3802. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 5 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 5 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

พอผ่านประตูห้องหอวิมานกาม ซอย ๒ ของเมืองแกลงเข้าไป สัมผัสแรกที่ได้รับเป็นกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นแป้งหอมกรุ่นทั่วห้องซึ่งคับแคบพอกับห้องโรงแรมราคาถูกตามภูธรทั่วๆ ไป ภายในห้องมีเตียงไม่เก่าๆ วางทับด้วยที่นอนปูผ้าคลุมสีฟ้ายับย่น บริเวณโดยรอบฝาห้องมีปกนิตยสารรูปดาราทีวี และดาราภาพยนต์ชายหญิงปะติดอยู่เต็ม ตรงปลายเตียงติดฝาห้องวางรองเท้าฟองน้ำ ๒ คู่ กับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีขาวอีก ๑ คู่ เหนือขึ้นไปมีราวลวดขึงไว้เป็นราวตากผ้าถุง ฝั่งหัวเตียงที่ข้างฝาติดกระจกเงาขนาด ๑๒ นิ้ว มีอักษรตัวโตขนาด ๑ นิ้ว เขียนด้วยแป้งลายมือพอใช้ได้ ๓ พยางค์ น้ำตาดาว….

ขณะยืนชมห้องหออย่างตั้งใจ สื่อภาครับทางโสตสัมผัสเสียงลงกลอนประตู ผมสะบัดหน้ากลีบไปมองร่างขาวโพลนของหงส์ซึ่งหันกลับมาพอดีทำเอาสะท้านทรวงวูบ เลือดลมพลุ่งพล่านไปหมด จึงกัดฟันข่มจิตขจัดตัณหา พลัน…คำเตือนของพระคุณเจ้าหลวงพ่อก่อนอุปสมบทด้งก้องหู

“เมื่อความดีเอ็งไม่มีโอกาสทำก็ขออย่าได้ทำชั่ว ๒ ประการนี้ เช่น อย่ารังแกเพศตรงข้าม และอย่าอกตัญญูผู้มีคุณ…นั่นแหละที่มันจะบรรเทากรรมของเอ็ง”

ได้สติจากคำเตือน ๒ ประการเป็นปราการต้านตัณหา ไม่ทันปรับสภาวะจิตสงบ ร่างเปลือยขาวปานหยวกของหงส์ทรุดลงกับพื้นห้องแล้วกราบที่แทบเท้า

“หงส์กราบขอบพระคุณที่พี่เลือกขึ้นห้องกับหงส์”
น้ำคำกับน้ำเสียงเบาแผ่วปนสะอื้นของสาวผู้ได้เคาระห์บาดใจผมในบัดดล ทั้งนี้ด้วยการกระทำกับคำพูดเธอต่างกันชัดเจน พฤติกรรมเธอขณะก้มกราบบอกชัดว่าเธอปีติ แต่วาจากับสุ้มเสียงมันตรงกันข้าม ฟังแล้วรู้สึกคล้ายเธอถูกบีบคั้น ผมตัดใจขยับไปหยิบผ้าถุงที่ราวลวดยื่นส่งให้พลางก้มลงบอก

“นุ่งผ้าซะ เดี๋ยวเรามาคุยกัน”

หงส์แดนที่ราบสูงรับผ้าถุงไปด้วยสีหน้ากับแววตาประหลาดใจ ก่อนสวมผ้าถุงครอบหัวทีท่าลุกลนจนต้องเดินไปนั่งบนขอบเตียง เอื้องงามวลใส่อาภรณ์ปิดกายแบบกระโจมอกยืนกอดอกก้มหน้างุด

“มานั่งนี่สิ” ผมเรียก

นางบาปวียกำดัดเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาดำขลับปรากฏแววหม่นหมองใบหน้ากลมนวลด้วยเครื่องสำอางแลขาวซีดผิดกับวัยดรุณของดรุณทั่วไป ครู่เดียวริมฝีปากบางสีชมพูเปิกคำเสียงเบาแผ่ว

“พี่ไม่นอนหรือจ๊ะ?”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ปากบอก “มานั่งข้างๆ ดีกว่า อยากคุยด้วย”

“ก็ได้จ๊ะ”

สาวรุ่นปราดมานั่งข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ถามประโยคแรก

“ทำไมต้องกราบเท้าพี่ด้วย เป็นธรรมเนียบหรือ?”

หงส์หน้าเศร้าทันที ทั้งยังส่ออาการขยาด ผมยิ่มข้องใจหนัก

“เธอกลัวอะไร?”

สาวรุ่นรีบแตะนิ้วชี้ไว้ที่ปากเชิงบอกให้สงบคำ จากนั้นก็หันหลังให้ดูบริเวณแผ่นหลังซึ่งเธอเปลือยให้ชมโดยใกล้ชิด ความสว่างจากแสงไฟฉายให้เห็นรอยฟันเป็นจ้ำๆ เขียวคล้ำเต็มหลังขาวนวล

“ใครกัด?” ผมถามเบากริบ

“ที่หน้าอกอีก หงส์เจ็บไปทั้งตัว นอนโรงหมอตั้ง ๒ อาทิตย์”

สาวน้อยบอกพร้อมทำท่าจะเปลือยด้านหน้า ผมเบรกเกรงตบะแตก

“ไม่ต้องหรอก พี่เชื่อแล้ว…แผลที่เห็นนี้คงนานแล้วใช่ไหม?”

“เกือบเดือนแล้วจ๊ะ หงส์จึงกราบเท้าที่พี่ช่วยเลือกหงส์มาขึ้นห้อง”

ทั้งวาจาทั้งน้ำเสียงฟังแล้วก็ได้แต่เวทนา เพราะตลอดร่างกายที่เธอเป็นเจ้าของเธอกลับไม่มีสิทธิ์เลือกใช้มัน ผมเองในช่วงวัยคะนองเคยเข้าไปมีส่วนร่วมธุรกิจค้าประเวณีกับเพื่อนพ้อง ได้เคยรับทราบปัญหาเช่นที่เธอประสบไม่น้อย แต่ก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเข้าไปบอกกับแขกในฐานะผู้ชายด้วยกันเชิงขอร้อง ทุกรายพอทราบผมรู้ไต๋ล้วนไม่โผล่มาอีกเลย พฤติกรรมตามประสบการณ์นี้ผมคาดว่ามีผลทางจิตวิทยา เพราะขึ้นชื่อว่า ชาย แล้วมักปิดบังพฤติกรรมทรามทางเพศของตน เฉพาะอย่างยิ่งชายไทยอันมีพื้นฐานทางด้านจิตใจเดิมดีเป็นทุนมาก่อน ทันใดนั้นเสียงร้องครางคราญของผู้หญิงดังแว่วมาจากห้องฝั่งตรงข้ามเป็นช่วงๆ ผมหันมองหงส์ สาวน้อยรีบยกมือปิดหน้าก่อนซบหน้ากับท่อนขาตน พยายามกลั้นเสียงร่ำไห้ร่างสั่นเทาจึงปลอบ

“หงส์…นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มาที่นี่อีก พี่สัญญา”

ปลอบประโลมใจกันอยู่พักหนึ่ง จวบสาวน้อยบรรเทาความหวาดกลัวแล้วถึงขอตัวนอนพักผ่อน โดยมีเธอกุลีกุจอเปิดพัดลมให้จนนิทราสนิทในเวลาต่อมา ถูกปลุกจากมือนิ่มพอลืมตาก็ได้ยินเสียงเพื่อนเสือเรียกอยู่หน้าห้องดังลอดเข้ามา

“เปี๊ยก ตื่นกินข้างเถอะ”

ผมผงกร่างลุกขึ้นนั่ง ปากบอก “ขอบใจ เดี๋ยวเราจะออกไป” ต่อมาจึงจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เอาชุดเก่าอัดเข้าถุงเป้โดยสาวน้อยนั่งมองตาแป๋ว จนเสร็จกิจก็นึกถึงปืนสั้นขนาด ๑๑ ม.ม. ที่รุณให้ยืมใช้ ขณะเหลียวไปยังที่นอน หงส์วัย ๑๕ ปีเอื้อมไปยกหมอนขึ้นพร้อมหยิบมันยื่นส่งให้

“ขอบใจหงส์ ไปละ…ถ้าโลกกลมเราคงได้พบกันอีก”

หงส์ผู้น่าสงสารลุกขึ้นพนมมือไหว้ นัยน์ตาสุกใส

“หงส์ขอให้พี่คนดีจงอย่าได้ประสบภัยทุกอย่างจ๊ะ”

ผมคว้าจีบแขนเธอไว้ สาวน้อยจ้องตาเขม็ง ผมยัดธนบัตรใบละ ๑๐๐ รวม ๕ ใบใส่มือเธอกำชับขึงขัง

“เอาเงินนี่เก็บไว้ใช้ต่อเมื่อถึงครางจำเป็น พี่ให้รับไปสิ”

“แต่พี่ไม่ได้นอนกับหงส์”

“รับไปเถอะ”

“หงส์กราบขอบพระคุณพี่อย่างสูงจ๊ะ”

“อยู่ที่นี่นะ ไม่ต้องออกไป”

“จ๊ะ”

สาวน้อยขานรับเบาๆ ก่อนผละไปที่ประตูจัดการถอดกลอน ผมคว้าถุงเป้ขึ้นสะพายไหล่ก้าวออกจากห้องทันที

ที่ริมวิถีด้านหน้าวิมานกามขณะผมออกไปสมทบ เป็นขณะที่เจ้าของซ่องหรือ ป๋า ร่างใหญ่กำลังยืนพูดคุยกับรุณท่วงท่าพินอบพิเทาเหมือนเดิม

“ถึงสวรรค์ชั่นฟ้าหรือเปล่า เปี๊ยก?” นักเลงปืนผิวนิลหันมาถามหน้าตาสอชื่น

ผมยิ้มให้เขา ปากโป้ปด “สบายตัวแล้ว”

รุณล้วงธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทมานับจนครบ ๑๐ ใบแล้วส่งให้ป๋าเจ้าของธุรกิจกามรับไว้ ส่วนผมฉากไปที่จิ๊ปวิลลี่เหวี่ยงถุงเป้ไว้หลังรถ เผอิญฉวัดตาไปยังหน้าต่างชั้นบนสำนักนางโลมที่รุณใช้ก้อนหินปาปลุกเจ้าสำนักตอนเช้า

“หงส์” ผมเผลออุทาน

สาวน้อยแดนดอกเอื้องเธอยืนอยู่ที่หน้าต่างโบกมือหย็อยๆ ผมอยากโบกมือล่ำลาเธอเช่นกัน แต่ถ้ายกมือบ๊าย-บายกับเธอเมื่อไหร่รุณต้องเห็น และเมื่อเห็นก็ต้องหันไปดู อันนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร เรื่องแบบนี้ชายย่อมทราบใจชายดี สางเอย…ถ้าโลกไม่โหดร้ายต่อเธอถึงขึ้นต้องขายชีวิต ก็ขอให้มีวันที่เธอได้ร่ำไห้กับความสมหวังสักครั้ง…ลาก่อน

รุณเดินกลับมาที่รถ ขึ้นนั่งประจำตำแหน่งโชเฟอร์เช่นเดิม หงส์สาวที่หน้าต่างรีบผลุบหน้าหลบวูบ จี๊ปเล็กของเราเคลื่อนออกถนนด้านข้างอำเภอแกลง ผ่านถนนด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอแกลงโดยไม่รีบร้อนนักก็คันปาก

“รุณ นายมีคดีติดตัวหรือเปล่า?”

เขาเหลียวมอง ตอบเสียงดังฟังชัด “สู้คดีพ้นหมดแล้วรวม ๓ ปีกว่า…เปี๊ยกล่ะ มีจากกรุงเทพฯ หรือเปล่า?”

“คดีไม่มี แต่ตำรวจไม่อยากเห็นหน้า ไล่ไม่ให้อยู่”

“ที่นี่ตำรวจไม่กล้ากับเรา ถ้าไม่ยกมาเป็นโขยง เราถูกตามยิงจนชินแล้วทุกคนทีายิงเราไม่เคยรอดมือเรา ตอนนี้หมวดนงค์ขอให้อยู่อย่างสงบ เราก็ทำไรปลูกอ้อยปลูกมันอยู่ทุกวันนี้”

ผมท้วง “เกือบอยู่ไม่สงบตอนอาสาคุมตัวครูสมพรเข้าแล้ว”

เขาอึ้งกะทันหันตากระพริบถี่ ๒ มือกำพวงมาลัยรถคล้ายกำจนเกร็งพลางพรูลมหายใจแรงจนได้ยิน ต่อมารุณขยับมือซ้ายกดสัญญานแตรเพื่อแซงขวารถคันหน้าไปเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางสุขุมวิทตรงดิ่งยังอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ท่ามกลางแสงตะวันร้อนฉ่า

จี๊ปเล็กทะยานราวติดปีก อาการเงียบขรึมของรุณดลให้ต้องสำรวจตัวเองได้กระทำการใดทำลายน้ำใจเขา หรือมาจากถ้อยคำที่ผมทักท้วงเชิงหยอกเย้ามีส่วนกดดันให้เขาเปลี่ยนอิริยาบถกะทันหัน

“เปี๊ยก นายถามเราว่าสงสารครูพรมั้ย….ใช่ไหม?”

“เราเคยถาม” ผมตอบ “ที่ถามเพราะสงสารจากใจจริงน่ะ แกทำ แกกล้าต่อสู้กับอิทธิพลกับความตายเพื่อชาวบ้านส่วนรวม แต่ก็มาแพ้ อำนาจเงิน ของคนกลุ่มเดียวโดยที่เราช่วยอะไรไม่ได้”

“ยังมีทางช่วย” รุณบอกเสีบงดัง หน้าตาขึงขัง “อยู่แต่ว่าเปี๊ยกจะกล้าช่วยงานนี้หรือเปล่าเท่านั้น เพราะถ้าช่วยครูก็ต้องปิดปากคนอย่างน้อย ๒ คน”

“เรายินดีช่วย” ผมไม่รั้งรอ

“จริงหรือ?”

“คนดีจริงๆ ได้ทุกข์เราช่วยทั้งนั้น”

รุณ ตาแดงเอี้ยวตัวยื่นมือขวามาขอสัมผัส ผมตอบสนองด้วยน้ำใสใจจริง ทั้งใคร่เสริมบอกเขาว่าสิ่งที่เขาคิดได้และตัดสินใจกระทำคือกรรมดีถนนสายนี้มิใช่เส้นทางคนชั่วเลวสารพัดอาศัย และเราก็ไม่ได้ชั่วร้ายปานนั้น ครานี้เราทั้งคู่ไม่ได้พาทีกันอีกเลย รุณจ้องตาเขม็งยังเส้นทางสุขุมวิทยาวไกลเบื้องหน้าแทบไม่กะพริบ พักใหญ่เขาชะลอความเร็วรถจนใกล้ทางแยกถนนลูกรัง ซึ่งสมัยนั้นมีบ้านเรือนปลูกเรียงรายอยู่ปากทางประมาณ ๒๐ หลังคาเรือน

“แวะเอาของที่บ้านเราก่อนนะเปี๊ยก เข้าไปข้างในอีดราว ๒๐ กิโล กินข้าวแล้วค่อยล่ามัน”

“รุณรู้หรือว่ามันเอาตัวครูไปขังที่ไหน?”

“มี ๒ แห่ง ถ้าไม่ย้อนไประยองก็ที่นายายอามติดกับพื้นที่ท่าใหม่”

“เราขอเปิดใจถามตรงๆ ได้ไหม?” ผมเน้น

“ดีเลย…ถามมาสิ”

“ช่วยครูโดยไม่ต้องฆ่าปิดปากคนไม่ได้หรือ?”

“ก็เท่ากับเราเปิดตัวเป็นศัตรูกับเสี่ยกิมโดยตรง”

“คนดีกับเสี่ยกิม นายกลัวใคร?” ผมเน้นหนัก

เสือรุณที่ชาวบ้านเรียกขานใช้มือซ้ายตบพวงมาลัยดั่งสนั่น ระเบิดเสียงหัวเราะโต้แรงลมปานคลุ้มคลั่ง ผมไม่ทราบว่าเขาโกรธหรือสะสาใจกับถ้อยคำที่คล้ายสำนวน สิ้นเสียงหัวเราะ คำถามจากปากเขาตามมาทันที

“เปี๊ยก นายจะต้องอยู่กับเราเหมือนเงานะ”

“รุณคงอยากถามว่าเรากลัวตายไหม?”

“ก็คงหยั่งงั้น”

“ถ้าเพื่อนทำสิ่งดีเราช่วย”

รุณหัวเราะอีกคราว มือขวาตบหัวไหล่ผม “นายนิสัยเหมือนชาญ เราเองเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว คอยให้สติเราด้วยก็แล้วกัน”

“เราด้วย” ผมว่า “คนเรามีพลาดกันได้ทุกคน”

นักเลงปืนผิวนิวเหลียวมองผมวูบหนึ่ง “ นายพูดถนอมน้ำใจคนได้สวยเหลือเกิน ชาญคงรักนายตรงนี้กระมัง”

“รุณ นายก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง” ผมชมจากใจ

รุณหังเราะชอบอกชอบใจ แต่ผมไม่สนุกด้วย ทางความคิดอันไพล่ไปถึงสิ่งที่ผมร้องขอไม่ให้เขาฆ่าปิดปากคนเพื่อช่วยเหลือครูสมพรนั้น เขายังไม่ได้ตอบรับว่าจะเอายังไงแน่ เพราะผมเองไม่ชอบให้มีสิ่งกดดันจึงถาม

“เรื่อง ปิดปาก รุณยังไม่ได้ตอบเราเลยนะ”

เขาลั่นคำผาง “เราเชื่อนาย และจะประกาศให้ความคุ้มครองครูด้วย”

ผมขนลุกซู่ แทบไม่เชื่อหูว่าเป็นวาจานักเลงปืนที่ผมไม่ได้คิดศรัทธาเลยเพียงแค่เขารับปากช่วยครูสมพรโดยไม่ฆ่าปิดปากผู้ควบคุมผมก็ปลื้มแล้ว ทว่าเขากลับพลิกความคาดหมาย ประกาศพิทีักษ์ครูผู้ให้วิชาความรู้เขามาตั้งแต่ ป.๑ ยัน ป.๔ ด้วย

“ขอจับมือหน่อยเพื่อน” ผมยื่นมือขอสัมผัสจากเขา

โชเฟอร์ยื่นมือมาสัมผัส ผมรู้สึกอบอุ่นใจกับเพื่อนใหม่ซึ่งจะต้องเคียงบ่าลุยไปข้างหน้าโดยมิรู้ชะตากรรมเป็นหนแรก

จิ๊ปเล็กของเราวิ่งตะลุยฝุ่นบนถนนลูกรังขรุขระกลางตะวันลอยดวงใกล้ตรงหัวเข้าทุกขณะ สองข้างทางที่รถผ่านส่วนใหญ่ปลูกมันสำปะหลังสลับยางพารา มีบ้างเป็นไร่พริกไทยและพื้นนากว้างยาวสุดสายตา วันใดหนอชีวิตโทรมๆ เดนคุกเดนตะรางอย่างเราจะได้อยู่เป็นที่ มีชีวิตสงบสุขอย่างเกษตรกรเบื้องหน้าบ้าง ทุกวันนี้มิใช่นาวาก็คล้ายนาวา สุดแต่กระแสธารชีวิตเซี่ยวกรากจะพัดพาไป มีหางเสือก็ดั่งไม่มี เพราะไม่อาจเลือกเส้นทางดำเนินได้ดังหวัง ติดแล้วก็แค้นเข้าข้างตนที่ถูกผลักไสมายังเส้นทางที่ไม่ได้เลือก

ตกถึงวันนี้ในความคิดเห็นของผู้มีอาชีพขายอักษรปัจจุนบันไม่อาจผ่านเรื่องนี้ได้ง่ายดาย เนื่องด้วยคนหนุ่มวัยนี้มีประสิทธิภาพทางความคิดรุนแรง เฉพาะอย่างยิ่งผูิที่เคยผ่านคุกตะรางมา กลุ่มนี้คือปัญหาสำคัญ ถ้ายังทอดทิ้งเพิกเฉยดังยุกสมัยที่ผู้เขียนบันทึกอยู่ขณะนี้ ย่อมนับเป็นกรรมของประเทศ!!

สุริยัน ศักดิ์ไธสง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: