3800. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 3 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 3

ผมสลับตำแหน่งับรุณ ตาแดงเข้าไปนั่งทำหน้าที่สิงห์มอเตอร์ไซค์ให้เขานั่งซ้อนท้าย ขณะนี้เหงื่อแตกพลั่กกับสถานะคับขันเบื้องหน้า แต่รุณเริ่มเคลื่อนไหว

“กูบอกให้เอามือวางบนหัวทั้ง ๒ คน…หูแตกรึ!”

จ่าวัย ๔๐ ปีสำทับซ้ำ ปืนในมืออยู่ในท่าประทับ รุณขยับร่าง ผมเหลียวมองเห็นเขาชูมือขวาที่กำวัตถุดำมะเมื่อมโชว์ ๓ ตำรวจทางหลวง ปากบอก

“ตอนนี้นิ้วผมกดกระเดื่องระเบิดเอ็ม-๒๖ อยู่ ถ้าจ่าเหนี่ยวไกปืนเมื่อไหร่ผมโยนใส่ทันที”

๓ ตำรวจทางหลวงเหลือบตามองหน้ากัน ครู่เดียวจ่าวัย ๔๐ ปี หุ่นกำยำก้าวล้ำหน้า ๒ หัวหมู่ออกมาอีก ๒ ก้าว พลางยืนจังก้าจ้องข้ามไหล่ผม คล้ายต้องการยลโฉมหน้าผู้พูดจนตาหยี ผมใจเต้นรัว

“มึงเอง ไอ้รุณ” อุทานเสียงดัง

อีก ๒ หัวหมู่ก้าวมายืนขนาบซ้าย-ขวาจ่าทั้ง ๔ ดวงตาจ้องเขม็งยังผู้ที่นั่งซ้อนท้าย อากัปกิริยาผู้รักษากฏหมายดังกล่าวช่วยให้ผมรู้จัก “เพื่อนใหม่” รุณเอ่ยประโยคต่อมาเสียงดังพอกัน

“ผมทำผิดอะไร”

จ่าวัยฉกรรจ์เบิกตาวาว โต้กลับทันควัน “แล้วเมื่อกี้หมาที่ไหนมันฝ่าด่าน”

รุณสงบปาก ปล่อยให้ความเงียบกับความมืดวัดใจฝ่ายตรงข้าม อึดใจจ่าลดปืนจากท่าประทับ ยืดร่างยืนตรงสอดปืนพกเข้าซอง ๒ หัวหมู่ร่วมทีมปฏิบัติตาม จ่าหัวหน้าทีมเทลมหายใจแรงพลางชี้มาที่เรา หล่นคำหนักแน่น

“สักวันหนึ่ง กรรม ที่มึงก่อจะสนองมึงไม่ช้าก็เร็ว”

รถวิทยุตำรวจทางหลวงเลี้ยวกลับยังเส้นทางเดิมจนเห็นไฟท้ายรถวูบวับลิบๆ สถานที่เรานั่งคร่อมอานมอเตอร์ไซค์มืดสนิท สายลมดึกเย็นจัดกรรโชกกรูเกรียว ผมกัดฟันข่มความหิวระคนหนาว ออกปากขอความเห็นเพื่อนใหม่เป็นครั้งแรก

“นายจะไปไหนต่อ?”

เจ้าของผิวนิลพลิกข้อมือซ้ายขึ้น ตาจ้องยังหน้าปัดนาฬิกา

“เกือบ ๒ ยามแล้ว ไปปากน้ำประแสดีกว่า นายขับเข้าไปประมาณ ๗-๘ กิโล จะมีถนนแยกฝั่งขวาก็เลี้ยวเข้าไปเลย”

ผมบิดกุญแจเปิดสวิตช์ไฟรถ มือขวาจับก้านเหล็กคันสตาร์ตง้างออกกระทืบอย่างแรง เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ระเบ็งเสียงลั่นรัตติกาล ต่อมาก็ขยับเท้าซ้ายตบลงเกียร์ ๑ พร้อมเคลื่อนรถจากไหล่ถนนเข้าเส้นทางสุขุมวิทมุ่งสู่ปากน้ำประแสในบัดนั้น

ผมทำหน้าที่นักบิดพารถฝ่าความมืดบวกความหนาวเย็นไปได้พักหนึ่งไฟหน้ารถก็ส่องให้เห็นทางแยกเชื่อมจากสุขุมวิทไม่ไกลนัก รุณใช้มือขวาตบท่อนขาผมเบาๆ บอกใกล้หูเสียงดังโต้แรงลม

“เลี้ยวขวาเข้าทางแยกนั่นเลยนะ”

ผมเปิดสัญญาไฟเลี้ยวแทนตอบรับ จากนั้นจึงหักแฮนด์รถพุ่งข้ามเลนเข้าปากทางถนนตัดใหม่ซึ่งเพิ่งรู้ว่าเป็นเส้นทางไปประแส ขณะรถทะยานลิ่วด้วยความเร็ว ๘๐ รุณบอกใกล้หู

“เกือบถึงแล้ว บ้านที่ติดไฟนีออนฝั่งซ้ายนั่นแหละ”

คราวนี้ผมผงกหัวรับทราบ รุณกล่าวอีกประโยค

“นายคงหิว ท้องลั่นโครกครากตลอดทาง”

“หิวครับ” ผมสารภาพ

“เราก็หิว เดี๋ยวคงหายทรมาน”

รถวิ่งเข้าใกล้แสงไฟนีออนเป้าหมายที่เขาบอกกลางเสียงเครื่องขยายกำลังโชว์เพลงลูกทุ่งดังก้องหู ผมชะลอความเร็วรถลง ตาวาดมองยานพาหนะนานาตั้งแต่จักรยาน ๒ ล้อถีบ มอเตอร์ไซค์ รถปิกอัพ และเก๋งยี่ห้อต่างๆ จอดเรียงรายยังสองฝั่งถนนยาวเหยียด

“จอดรถไว้ข้างปิกอัพสีแดงนั่นก็ได้” รุณแนะ

พอวิ่งรถเข้าใกล้แสงไฟสว่างจ้า ผมหยุดจอดรถใกล้มาสด้าปิกอัพสีแดงที่รุณบอก มิทันตั้งขาตั้งรถบรรดาชายฉกรรจ์ที่เตร่อยู่หน้าบ้านกลุ่มหนึ่งปราดเข้ามาทักทายไอ้หนุ่มผิวนิลอย่างสนิทสนมก่อนเชื้อเชิญเข้าบ้านงานอันเป็นบ้านทรงไทย ๓ หลังติด

รุณตาแดง ยิ้มขรึมแทนพูดคุยกับทุกคนก่อนนำผ่านประตูเหล็กดัดสีขาวเข้าสู่บ้านงานซึ่งขณะนั้นแขกเหรื่อชายหญิงไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ คน ส่วนใหญ่นั่งประจำโต๊ะเก้าอี้ดื่มกินเป็นที่ครื้นเครง ทว่าพอหนุ่มผิวนิลหรือรุณ แดงตาปรากฏโฉม ผมสังเกตพบผู้คนหลายโต๊ะหยุดการสนทนาจับตามาทางเราสองคนเขม็ง และมีอยู่หลายโต๊ะเช่นกันที่ลุกขึ้นจับมือทักทายรุณทีท่าชื่นชม ระหว่างที่รุณหยุดทักทายมิตรสหายนับสิบ ได้มีชายฉกรรจ์ผิวคล้ำร่างสูงใหญ่ผมหยิกฟูไว้หนวดเตอะในชุดกางเกงขายาวสีกากี เสื้อฮาวายลายแดง-ขาวปรี่เข้ามาหา รุณรีบยกมือกระทำคารวะผู้สูงวัยกว่าพลางผินหน้ามาทางผม กล่าวแนะนำไม่ดังนัก

“เปี๊ยก…รู้จักกำนันเลี้ยงเสียสิ นี่แหละเจ้าของงาน”

ผมยกมือกระทำคารวะดุจเดียวกับเขา เจ้าบ้านยิ้มกว้าง รุณเสริมต่อ

“เปี๊ยกเป็นเพื่อนผม มาจากกรุงเทพฯ ผมขอฝากฝังไว้ด้วยครับ”

“เฮ้ย…ไม่เป็นไรหรอก” ผู้นำระดับตำบลสนองตอบ “ไป นายรุณเข้าไปข้างในดีกว่า จะได้หาเหล้าหาข้าวกิน”

จบคำเจ้าบ้านหันกลับเดินนำเราผ่านโต๊ะแขกเหรื่อบริเวณใต้ถุนบ้านทรงไทยไปออกทางด้านหลังบ้านซึ่งเป็นลานดินกว้างพอกับสนามบาสฯ ก็ตั้งโต๊ะเก้าอี้กับสรรพสุราอาหารเต็มไปหมด บรรดาแขกส่วนใหญ่พอเห็นกำนันเจ้าบ้านกับรุณ ตาแดงต่างเรียกขานและยกแก้วสุราชูขึ้นเชิงเชื้อเชิญให้ลิ้มหนุ่มผิวนิลเพื่อนใหม่ของผมได้แต่โบกมือให้กับผู้คนทุกโต๊ะราวนักการเมืองขวัญใจประชาชน มีคนรักย่อมต้องมีคนชัง?

ทั้งนี้ จากการสังเกตอิริยาบถของแขกตามโต๊ะทั่วไป ปรากฏสายตาของหนุ่มฉกรรจ์ ๕-๖ คนจ้องมาที่เราบอกอาการไม่พอใจชัดเจน กำนันเลี้ยงเจ้าบ้านสั่งบริวารเด็กรุ่นจัดเตรียมตั้งโต๊ะเก้าอี้รับรองพลางก้าวนำไปขึ้นบันไดเรือนทรงไทยทางด้านหลัง เมื่อก้าวขึ้นชานเรือนอันเปิดไฟไว้สว่างรางเลือน จมูกผมเริ่มสัมผัสกลิ่นฝิ่นลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งบนเรือนหลังนี้ รุณกล่าวลอยๆ

“มีคนสูบอยู่”

กำนันหนวดหินบอกสุ้มเสียงเป็นกันเอง “เพื่อนเก่าเขามาเยี่ยม…นายรุณคงจำเสืออบได้”

นาม เสืออบ สะดุดหูผมในบัดนั้น จึงเงี่ยหูฟังคำตอบเพื่อนหนุ่มผิวนิลซึ่งทอดตาไปยังห้องด้านซ้ายมือ ปากบอกเสียงเบาแผ่ว

“จำได้”

เจ้าบ้านยิ้มจนแก้มย่นก่อนเดินอาดๆ ไปเคาะประตูห้องที่รุณจับตามองอยู่ เราสองคนเดินตามไป เจ้าบ้านเคาะประตูห้องเบาๆ ๒ ครั้ง ครู่เดียวประตูห้องถูกแง้ม นัยน์ตาดำคมกริบคู่หนึ่งจับแน่วยังเรา ๓ คน เจ้าบ้านหนวดหินกล่าวชัดเจน

“มีสมาชิกมาฝาก ๒ คน…บริการหน่อยโว้ย”

อบ หรือตี๋ ขยันกิจ ฉายาขุนโจร สี่คิงส์ คล้ายเจอมนต์นะจังงัง ต่อการที่ได้พบรุณและผมกะทันหัน ผมยิ้มให้เพื่อน อบโดดคว้ามือรุณกับผมลากเข้าห้องด้วยท่าทีตื่นเต้น ปากพ่นคำอู้อี้จากเดช แม่ทองคำ หรือฝิ่น

“เพื่อนเอ๋ย นึกว่าตายจากกันไปแล้ว…”

โชคชะตาหรือเพราะโลกกลมอย่างไรมิอาจคาดหมาย แต่การที่ได้พบ เพื่อนเก่า ผู้เคยร่วมขบวนการค้าแร่เถื่อนของเถื่อนด้านตาพระยาในอดีตถือเป็นเรื่องดี ดังนั้น บนเตียงไม้สักขนาดใหญ่ในห้องจึงเป็นสถานให้เรา ๔ คนนอนตีฝิ่นเสพพร้อมพาทีกันจนลืมความหิว

เวลาล่วงไป น้ำชากาแล้วกาเล่าที่บริเวณเจ้าบ้านนำเสริร์ฟหมดไป เสียงเพลงลูกทุ่งจากลำโพงเงียบหายไปเมื่อไหร่ผมไม่ได้สังเกต พิษส่ง แม่ทองดำ รวม ๕ บ้องทำเอานอนเคลิ้มอยู่กลางม่านควันสีเทาเงียบกริบ ช่วงนี้เองที่ผมมีเวลาย้อนมองตัวเองพร้อมกับตั้งคำถามขึ้น เราชั่วร้ายจริงหรือ?

“เปี๊ยก มึงควรออกไปจากท้องที่นี้ในคืนนี้ อย่าเข้ามาอีก ผู้ใหญ่ เขาไม่ชอบมึง!”

นั่นคือประกาศิตของสก๊อต สน.นางเลิ้ง หลังจากค้นตัวผมแล้วไม่พบของผิดกฏหมายนอกจาก ใบบริสุทธิ์ กระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ทางเรือนจำกลางบางขวางให้ไว้แสดงตัวยามคับขันพร้อมประจานตนเองกับฝ่ายกฏหมาย

“ผมเพิ่งพ้นโทษได้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงนะครับ”

“กูเห็นแล้ว ก็เพราะใบห่านี่แหละที่กูไม่จับมึงขณะนี้…ไปซะ แผ่นดินไทยไม่ได้มีแต่กรุงเทพฯ”

นี่เองที่เป็นเหตุให้ผมระเห็จออกจากเมืองหลวงเข้าสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง

ตี ๒ เศษ อบ รุณ กับผม ถูกเจ้าบ้านหนวดหินเรียกให้ลุกขึ้นกินข้าวต้มปลากะพงที่แม่ครัวจัดทำพิเศษให้ ถึงตอนนี้พบว่ารุณเริ่มให้ความสนใจผมเพิ่มขึ้น แม้พริกน้ำส้มน้ำปลาก็ช่วยยกมาตั้งเบื้องหน้าพลางยิ้มฟันขาว ลิ้มรสข้าวต้มปลากะพงรอบมิดไนต์กลางเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วบอกเวลาใกล้รุ่งจนอิ่มแปล้ก็ขอตัวผู้ร่วมโต๊ะไปยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงอันสามารถมองเห็นสภาพลานบ้านบัดนี้ร้างผู้คนแล้ว โต๊ะ เอ้าอี้ ถ้วยจานใส่สรรพอาหารรวมทั้งขวดสุราโซดาเปล่าตั้งวางระเกะระกะ งานเลี้ยงเลิกราแล้ว แต่กับผมมันคล้ายเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อพ้นจากชายคาบ้านหลังนี้ไปแล้ว การเป็น หุ้นส่วน กับรุณ ตาแดงของผมะเป็นอย่างไร ทุกสิ่งยังกำหนดไม่ได้ พักหนึ่งผมแว่วเสียงเดินเบาๆ จึงหันกลับไปก็พบหัวหน้าแก๊ง สี่คิงห์ เดินยิ้มหรามาหา ผมยิ้มตอบ เพื่อนเดินมาจับแขนปากบอกเบากริบ

“เรามารับงานจากกำนัน ตอนตี ๔ พรรคพวกจะเอารถมารับ…เสียดายที่ไม่ได้ร่วมงานกันอีก เออ…เปี๊ยกรู้จักกับไอ้รุณมานานแล้วหรือ?” สุ้มเสียงแผ่วลงอีก

“รู้จักกันคืนนี้เอง ชาญ ระยองแนะนำมา”

“ไอ้รุณมันบ้าๆ บวมๆ มีโจทก์ทั้งตำรวจทั้งชาวบ้าน นายเที่ยวกับมันก็ช่วยดึงๆ มันไว้บ้าง”

ผมได้แต่ยิ้ม เพราะไม่ค่อยแน่ใจไอ้หนุ่มผิวนิลผู้ก่อเหตุ วัดใจ กับตำรวจทางหลวงที่ผ่านมาจะยอมให้ผมเหนี่ยวรั้งความตั้งใจของเขาได้ อบกล่าวเสริมเสียงดังขึ้น

“ไอ้รุณมันเข้าไปจับจองที่ดินพื้นที่เขาชะเมาไว้หลายหมื่นไร่ กำลังเนื้อหอม อย่าประมาทเด็ดขาด”

“เราจะระวังตัวตลอดเวลา” ผมว่า

“ถ้าหยั่งงั้นเราขอตัวนะ”

“โชคดีเพื่อน” ผมอวยชัย

“นายก็เช่นกัน”

หัวหน้าแก๊ง สี่คิงห์ สัมผัสมือล่ำลากับผมก่อนผละไปหากำนันเลี้ยงซึ่งนั่งคุยกับรุณอยู่ที่โต๊ะอาหารและร่วมพาทีอีกครู่หนึ่งก็พากันลงจากเรือนไปผมดีดก้มบุหรี่ทิ้ง ยืนสูดลมหายใจหนักๆ

อากาศใกล้รุ่งเย็นจัดต้องซุกมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงห่อตัวลง ลมทะเลพัดหอบเอากลิ่นคาวทะเลซึ่งผมร้างไปนานคลุ้มจมูก สีฟ้าดำทะมึนเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม ไก่บ้านละแวกใกล้เคียงโก่งคอขันขานรับเป็นทอดๆ ฟ้าใกล้รุ่งวันใหม่อีกไม่นาน แต่ผมมิอาจรู้ที่ใดแน่คือที่ซุกหัวนอนในวันต่อๆ ไป ชีวิตนักเผชิญโชคก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีจุดหมายพลัดเสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่มรับอรุณ ตามด้วยเสียงตะโกนเรียกหากันโหวกโวยที่หน้าบ้านและใต้ถุน ผมหันกลับไปที่รุณ ปะเขาลุกพรวดขึ้นยืน ต่อมาปรากฏเสียงฝีเท้าคนวิ่งขึ้นบันได รุณปราดไปที่ประตู ผมพุ่งตามร่างสูงใหญ่ของกำนันเลี้ยงโผล่ขึ้นมา สีหน้าเครียด

“เกิดอะไรหรือกำนัน?” รุณถามเสียงดัง

กำนันหนวดหินบดกรามกรอด ตาวาว บอกเสียงขุ่น “พวกไอ้เสาร์พาตำรวจบุกค้นหาตัวครูพาที่บ้านแพ พอดีไอ้ธมรู้แกวพาหนีทัน ไม่หยั่งงั้นฉิบหายแน่”

“ตอนนี้ครูพรอยู่ไหน?”

“ไอ้ธมมันพาตัวมาที่นี่ด้วย” เจ้าบ้านหนวดหินต่อคำทันควัน “ต้องอุดปากมัดมือตีนไว้ในรถ…รุณ เรื่องนี้เราขอให้นายจัดการพาตัวไปขังไว้ที่ไหนสักแห่งก่อน เรื่องค่าหัวเราจะคุยกับเสี่ยกิมตอนสายวันนี้”

“ผมจะเข้าไปดูที่ กำนันก็รู้” รุณเลี่ยง

ร่างสูงใหญ่ของชายวัย ๔๐ ปี สงบนิ่ง ริมฝีปากหนาเม้นสนิทก่อนหลุดคำสุ้มเสียงกังวล

“เราไม่ไว้ใจไอ้ธมเท่าไหร่นัก ขืนให้มันควบคุมไว้ มันอาจฆ่าทิ้งเมื่อจนจวนตัว”

“ผมก็ว่าสมควรฆ่า”

“มันยังไม่ถึงเวลา เรื่องอาจจบโดยไม่ต้องฆ่าแกนะ…เอาแบบนี้ได้ไหมคือเราจะจ่าย ค่าหัว ครูพรแทนเสี่ยกิมก่อน ๕ หมื่น ถ้านายรับเป็นคนควบคุมครูพรตลอดเวลา ๓ เดือน”

“ถ้าผมรับช่วยก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่เงิน”

“เฮ้ย…บ้า อย่าคิดมากสิ เราเองก็ได้ประโยชน์ด้วย ตกลงนะ”

“ผมขอคุยกับเพื่อนก่อนได้ไหม ถ้าตกลงผมจะลงไปเอง”

กำนันหนวดหินเหวี่ยงสายตามาที่ผมพร้อมกับยิ้มกว้าง “ช่วยกันหน่อยนะครับ”

ผมได้แต่ยิ้มตอบเพราะไม่อาจเดาเรื่องราวที่เกิดจากการพูดจาของทั่งคู่ได้ทะลุ ร่างสูงใหญ่เดินลงบันไดหายเข้าไปยังใต้ถุนเรือน รุณเหลือบตามองผม

“เปี๊ยก เรื่องนี้นายต้องเป็นหุ้นส่วนด้วยแล้ว ส่วนเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไรไว้คุยกันวันหลัง ตกลงนะ”

“สุดแต่นาย”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: