3797. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 56 ความผิดใคร (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 56 ความผิดใคร (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยพร้อมพลีชีพอย่างองอาจของนักเลงทุ่งบางเขนนับพันชายเพื่อแสวงหาความชอธรรมจากเผด็จการ เริ่มปรากฏเค้าเมื่อผู้อาวุโส ยอดประน้ำ ให้เด็กของแกมาตามผมไปพบที่ทำเนียบหรือกองบัญชาการใหม่อันแต่เดิมเป็นที่ทำการแผนกปกครองอบรบและฝึกวิชาชีพบุคคลอันธพาลนั่นเอง พอลุยม่านราตรีผ่านนักบู๊ที่พากันชุมนุมอยู่โดยรอบตึกที่ทำการขึ้นสู่กองบัญชาการ ปะผู้อาวุโสและเพื่อนพ้องนั่งยืนกระจัดกระจายตามโต๊ะเก้าอี้ราว ๓๐ กว่าคน ก็ออกปากขออภัยแล้วค่อยปราดไปหาพี่ยอดซึ่งทิ้งก้นอยู่บนโต๊ะ

“พี่มีงานใช้ผมหรือครับ”

เจ้าของหุ่นเล็กเพรียววัยฉกรรจ์ผินหน้าไปทาง ๔ ทนายลูกทุ่งผู้ทำหน้าที่ปลุกระดม พลางบอกพร้อมกระโดดลงจากโต๊ะ

“เข้าไปคุยกันข้าลในดีกว่า”

เรา ๕ คนได้แก่ ลุงเหลา ยูรอินทรี เทพศรีหงษ์ สมคิดหอมนาน และผม จึงตามหลังซือเฮียไปร่วมกับพระเอกนิตย์ เกชาเกเตอร์, หาญบางรัก, นิตย์บางลำพู, เฮียจีน, โอเล่และเต็งโก้ ฯลฯ ประมาณ ๒๐ นาย ยังห้องประชุมขนาดมินิ ถกกันถึงหน้าที่ที่เรา ๕ คนจะไปเจรจากับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลโดยให้คำนึงถึงประโยชน์พวกเราเป็นสำคัญ

ตกถึง-หากมีข้อเรียกร้องจากทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้พวกเราปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ที่เราควบคุมไว้กับคนงานก่อสร้างชายหญิงราว ๕๐ คน ได้เกิดปัญหาแตกความคิดกันพอสมควร ฝ่ายแรกอันได้แก่ นักบู๊รุ่นหนุ่มเสนอให้ปล่อยตัวเฉพาะเจ้าหน้าที่ส่วนคนงานก่อสร้างจะปล่อยทันทีเมื่อท่านจอมพลพบกับพวกเราแล้วรับปากพิจารณาการปลดปล่อยพวกเราแน่นอน ส่วนอีกความเห็นหนึ่งที่แตกออกไปส่วนใหญ่ระดับเจ้าสำนักล้วนอ้างถึงผลกระทบประสาผู้เจนโลกกว่าว่า เราจะเสียคะแนนเมตตาสงสารจากประชาชน และสื่อมวลชน

ดังนั้นเวลามีค่าจึงจำสละให้กับเหตุและผลที่ประดังใส่กันเพื่อหาข้อยุติราวครึ่งชั่วโมงมติที่ประชุมก็สรุปให้ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ทันทีที่ตัวแทนรัฐบาลรับคำร้องของพวกเรา สำหรับคนงานก่อสร้างจะปล่อยตัวทุกคนเช่นกัน ถ้ารัฐบาลอนุญาตให้เรา ๕ คนได้พบกับนักข่าวและช่างภาพหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย ๓ ฉบับ และภาษาอังกฤษ ๑ ฉบับ ทั้งจะยุติการสำแดงพลังเมื่อได้พบผู้นำดังกล่าว

๓ ทุ่มแล้ว อากาศรอบตัวเย็นลง สภาพทั่วไปครึ้มสลัว ยินเสียงผู้คนเอะอะระงมหู ลุงเหลา, ยูร, เทพ, สมคิด และผมพร้อมร่างคำร้องที่จัดเตรียมไว้พากันลงจากทำเนียบกลางเสียงไชโยโห่ฮาของนักบู๊รอบๆ ทำเนียบเสริมขวัญเอาปลื้มพร้อมหมายเดินเกมนี้เต็มที่ ถึงประตู ๓ ปราการแรกใต้แสงสปอตไลต์สว่างจ้าพบตำรวจในเครื่องแบบ ๖ นาย ติดอาวุธปืนกับสุนัขสงคราม ๑ ตัว แยกเขี้ยวฟันขาวเห่าเสียงขรม หนึ่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ประตู ๓ ตะโกนถาม

“ตัวแทนผู้รับการอบรมใช่ไหม”

นักบู๊นับสิบที่ตามมาส่งตอบแทน “ใช่ครับ”
เจ้าหน้าที่นายเดิมโวยอีกประโยค “พวกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกรุณาถอยออกไปก่อน”

ถึงวาระนี้ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งโดยดี จากนั้นบานประตูเหล็กบานเล็กของประตู ๓ ถูกเปิดให้ลุงเหลานำทีมผ่านประตู ๓ เข้าประตู ๒ อันพื้นที่กว้างเคยรกร้างขณะผมมาเยือนแลสะอาดตาขึ้น สระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งนักบู๊ลงมือขุดได้ลึกประมาณเมตรครึ่งเพื่อเอาดินไปทำคันถนนจนกองดินซึ่งยังมิได้ถูกขนย้ายถูกแดดลมเผามานาน บัดนี้ บนคันดินยาวเหยียดมีคอมมานโดในชุดดำรัดกุมกระชับปืนกลมือประมาณ ๕๐ นาย ยืนจังก้ามองพวกเราด้วยอากัปกิริยาไม่ชัดเจนนัก จวบถึงหน้าประตู ๒ กลางเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายนับแต่ราชทัณฑ์ ตำรวจและสารวัตรทหารอากาศติดแขนแดงพรืดยืนคุมเชิงอยู่ ได้เปิดประตูเหล็กบานเล็กให้พวกเราผ่านออกไปโดยมีเสียงด่าห้าวๆ ตามหลัง

“ไอ้พวกหาเหาใส่หัวหรือนี่”

ผมเจ็บแปลบโดยสำนึกคน แต่ภาวะเช่นนี้สิ่งที่ทำได้คือกล้ำกลืนไว้ แล้วเชิดหน้าไม่พรั่นไหวน้ำคำทาสโง่ที่ลืมแม้ชาติพันธุ์ว่าเราใครและมันใคร…หรือมิใช่ “ไทย” แล้ว

จวบเจ้าหน้าที่นำเราไปถึงประตู ๓ ก็มีนายตำรวจยศพันโท วัย ๔๐ ปีเศษทรงอ้วนกลมปราดมาบอกเสียงดัง

“พาขึ้นไปรอที่ห้องประชุมชั้น ๒ เลย ผมจะออกไปเรียนเชิญผู้ใหญ่ท่าน”

“ครับผม” ผู้น้อยรับคำ

และแล้ว ภายในห้องประชุมบนตึกทำการท่านผู้ปกครองอันสว่างโร่ก็เป็นที่นั่งรอพบท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์กับท่านรองอธิบดีกรมตำรวจพร้อมคณะ โดยมีกลุ่มคอมมานโดเตร่บริเวณทางเข้าพร้อมปืนกลมือครบ ผมนั่งชมพระบรมฉายาลักษณ์องค์พระประมุขเหนือแท่นประธานทั้ง ๒ พระองค์นิ่งนาน ครู่ใหญ่ เสียงเตะตีนหุ้มคอมแบตในท่ากระทำชิดเท้าตรงดังพรึ่บพรั่บ ผมเฉียงตามองเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งทยอยเข้าห้องประชุมรวม ๗ ท่านจึงลุกขึ้นยืนตรงจวบทุกท่านนั่งประจำที่เรียบร้อย พักเดียวชายผิวคล้ำ พุงหลาม ในชุดสูทถามไม่เจาะจง

“พวกเราต้องการอะไรหรือ”

นับแต่นั้น ความในอกพวกเราถูกเผยให้ผู้ใหญ่ระดับกรมทราบถึงเป้าหมายเพื่อเสนอผู้ใหญ่ระดับบริหารเป็นฉากๆ ใครคิดอะไรได้ก็หาจังหวะเสริมลงให้สอดประสานซึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเราก็ตกลงได้ในปัญหาแรกคือ การเสนอคำร้องของพวกเราไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักพระราชวัง สำนักเลขาธการนายกรัฐมนตรี และโดยตรงถึงท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

ด้านฝ่ายเราต้องปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ตำรวจที่เราควบคุมไว้ภายใน ๑ ชั่วโมง หลังจากที่พวกเรากลับเข้าไป สำหรับคนงานก่อสร้างเกือบ ๕๐ คนที่เราเสนอแลกเปลี่ยนพบสื่อมวลชนเพื่อเผยความจริงเกิดมีปัญหาที่ตัวแทนรัฐบาลไม่กล้าตัดสินดำเนินการจึงตกลงกันได้ประเด็นแรกเท่านั้น และก่อนจากทุกท่านยังย้ำมิให้เราข่มขู่ทำร้ายหรือทรมานคนงานทุกกรณี เฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาว ๑๘ นางนั่น หากมีอันใดเสื่อมเสียแก่พวกเธอเราจะกลายเป็น “มหาโจร” จึงขอให้ระวังจงหนัก ทรัพย์สินของทางราชการเช่นกัน ถ้าพวกเราอยากประสบความสำเร็ว อย่าได้ทำลายเด็ดขาด พวกเรากราบขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ระดับกรมทุกท่านที่เมตตาสั่งสอนนอบน้อม แต่พอเรา ๕ คนถูกนำตัวออกพ้นห้องประชุม ช่างภาพหนุ่ม ๓ นาย โผล่มากดชัตเตอร์วูบวับจนตาลายก็โผนไปคว้าจับข้อแขนช่างภาพที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดไว้ ถามทันควัน

“คุณอยู่หนังสือพิมพ์ไหน”

ช่างภาพหนุ่มตะลึงอึกอัก อีก ๒ นายฉากหนีไปยืนตรงบันได ผมพลิกหน้าไปหาผู้ใหญ่ที่เดินตามมาซึ่งหยุดยืนอยู่ห่างเรา ๕ เมตร บอกระคนแค้น

“ท่านไม่ซื่อกับพวกกระผม”

พัยตำรวจโททรงอ้วนกลมนายเดิมขยับมายืนขวางหน้าไว้ ผมมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลังเลยถูกช่างภาพหนุ่มสะบัดหลุดก็พานฉุนจวกเอากับพวกท่านตรงๆ

“กระผมไม่เชื่อหรอกว่าท่านอนุญาตให้ช่างภาพหนังสือพิมพ์จริงๆ เข้ามาถ่ายรูปพวกกระผม”

นายพันโทเจ้าเก่าแหยม “อะไรกัน…ค่อยพูดค่อยจากับผู้ใหญ่ท่านหน่อยไอ้น้อง”

ยามนั้ผมถึงกับยกมือท่วมหัววอนพระ หากบังเอิญบุญุตัวเองพอมีให้เป็นสุจริตชน และพบความก้าวหน้าในชีวิตก็ขออย่าได้ปะมิตรเยี่ยงนี้เลย ต่อมาจึงเรียนบอกผู้ใหญ่ท่านนอบน้อมดุจเดิม

“พวกกระผมยังไม่ต้องการเป็นข่าวตอนนี้ ไหนๆ ท่านกับพวกกระผมก็ตกลงกันได้แล้ว กรุณาสั่งช่างภาพทำลายฟิล์มด้วยครับผม”

“พวกคุณคิดมากกันใหญ่แล้ว” ผู้พันสอดอีก

พลันสันดานอันพยายามหลอมด้วยเนื้อเหล็กคุณธรรม ไม่อาจปิดกั้นพฤติกรรมนายตำรวจเบื้องหน้า ระเบิดอารมณ์ทางวาจาเรียนให้ทราบว่าคนในกำแพงทุ่งบางเขนไม่ได้ “งั่ง” ไปทุกนาย หากท่านบริสุทธิ์ใจจริงการทำลายฟิล์ม ๓ ม้วนกับปัญหาที่จะมีก็อยู่ที่ท่านตัดสินใจเท่านั้น คงอิดออดกันเสียหน้าอีกนิดหน่อย ผู้พันท่านจึงสั่งให้ช่างภาพทำลายฟิล์ม ๓ ม้วนทิ้ง พร้อมสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาคุมตัวพวกเราส่งเข้าแดนในเวลาลาต่อมา

๕ ทุ่มตรง จันทร์นวลอร่าม ดาวพร่างฟ้าสีครามหม่น ลมหนาวโชยพลิ้วเย็นเยียบ พอแถลงเรื่องไปเจรจาความกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลกับที่ประชุมเรียบร้อยด้วยความเป็นห่วงตัวประกันคนงานก่อสร้างชาย-หญิง จึงวิ่งเหยาะๆ ผ่านบรรดากระโจนนักบู๊อันใช้ผ้าห่มผูกติดกันขึงคร่อมสนามหญ้า ป้องกันน้ำค้างและลมหนาวซุกหัวนอนรายล้อมทำเนียบไว้เกลื่อนสนาม ณ ตึกก่อสร้างสถานที่ควบคุมตัวคนงานเฉียดครึ่งร้อยสงบเงียบ หลุดร่างพ้นหลังคาฟ้าเข้าใต้ถุนตึก เสียงเสือเผ่นถามมาจากบันไดตึก

“ใครวะ”

“เราเปี๊ยกนะเพื่อน เหตุการณ์ปกติไหมล่ะ” ผมบอกพลางก้าวไปหา

ที่บันไดตึกขั้นที่ ๓ แอ๊ด เสือเผ่น นั่งชันเข่าพาดไผ่ตันลำขนาดข้อแขนไว้กับท่อนขา ส่ายหัวดิก แจงทีท่าระอา หน้าปั้นยาก

“ตั้งแต่เปี๊ยกไป ไอ้แอ๊ดขึ้นไปนอนเฝ้า ‘เด็ก’ ของมันตลอดเวลา”

“ทำไมล่ะ”

“มีไอ้บ้าโขยงหนึ่ง มันจะขึ้นไปนอนกับผู้หญิงเพราะเห็นไม่มีตำรวจกะผู้คุมพวกเราขอร้องกับชี้แจงไป ๒ กลุ่มแล้ว ผู้หญิงเลยผวาต้องคุ้มกันลงมาใช้ห้องน้ำเมื่อครู่ยังมีเตร่มาอีก ๔-๕ คน บ่นพึมพำว่าทำไมไอ้แอ๊ดขึ้นไปอยู่บนตึกได้ เราเลยปวดกะโหลก”

“แล้วนายขึ้นไปพูดเรื่องนี้กะแอ๊ดหรือยัง”

“พูดเกิน ๓ ครั้งแล้ว ขอให้ลงมาอยู่กับพวกเรา มันบอกไม่ปลอดภัย คนจะบ้าจริงๆ มันปีนตึกขึ้นมาได้”

“หยั่งงั้น เราลองขึ้นไปพูดดู” ผมว่า

ทว่าปรากฏคำคัดค้านทันใด “เราลงมาแล้ว”

คราวนี้ผมช้อนตาขึ้นมองร่างกำยำเหนือบันไดด้านหลังแอ๊ด เสือเผ่น ก็ปะกับแอ๊ด ยังส์วัน นักรักยิ้มเผล่จนเห็นเขื่อนหน้าทั้งแผง จึงเจรจาขอให้เขาห่างแฟนสาวสัก ๔-๕ ชั่วโมง เพื่อระงับตัณหามนุษย์ บังเอิญมนุษย์ประเสริฐที่รู้จักคิด แอ๊ด ยังส์วัน ‘เจ๋ง’ หรือ ‘แจ๋ว’ ดื้อรั้นมุทะลุดุดันอย่างไรก็มีความคิด เขาเข้าใจถึงผลร้ายที่จะเกิดแก่ส่วนรวม และเป้าหมายที่เรากำลังชนอยู่ จึงรับปากด้วยดี

พักใหญ่ รุ่งกับนัน พร้อมนักบู๊อีก ๕-๖ นาย ได้หิ้วถังคูลเลอร์บรรจุข้าวแกงมื้อเย็น ซึ่งได้รับจัดสรรส่งไปยังหน่วยต่างๆ ที่วางกำลังยึดสถานที่สำคัญ เช่น แดนสูทกรรม ประปา และไฟฟ้า ทำเอานักบู๊ ๓๐ นายที่วางกำลังอยู่รอบบริเวณก่อสร้างซึ่งหิวโซกันถ้วนหน้าละทิ้งหน้าที่เข้าแถวรอรับอาหารแน่นขนัด มหาเหน่ ‘เสือเฒ่า’ ยอดแหลม มีดฟืนกับขอนไม้ผุแบกมาถึงขณะกำลังแจกจานข้าวชุลมุนก็ทิ้งฟืนจากบ่าดังโครมเซหลุนๆ ไปทรุดลงนั่งพิงเสาซีเมนต์หอบหายใจขัด หน้าซีดเผือดเหงื่อชุ่มหน้าเป็นมันเยิ้มจึงพรวดไปทรุดนั่ง มือจับแขนแกไว้

“มหาเหน่คงหิวมาก ยืดอกขึ้นแล้วสูดลมหายใจช้าๆ สิครับ” ผมบอกเร็วปรื๋อ

อีก ๓-๔ คนปราดเข้าช่วย ผมรีบเอนร่างแกลงกับพื้น แล้วประสานมือโกยบริเวณหน้าท้องอันลมดานอัดขึ้นไปถึงลิ้นปี่ไล่ลม แอ๊ดใช้ผ้าขาวม้าชุบน้ำลูบไล้ทั่วใบหน้าแห้งตอบกับลำคอ นันตักน้ำมาเต็มขัน จวบแกทุเลาจึงประคองแกดื่มน้ำ รุ่งนำข้าวราดแกงเสิร์ฟผู้อาวุโสรายแรก มหาบอกเสียงสั่นพร่า

“ลุงหิวว่ะ ขอบใจทุกคน”

เมื่อมหาเหน่จับช้อนตักข้าวใส่ปากได้ ทุกคนหันมายังถังข้าวแกงอีกครั้งพร้อมเร่งให้ ๒ จิตรกรตักข้าวแกงจ่ายแจก บัดดล ๓๐ นักบู๊พากันหุบปากหยดเคลื่อนไหวทุกดวงตาเบนไปที่บันไดตึกยลสาวก่อสร้าง ๗-๘ นาง จ้องตามายังถังข้าวแกง สีหน้าซึมเซาจนหูแว่วเสียงถอยหายใจของเพื่อนๆ ในความเงียบ

นันกับรุ่งคร่อมถังถือกระจ่าค้างเติ่ง สาวหนึ่งสะกิดเพื่อนๆ ให้กลับขึ้นที่พัก แอ๊ด ยังส์วันบอกข้างหูเบากริบ

“พวกคนงานก็หิวกันทุกคน แบ่งได้ไหม”

ผมอึ้งนึกตำหนิความไม่รอบคอบ มองแต่ความสำคัญตัวประกัน ไม่มองถึงกระเพาะคนทั้งที่ตอนหัวค่ำแอ๊ดก็ไปคว้าข้าวแกงจากสูทกรรมาใ้ห้แฟนสาวกลับไม่เฉลียวใจ มาบัดนี้ทั้งข้าวแกงนั่นแม้ตักเฉลี่ยพวกเราอย่างแฟร์ๆ แล้วประมาฯครึ่งจานต่อคนเท่านั้น กลางความเงียบอันเย็นเยียบ เสียงวางช้อนกระทบจานกลับดังราวระเบิด ที.เอ็น.ที. ในสำนึกผม

“ลุงขอสระสิทธิ์ แอ๊ดโว้ย เอาข้าวของลุงไปให้เธอเหอะ…ไอ้ห่า ลุงเองยังลมใส่เลย”

โอ…ท่านมหาไม่เคยบวชเมตตาชี้ทางเช่นนี้ มีหรือลูกผู้ชายหน้าไหนกล้ายื่นจานขออาหารป้อนปากตน

ค่อนคืนแล้ว อากาศรอบตัวเย็นจัดผมใช้ผ้าห่มคลุมหัวนั่งจับกลุ่มผิงไฟจากขอนไม้ที่มหาเหน่แบกมา พลางต้มน้ำร้อนซดไล่ลมบรรเทาหิวพร้อมคาดกราณ์เหตุวันพรุ่งนี้ไปต่างๆ นานา ทัดใดเสียงหวีดร้องส่อตระหนกดังมาจากบนตึก เกือบ ๑๐ ชีวิตรอบกองไฟลุกผาง มหาเหนี้มือไปบนหัว

“มีคนเข้าหาผู้หญิงแล้วเร็ว”

ผมออกสตาร์ตฉับไว บันไดตึกมีกี่ขั้นผมกระโดดข้ามไม่กี่ทีก็ปะ ๒ หนุ่มร่างใหญ่สภาพเปลือยกาย ทั้งคู่กำลังกอดปล้ำฟัด ๒ สาวอยู่พัลวันจึงฟาดไผ่ตันเข้าขมับซ้ายชีเปลือยใกล้ตัวเต็มเหนี่ยว แรงสะท้านพาเอาไม้ที่ไม่ได้ ‘ตราสัง’ ไว้กับข้อแขนหลุดกระเด็นในบัดนั้น…..

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: