เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 55 ไทยหรือทาส(วะ)? (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 55 ไทยหรือทาส(วะ)? (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

กลุ่มเมฆสีเทาทะมึนที่พรางแสงตะวันบ่ายมาแต่อุบัติเหตุชุลมุนได้ขยายม่านปิดฟ้าสีน้ำเงินจางจนบรรยากาศในกำแพงบาปทุ่งบางเขนอันพล่านผู้คนขวักไขว่ทวีความเร่าร้อน พักใหญ่ประดาขุนศึกผู้เป็นหัวหอกนำนักบู๊เข้ายึดสถานที่สำคัญของทางราชการ เช่น แดนสูทกรรม-ไฟฟ้า-ประปา และควบคุมตัวเจ้าหน้าที่พร้อมคนงานก่อสร้างชาย-หญิงภายนอก บัดนี้ได้จัดสรรกำลังพลเสร็จแล้วบังเอิญมี “ม้าเร็ว” มารายงานเหตุเจ้าหน้าที่พร้อมกระบอกครบมือประมาณ ๑๐๐ นายกับผู้รักษาระเบียบชุดน้ำเงินหรือนักเลงติดยศอีก ๕๐ นาย ได้ปักหลังจังก้าอยู่หน้าประตูแดน ทั้งยังปิดล็อกกุญแจประตูแดนไว้ จึงพากันเข้าปรึกษาความรุ่นใหญ่เป็นงานด่วน

ผลสภานักเลงลงมติให้ทำลายกุญแจประตูลุย “ด่านคน” ออกไป สักครู่ หลังมติที่ประชุมออกแพร่ สมคิด หอมนาน ทนายลูกทุ่งโจนขึ้นบนโต๊ะอาหารหรือเวทีกลางสนามหญ้าร่วมกับเทพ ศรีหงษ์ ยกมือให้นักบู๊เฉียดพันคนที่นั่งยืนรายล้อมอยู่รอบโต๊ะสงบเสียง ต่อมาเมื่อสภาพทั่วไปคืนสู่ความสงบ หนุ่มร่างสูงใหญ่หรือสมคิด หอมนาน บัดนี้ใบหน้าเยิ้มเหงื่ออาบจรดผิวเนื้อดำแดงมันปลาบ เปลี่ยนอิริยาบถเป็นชูมือที่กำจนเกร็งขึ้นเหนือหัว ท่อนแขนทั้งคู่ปรากฏกล้ามเนื่อเป็นมัดเส้นโลหิตปูดโปน นัยน์ตาแหลมคมกราดมองทั่วหน้าเพื่อนร่วมวิบากเวร อันส่วนใหญ่สีหน้าเครียดขรึม ริมฝีปากหนาติดหนวดเรียวเล็กเปิดป้อมไฟความคิดความรู้สึกแหลมคมสู่ผองมิตรฉาดเข้มข้น

“พี่-พี่ และเพื่อน-เพื่อน ตลอดไปถึงน้องๆ ณ ที่นี้ทุกท่านโปรดทราบ เมื่อครู่นี้มีรายงานเข้ามาว่าด้านหน้าประตูแดนมีเจ้าหน้าที่กับผู้รักษาระเบียบประมาณเกือบ ๒๐๐ คน พร้อมอาวุธเตรียมสกัดกั้นไม่ให้เราเคลื่อนกำลังออกส่วนกลางซึ่งเรื่องนี้ได้การประชุมกันแล้ว ผู้ใหญ่ของเราให้พวกแนวหน้าหรือหน่วยจู่โจมเป็น “หัวหอก” นำพวกเราไป จึงอยากทราบว่าทุกท่านพร้อมแสวงหากับสู้เพื่อสิทธินี้แค่ไหน โปรดเปล่งคำไชโยสำแดงพลังด้วย”

สิ้นเสียงที่แผดปาวๆ ในความสงบ นับพันนักเลงลาดยาวล้วนตะโกนสนั่นอึง

“ไชโย-ไชโย เผด็จการจงพินาศ”

กลางเสียงคลื่นคนเร้าเหง้าหูอยู่รอบตัว ๑ ใน ๒ จิตรกรนามอนันต์ ยืนยง สะกิดแขนพลางยื่น “ไผ่ตัน” ยาวเมตรเศษให้

“เปี๊ยกเอาติดตัวไว้ เหตุข้างหน้าเรายังไม่รู้อะไรจะเกิด หากไม่มีไอ้นี่นายอาจต้องใช้ “เหล็ก” เวลาคับขัน”

ผมรับไว้ ยิ้มให้เขาแทนกล่าว ส่วนตาจับแน่วยังเจ้าสำนักฝั่งธนบุรี รอสัญญาณเคลื่อนพล นิตย์ ท่าเตียน, เกชา เกเตอร์, จ่า หาญ, นิตย์ บางลำพู, หาญ บางรัก, กาญจน์ ประตูน้ำ พร้อมพี่ยอดซึ่งจับกลุ่มอยู่หน้าโรงเลี้ยงห่างประตูแดนประมาณ ๒๐ เมตร กลับไม่ยอมส่ง “ซิก” เคลื่อนพล จึงเป็นหน้าที่ลุงเหลาบัญชา ๓ ทนายลูกทุ่งชาร์จไฟลมปากชวนเชิญนักบู๊ร้องเพลงมาร์ชประจำคุกโดยพร้อมเพรียงกัน

“ชีวิตบกพร่องบาปสนองจะต้องกรรมทัณฑ์ ให้มาไหวหวั่นโชคแปรผันชีวันมืดมน ก่อกรรมผูกพัน บาปอันนั้นเป็นเงาตามตน ถึงคราวกรรมเกิดเป็นคนทุกสิ่งต้องทนทรมาน…ชีวิตเรา ตั้งแต่เราพลั้งไปบ้างบางเวลา หักใจคิดว่าวาสนาชะตาไม่ชู ใช่เราล่มจม หากเราล้มไปเพียงชั่วครู่ เคราะห์กรรมทำให้เรียนรู้ ถือผิดเป็นครูคนใหม่…”

และแล้วด้วยเนื้อหาแห่งเพลง อีกทั้งผู้ร้องนับพันคนเต็มใจร้องโดยมีถังใส่ข้าว ๒๐๐ ลิตรตัดครึ่งแทนกลองกระหน่ำ ตึง-ตึง-ตึง ให้จังหวะอยู่หน้าโรงเลี้ยงจึงทรงอานุภาพกระหึ่มสะท้านแดน มหาเหน่ เสือเฒ่า “ยอดแหลม” วัยครึ่งศตวรรษปัก ๒ ขาป้องปากประสานเสียงสื่อใจจนเส้นเลือดบริเวณลำคอโปน แอ๊ด เสือเผ่น, รุ่ง รัชนี และอนันต์ ยืนยงก็ไม่แผกกัน ผมยืนกำ “ไผ่ตัน” ให้กระชับ เลือดลมพลุ่มพล่านยามเมื่อเสียงกลอง (ถังข้าว) ดังสะเทือนตึงๆ บนเวทีกลางสนาม บัดนี้ลุงเหลายอดทนายอาวุโสถูกพยุงสังขารขึ้นไปยืนหอบเหงื่อโชกหน้า ซูบผอมดังซากแลบึ้งตึง แก้มตอบเป็นหลุมพะเยิบขึ้นลง นักบู๊สงบเสียงโดยไม่ต้องสั่ง ที่พึ่งสุดท้ายชาวคุมเรื่องคดีความโบกมือติดหนังหุ้มกระดกให้ลูกหลาน ทำท่าสูดหายใจหนักครู่เดียว เสียงสั่นพร่าหลุดออกมาจนต้องเงี่ยหูฟัง

“๒๐ ปีในคุกหลายคุก ลุงทำงานเพื่อพวกเอ็งมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายตกมาเดี๋ยวนี้ลุงแก่แล้ว อ่อนเปลี้ยกำลังกาย กำลังสติปัญญา อยากนำหน้าพวกเอ็งสู้มัน แม้จะต้องหามขึ้นมาอย่างที่พวกเอ็งเห็นกะตานี่ก็ตาม แต่แล้วก็ไปไม่รอด…”

ผู้อาวุโสหยุดหอบหายใจ ส่วนพวกที่ไม่ได้ยินเบียดเสียดเข้าใกล้เวที ลุงเหลายกท่อนแขนปากเหงื่อบริเวณหน้าผาก หนังแก้มตอบเต้นระริก พยายามเร่งวัตต์ขยายเสียงหวังให้ทุกผู้ได้รับฟังชัดเจน

“สำหรับวันนี้ ลุงถือเป็นวันมหามงคล จึงขึ้นมากราบไหว้ ขอให้คุณพระสยามเทวาธิราชจงปกป้องลูกไทย ณ ที่นี้ด้วย และหากเมื่อถึงคราวที่ลูกหลานต้องสละเลือดก็ขอพระองค์…”

มิทันจบประโยค ยอดทนายอาวุโสยกท่อนแขนซ้ายขึ้นกัดหมับ ผมยืนเส้นกระตุกยึก เทพกับสมคิดปราดเข้าหมายยั้ง สายเกิน…ลุงเหลากระตุกหน้าขึ้น พร้อมยกแขนซ้ายชูให้ลูกหลานยลหยาดเลือดไหลละจากบาดแผลคมฟัน ซึ่งเดินริมฝีปากแห้งผาก บัดนี้มีโลหิตจับเปรอะแดงฉาน พลางเปิดคำเสริมประโยคแรกสั่นพร่าดุจเดิม

“ขอพระองค์จงพิทักษ์ลูกหลานไทยด้วยเถิด ลูกสละแล้วด้วยจิตใจและเลือดเนื้อไว้เป็นสักขีพยาน ณ บัดนี้”

เสียงไชโยโห่ร้องรับขวัญผู้อาวุโสวัยระเบ็งสนั่นไล่ๆ กันระหว่างนักบู๊หน้าเวทีช่วยกันพยุงลุงเหลาลงจากเวที เสียงกลอง (ถังใบเดิม) หน้าโรงเลี้ยงดังตึง-ตึง ผมเหวี่ยงสายตาไปพบกลองถูกกลุ่มคนยกใส่รถเข็นอาหารเข็นเข้ากลางสนามติดตามด้วยมือกลองนาม “นิโกร” ข้าวนอกนา พ่อเล้าลาดยาวร่างใหญ่ ดำทะมึนพันกายไว้ด้วยกางเกงวานรชิ้นเดียว โหมสองอุ้งมือทุบก้นถังหรือกลอง ตึง-ตึง ต่อมาต้นเสียงขึ้นเพลง “ศึกบางระจัน” ตามเสียงกลอง

ด้านหลังมโหระทึกนำร่องเป็นขบวนแถวลูกราชทัณฑ์ภายในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อคอกลมแขนสั้นม้าลายทั้งชุดแลเตะตายิ่ง กระนั้นด้านหน้าขบวนอันอยู่ด้านหลังขบวนแถวมโหระทึกต่างหาก ซึ่งนักบู๊ท่านใดไม่ทราบได้กราบถวายบังคมเบื้องยุคลบาทอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ พร้อมทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าชาย เจ้าฟ้าหญิงทั้ง ๔ พระองค์เสด็จฯ เป็นมิ่งขวัญแห่งชาวเราเยี่ยงนี้ จึงส่งให้ทาสไทยกลางทุ่งบางเขนอัดเพลง “ศึกบางระจัน” กัมปนาทรังสีสนธยา พลัน…เสียง “เหล็กกระทบเหล็ก” กังวานสะท้านหูโครมใหญ่ เสียงเพลงศึกเงียบสนิท ทุกสายตาเบนไปยังประตูแดนที่มาของเสียง ก็ทราบว่ากุญแจขนาดใหญ่ที่คล้องปิดประตูแดนอยู่เจอขวานในมือนักบู๊จามโครมเดียวพินาศ ประตูเหล็กใหญ่ทั้งสองบานเปิดกว้าง สิ่งที่เห็นใต้ฟ้าทึบบริเวณหน้าประตูแดนเป็น “ด่านคน” ยืนถือกระบอกขวางทางไว้ราว ๒๐๐ นาย ล้วนตีนหน้าใส่ไม่ต่างแผ่นดินนี้ผองเราหมายปล้น โดยเฉพาะผู้รักษาระเบียบชุดสีน้ำเงินหรือนักเลงติดยศ คงถูกบัญชาให้เป็นปราการด่านแรกจึงพอมองออกไม่ค่อยเต็มใจ “ชน” กับพวกเรานัก

พักเดียว นิตย์ ท่าเตียน, เกชา และพี่ยอดก้าวออกไปประจันหน้า เจ้าสำนักหัวลำโพงเจ้าของหุ่นชายงามอันนักบู๊ยกย่อง “เทพผู้พนมมือแก่ชนทั้งปวง” กระทำคารวะเจ้าหน้าที่เบื้องหน้าก่อนชี้ไปยังกระบอกในมือผู้รักษาระเบียบทั้งแผงกล่าวเสียงดัง สีหน้าปกติ

“กระบองในมือนั่นนะ พวกคุณพกมาจากนอกคุกหรืออย่างไรกันแน่…ผมขอเตือนสตินะ เราเป็นนักเลง ส่วนใหญ่มีครูบาอาจารย์ ดอกไม้ ธูปเทียนที่เราบูชาครูทุกก้านทุกดอกก็ด้วยใจจนได้ชื่อว่า นักเลง เช่นนี้ เราจะมาหักล้างกันทำไม…เปิดทางเถิดพี่น้อง แม้ไม่ร่วมด้วยก็ไม่ว่า แต่อย่าโง่ ทำร้ายทำลายกันเอง”

สิ้นคำเจ้าสำนักหัวลำโพง ปรากฏนักเลงติดยศเหล่ตามองกัน นักบู๊อีกนับพันสงบชมผล พี่นิตย์หันหลังกลับกวักมือเรียกเทพ ศรีหงษ์ไปสั่งความไม่กี่ประโยคได้กลับมาปรับเปลี่ยนขบวนให้ฝ่ายมโหระทึกอยู่ด้านหลังขบวนอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์อันมีนักบู๊ร่างใหญ่กำยำแต่งกายชุดม้าลายรวม ๖ นายยืนจับกรอบพระบรมฉายาลักษณ์ลายทองทุกพระองค์ ร่างตรงแหนว ถัดมาคือแถวม้าลายอีกชุดคอยพิทักษ์พระบรมฉายาลักษณ์ มิให้ตกถึงมือเจ้าหน้าที่ พลัดหลงขบวนและผิดสภาพจากที่อัญเชิญมาจากที่ประดิษฐานเดิม

ในที่สุดเหล่านักเลงติดยศเฉียดร้อยชีวิตได้พากันถอดเสื้อคอกลมสีน้ำเงินติดขัดสีขาว ๓ ขีดบริเวณทรวงอกซ้ายออกโยนลงกับพื้นถนนลูกรัง บรรดาเจ้าหน้าที่เห็นปราการด่านแรก “คืนตั๋ว” ได้เคลื่อนไหวกันคึกคักเช่นกัน ๓ เจ้าสำนักถอยกลับจากหน้าประตู ยูร อินทรี วณิพกนักเล่านิยายจีนพาร่างกำยำโทรมๆ ไปหยุดยังที่เดิมแทน ท่ามกลางนักเลงกลับใจเดินสวนเข้าร่วมชุมนุมทีท่ากระฉับกระเฉง ครู่เดียววณิพกหนุ่มกระแอมไล่เสลดเสียงดังจึงป้อมปากตะโกนใส่เจ้าหน้าที่

“ต่อไปพวกเราจะอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์เดินไปตามถนนทุกสาย ผู้ใดขัดขวางมิให้พวกเราดำเนินการอย่างสงบ เมื่อนั้นเราจะสำแดงพลังแห่งความจงรับต่อเบื้องยุคลบาทกับท่าน ชนิดตาต่อตา-ฟันต่อฟัน จนถึงที่สุด…โปรดกรุณาเปิดทางให้พวกเราด้วย”

บัดดล เสียงกลองแผดระรัวตึง-ตึง ขบวนอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ก้าวนำ เจ้าหน้าที่พยายามใช้โทรโข่งโฟนมิให้เคลื่อนไหว โดยอ้างกฏหมายอาญาสารพัด พอขบวนม้าลายหลุดพ้นประตูแดน ประดาขุนศึกที่รับงานจู่โจมยึดที่ทำการ และควบคุมเจ้าหน้าที่ รวมทั้งพวกผมซึ่งคอยสังเกตสัญญาณจากพี่ตุ๊พร้อมนักบู๊อีก ๓๐ นาย ใจเต้นระทึก

จวบหัวขบวนปะหน้าด่านหน้าที่ระยะประชิดและไกลเกินกว่าจะได้ยินคำตอบโต้ เห็นแต่อาการขึงขังฝ่ายเจ้าหน้าที่ พี่ตุ๊จึงตัดใจ “ตีธง” ส่ง “ซิก” ให้ฝ่ายจู่โจมลุยออกไปตามแผนเดิมทันที

“ลุยออกไปโว้ย”

ราวอัสดรเจนศึกโผนลงสนามยุทธ์ ทุกผู้ไม่เลือกระดับโด่งดังหรือต่ำต้อยติดเสพต่างควบไผ่ตัน คมแฝก กระบอก กระจ่างตักแกง พลั่ว จอบ ตลอดไปถึงเครื่องทุ่นแรงที่ไม่ก่อเหตุถึงตายฟาดตีใส่เจ้าหน้าที่พร้อมสบถคำรามเกรี้ยวกราด พี่ตุ๊เป็นหัวหน้าทีมชุดผมกระโกนกำชับให้พยายามไปให้ถึงสถานที่ก่อสร้างให้ได้ ก็ฟาดไผ่ตันยาวเมตรเศษแหวกช่องกลางเสียงร้องโอดโอยผสานเสียงตีนมนุษย์ เสียงไม้กระทบไม้ทั่วไปหมด ส่วนแอ๊ด, อนันต์, รุ่ง พร้อมเสือเฒ่าโชว์เพลงไม้รุกไล่คู่ศึกแตกกระเจิงร้องบอกเมื่อเห็นช่อง

“เปี๊ยก…คุณตุ๊ ออกทางนี้ครับ”

หนุ่มใหญ่เจ้าสำนักฝั่งธนบุรีหันไปบอกลูกแถว “ตามพี่มาโว้ย”

คราวนี้ผมไม่มีเวลาชมยุทธการหน้าประตูแดน รีบโขยกตามรุ่นอาวุโสและเพื่อนสู่ที่หมาย หน่วยงานก่อสร้าง(แดน ๔ ปัจจุบัน) ไม่ทันเหนื่อยพบเหยื่อชาย-หญิงละมือจากกิจพากันปีนขึ้นไปบนคานซีเมนต์ตึกชมเหตุสลอน ตำรวจรักษาการณ์บริเวณสถานที่ก่อสร้าง ๕-๖ นาย ยืนถือกระบองจ้องมายังพวกเราเขม็ง พี่ตุ๊มอบงานขณะวิ่ง

“เปี๊ยกเอาตำรวจนั่นไปขังไว้ในห้องว่างบนตึกนะ อย่าไปทำรุณแรงนัก ส่วนพี่จะแยกไปคุมคนงานข้างบนลงมา”

“ตกลงครับพี่” รับคำและแยกจากแกนนำเพื่อนนักบู๊ ๑๐ นาย ก้าวยาวๆ เข้าหา ๖ นายตำรวจชั้นประทวน จ่านายสิบตำรวจวัย ๔๐ ปีบอกห้วนๆ เมื่อปะกันระยะประชิด

“นี่เท่ากับก่อจลาจลเชียวนะ ไอ้หนุ่ม”

“พวกเราถูกขังลืมมานาน มันจำเป็นครับจ่า” ผมแจง

“แล้วต่อไปจะทำอย่างไรกัน…เรียกท่านนายกฯ มาหาที่นี่หรือไง” กิริยา-น้ำเสียง-เย้ยหยัน

ผมสรุป “ต่อจากนี้พวกเราต้องขอร้องให้จ่ากับทุกคนขึ้นไปพักผ่อนบนตึกก่อนนะครับ”

“เฮ้ย เดี๋ยวอั๊วต้องพาคนงามออกไปจากที่นี่”

“คนงานทั้งหมดยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าพวกเราจะพบท่านนายกฯ ครับ”

“เอ๊ะ” ทำท่าเสียงขึ้นจมูก

ผมอ่านใจ พลางประโลมคำหยุดความคิดเรื่องศักดิ์ศรีตามวิสัยคน

“จ่าก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่าพวกผมกำลังก่อจลาจลยังไม่รู้แพ้ชนะ ไม่ทราบชะตากรรม ถึงอย่างนั้นเมื่อคิดทำงานใหญ่อย่างนี้แล้ว ย่อมสละได้แม้ชีวิตจึงหวังว่าทุกท่านคงเห็นใจในความจำเป็นนี้…เชิญครับ”

จ่าหนุ่มใหญ่ผงกหัวหงึกๆ อีก ๕ หัวหมู่มองข้ามหัวผมไปชมเหตโกลาหลนักบู๊ซึ่งแพร่พิษไปทั่วส่วนกลาง ผมเร้าต่อ

“เชิญเถอะครับ”

จ่าฉวัดตามองผม ส่งกระบองในมือให้ กล่าวเย้ยหยันดังเดิม “เอาไป อั๊วจะได้รู้ว่าพวกลื้อจับตำรวจ”

“จ่าเก็บไว้เหอะ เก็บไว้ทุกคนแหละครับ”

อย่างง่ายดาย เนื่องสถานะเป็นรอง ทุกท่านจึงยอมให้พวกเราควบคุมตัวเชิงกักบริเวณบนตึกว่างโล่งที่กำลังก่อสร้าง ส่วนคนงานก่อสร้างชาย-หญิงรวม ๕๐ คนได้ถูกพรรคพวกต้อนลงจากคาน ล้วนตระหนก พรั่นกลัว ลนลาน เฉพาะสาวๆ จับกลุ่มร้องไห้นำตาอาบหน้า ทอดตาจากตัวตึกก่อสร้างฝ่าสภาพขมุกขมัวยามตะวันลาสู่ตัวอาคารทำเนียบซึ่งเปิดไฟสว่างโร่ มีนักบู๊รายล้อมอยู่เนืองแน่นทั่วสนามหญ้าอันกว้างขวางกว่าสนามภายในแดน บนอาคารที่ทำการสถิตรุ่นอาวุโสแต่ละภาค เช่น เลาะห์ ราชพิทักษ์ สลัดชื่อก้องคาบทะเลอันดามัน กับมังกรเมืองใต้ ผู้ใหญ่เต๊ก อดีตนายทุนผมก็ร่วมอยู่ด้วย เสียงเพลงมาร์ชนานาจากปากสหายกระหึ่มอย่างต่อเนื่องบนป้อมยามนับสิบมีตำรวจพร้อมอาวุธปืนป้อมละราว ๕ นายยืนส่องกล้องทางไกลไปที่ทำเนียบทุกจุด

แหงนมองฟ้ามืด บัดนี้จันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลทั่วฟ้าครามและพื้นเหล้าดาราใหญ่น้อยระยิบแสงพราวตา เมฆก้องใหญ่ดำทะมึนเมื่อก่อนพลบสลายสิ้นเสียงร่ำไห้สาวคนงามก่อสร้างเงียบไป มหาเหน่ผู้ทำหน้าที่เสาะข่าวการเคลื่อนไหวพวกเราและฝ่ายเจ้าหน้าที่พาร่างโทรมๆ แต่แกร่งแจงเรื่องระคนหอบเหงื่อโชก

“ท่านอธิบดีราชทัณฑ์ รองอธิบดีตำรวจมาคอยอยู่ที่ประตู ๒ แล้ว ให้พวกเราส่งตัวแทนออกไปพบ ๕ คน ซึ่งที่ประชุมเลือกไว้ ๕ คนแล้ว มีลุงเหลา, ยูร, เทพ, สมคิด และเปี๊ยกด้วย สัดครู่คุณยอดคงให้เด็กมาตามหรอก”

ผมจับมือเสือเฒ่าบีบสำแดงอาการรับรู้ พอปล่อยมือจากแกปรากฏหนุ่มหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาจากแดนสูทกรรมมุ่งมาที่เรา

“ใครวะ” มหาพึม เขม้นตามอง

ร่างสมส่วน ตัดผมสั้นทรงลานบิน มือซ้ายถือจานข้าวราดแกงพูนจาน มือขวาถือผ้าห่มหลวงโขยกเข้ามาจวบได้ระยะสายตา มหาเหน่อุทาน

“ไอ้แอ๊ด ยังส์วัน”

ผมจับตายลนักบู๊รุ่นเดียวกันกระโจนขึ้นบันไดผ่านพรรคพวกมาหา คำแรกจากเสือเฒ่าเปิดก่อน

“เอาไปให้ใครวะ แอ๊ด”

เพื่อนยิ้ม พักหอบหายใจอึดใจก็แผ่วเสียงกระซิบทีท่าขัดเขิน

“ผมเอามาให้แฟน เธอคงหิว…นี่เกือบ ๒ ทุ่มแล้ว เปี๊ยกด้วย ขออนุญาตหน่อยนะเพื่อน”

“เชิญเลย แอ๊ด” ผมเปิดไฟเขียว

เขายิ้มกว้าง ตาวาวเรือง พลางก้าวฉับๆ ไปยังสถานที่ควบคุมแฟนสาวในบัดนั้น

“มันรักของมันจริงๆ ว่ะ” มหาพึมพำ

ผมหนาวใจแปลบ รู้สึกว้าเหว่กะทันหันคิดถึง “ก้อง” มิรู้ป่านนี้ใน “กรงทอง” ท่านจอมพลขังเธอจะได้ทุกข์หรือสุข จึงวอนฝากฟ้า ฝากรักด้วยอาทรไปกับลมหนาวถึงเธอ ขอให้นิทราสนิทเถิด

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: