระวังตัว ไอ้เสือนี่เหลี่ยมพราว…เราเดินเรื่องเลยนะ”

ผมยกมือให้เขาแสดงความพร้อม นักเลงปืนผิวนิลยกแก้วเบียร์ครึ่งแก้วที่เหลือกระดกรวดเดียวก็ใช้ท่อนแขนเช็ดปาก ตาแดงก่ำไม่ละจากเสือธมหัวหน้าทีมควบคุมตัวครูสมพรตัวเป้าหมาย ร่างกำยำสันทัดของเพื่อนผิวนิลลุกเดินไปหา ธมสะบัดหน้ามอง รุณยิ่มขรึมตามมาด มือซ้ายจับแขนขวาเสือร้ายทีท่าสนิทสนมพลางเชื้อเชิญ

“ธมกินเบียร์กันก่อนโว้ย”

เสือร้ายฉวัดตามองผมพร้อมก้าวตามแรงรั้งของรุณมาร่วมโต๊ะโดยดี และดุจคล้ายได้สติ ธมถามระหว่างผู้เชิญรินเบียร์ให้

“พี่รุณไปไหนมาครับ?”

“ว่าจะเข้าหนองบอน พอดีหิวเลยแวะ” เพื่อนบุ้ยส่งพลางยื่นแก้วเบียร์ให้

“ขอบคุณพี่” ธมกล่าว

เมรัยเกือบปริ่มปากแก้วถูกกลืนหายราวกระเพาะอูฐ ผมกราดตามองทั่วร้านเห็นมี ๒ วัยรุ่นนั่งกินข้างผัดอยู่โต๊ะเดียวก็โล่งอก และพอตูดแก้วกระทบโต๊ะเสือธมถึงกับสะดุ้งเฮือก ฉกมือขวาไปที่ซอกเอว
รุณสำทับกร้าว “อยู่เฉยๆ เอามือมึงขึ้นวางบนโต๊ะ…เร็ว”

เสียงของเพื่อนครั้งนี้ดังจน ๒ วัยรุ่นเหลียวมอง ผมเอี้ยวตัวใช้มือซ้ายเลิกชายเสื้อแจ๊กเก็ตฟีลด์หมายยึดอาวุธ เสือร้ายฉวัดมือตบปืนที่มือรุณที่จี้บริเวณสีข้างพร้อมถีบอย่างแรง รุณเสียงหลักล้มครืนพร้อมเก้าอี้ ธมซึ่งหงายมาปะทะผมเต็มแรงพยายามกระชากปืนจากเอว ผมไม่รอสั่งญาติหรือขออภัย หวดด้ามอาวุธขนาด ๑๑ ม.ม. เข้าบริเวณกกหูเสือร้ายเต็มเหนี่ยว โพละ!

ตรงเป้าเหมาะเหม็ง ร่างกำยำไอ้เสือผมสั้นเกรียนถลาเอียงไปทรุดฮวบยังซอกทางเดินเข้าห้องสุขา เสียงง้างนกปืนดังกริ๊ก ผมสะบัดหน้าไปมอง ปะนักเลงปืนผิวนิลยืนประทับปืนจังก้าหน้าเป็นมันเยิ้ม ๒ วันรุ่นเห็นเหตุลุกลามใหญ่โตทำท่าลุกขึ้น รุณตะคอกโดยไม่เคลื่อนไหวอิริยาบถอื่น

“นั่งอยู่กับที่ไอ้น้อง”

ผมพรวดไปที่เสือธมซึ่งหมดพยศนอนแผ่หลาดึงปืนสั้นขนาด .๓๒ จากเอวมันยึดไว้ รุณปราดมาก้มลงตะปบคอเสื้อไอ้เสือ อีกมือส่งแม่ลูกกุญแจห้องสุขาทั้งชุดให้ปากบอก

“เปิดห้องนั่นด้วย”

ผมรับกุญแจทั้งชุดไว้แล้วเผ่นไปเปิดประตูห้องสุขาไว้ จากนั้นจึงโดดเข้าช่วยเพื่อนฉุดลากร่างเสือธมเข้าไปยัดไว้ในห้องน้ำอย่างทุลักทุเลแล้วปิดล็อกกุญแจประตู เจ้าของร้านอาหารวัย ๔๐ ปีโผล่หน้ามาจากห้องครัวหลังร้านกล่าววิงวอนเสียงสั่นรัว พลางยกมือพนมเหนือศีรษะ

“อย่าฆ่าคนเลยนะนายรุณ ถ้ามีเรื่องคราวนี้เจ๊งแน่”

รุณแบนสายตามาที่ผม “เปี๊ยกเอาลูกกุญแจให้แกไปเถอะ” ผมยิ่มให้แกขณะก้าวไปส่งลูกกุญแจห้องสุขาให้ ๒ วัยรุ่นนั่งสงบนิ่งรุณสั่งความเสียงดัง

“บอกไม่รู้ไม่เห็นนะ”

“ตกลง นายรุณ” เจ้าของสถานที่ลนลานรับปาก

“ไปเพื่อน” รุณชวนขณะเสียบปืนเข้าซอกเอว

ที่หน้าร้านบัดนี้ ๒ หนุ่มสมุนเสือธมนั่งโต๊ะแดดรอลูกพี่ พอเห็นเราเดินคู่กันออกจากร้านไปหา ไอ้หนุ่มที่นั่งยังกะบะรถรีบยกมือวันทา ปากทักถาม

“หวัดดีพี่รุณ เมื่อกี้ไม่เจอพี่ธมหรือ?”

“เจอแล้ว” รุณบอกสุ้มเสียงปกติ

อีกหนุ่มนั่งอยู่ตอนหน้าปิกอัพสีเขียว ผลักประตูรถเปิดออกมายกมือวันทารุณดุจกัน

“หวัดดีว่ะ” รุณว่า มือขวาสอดเข้ากำด้ามปืน “เอาหยั่งงี้นะ พวกมึง ๒ คนช่วยกันยกห่อผ้าใบท้ายรถไปไว้ที่ท้ายรถจิ๊ปด้วย”

“เอ๊ะ….” สมุนบนกะบะรถอุทาน

ผมปรี่เข้าปลดอาวุธปืนสั้นของทั้งสองในบัดดล รุณคำรามใส่ใบหน้าถมึง

“กูจะไว้ชีวิตมึงทั้งคู่ถ้าไม่เสือกดื้อ….มึงบนรถด้วย เร็วสิวะ”

อาจเป็นด้วยทั้งคู่เคยเห็นหรือเคยทราบความดุดันของผู้ออกคำสั่งดีอยู่ทั้ง ๒ คนจึงไม่อิดออดเล่งเชิง ยอมช่วยกันยกห่อผ้าใบฝุ่นเขรอะอันใช้ปิดคลุมร่างครูสมพรอยู่ไปไว้ยังท้ายจิ๊ปวิลลี่กลางแดดจ้า โดยผู้คนละแวกใกล้เคียงไม่ระคายเรื่องเลย เสร็จก้จผมเดินอ้อมรถไปขึ้นที่นั่งฝั่งขวา จัดการเก็บปืนเชลย ๓ กระบอกลงถุงเป้ รุณก้าวขึ้นรถประจำตำแหน่งเดิมสตาร์ตเครื่องกระหึ่ม ๒ สมุนเสือธมยืมก้มหน้างุด
“พวกมึงกลับไปบอก ไอ้กิม ว่ากู ไอ้รุณ ห้ามทุกคนแตะต้องครูสมพรเด็ดขาดถ้าไม่เชื่อ รบกะกู!”

สิ้นคำโชเฟอร์ถอยรถเสียงสนั่นก่อนหักพวงมาลัยนำรถทะยานเข้าเส้นทางสุขุมวิท โดยบ่ายหน้าไปจันทบุรีได้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรโชเฟอร์เปิดคำประโยคแรก

“ต้องหาที่หลบจอดรถช่วยครูก่อน ป่านนี้คงแย่”

ผมหันขวับไปท้ายรถ ด้วยลืมไปถนัดว่าครูสมพรถูกห่อคลุมด้วยผ้าใบผูกมัดราวหมาหมู อาจทำให้ระบบการหายใจติดขัดและเสียชีวิตได้ก็ร้องถามเขา

“รุณนายมีมีดไหม? เราจะตัดเชือกมัดผ้าใบออกก่อน”

“ในกระเป๋านั้น”

โดยไม่รอเพื่อนหาที่พักรถ ผมปีนข้ามที่นั่งไปทางท้ายรถกลางกระแสลมพัดอู้ ส่วนในใจภาวนาขอให้ครูสมพรอย่าด่วนจบชีวิตทั้งๆ ที่ภาระยังเต็มบ่าเลย…..

สุริยัน ศักดิ์ไธสง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: