เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 54 แผนอุบาทว์ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 54 แผนอุบาทว์ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ท่ามกลางนับร้อยนักเลงลาดยาวที่อัดกันอยู่ภายในโรงเลี้ยงอาหารกำลังอยู่ในภาวะลังเลสับสนกับคำวิงวอนร้องขอจาก ไอ้หลอ แท็กซี่ผู้ป้อนควันอุบาทว์เข้าปอดนักเสพ พลันความคิดหนึ่งได้ผุดวาบก็สะบัดหน้าหน้าจ้องตามองทะลุตาข่ายเหล็กปิดกั้นโรงอาหารสู่ทิศที่สถิตอารามจำพรรษาพระคุณเจ้าหลวงพ่อแล้วสงบจิตรำลึกถึงท่านครู่หนึ่งจึงเบียดแทรกนักบู๊หลากหลายเข้าหากลุ่มอาวุโสอันได้แก่ นิตย์ท่าเตียน เกชา เกเตอร์ หาญบางรัก นิตย์บางลำพู ตุ๊ตลาดสมเด็จฯ ฯลฯ ยังด้านในสุด โดยมิได้ใส่ใจว่ากิริยาตนจะมีใครจับตามอง

ด้งกล่าว พอหยุดร่างเบื้องหน้าทุกนาม ซือเฮีย ยอดประตูน้ำ ถามเสียงแน่น

“มีอะไรหรือเปี๊ยก”

“ผมอยากเปิดใจพูดกับพี่ๆ เพื่อนๆ เหมือนไอ้หลอครับ”

น้ำคำชัดเจนกลางเสียงพึมของนักเลงแต่ละบางเหมือน “เข็ม” หรือ “ไฟ” แทงใจรุ่นใหญ่ให้หันมองตากัน ทว่าสถานะเขม็งตึง อันเสมือนนาทีทองซึ่งผมหมายปลุกซากร่างโทรมๆ เพื่อนร่วมแนวลุกขึ้นชูธงหาทางเตียน ตัดใจโยนการตัดสินใจแก่สุภาพบุรุษนักเลง นิตย์ ท่าเตียนสั้นๆ

“พี่นิตย์กรุณาช่วยตัดสินใจด้วยครับ”

สิ้นคำผมลอบสังเกตสีหน้ายอดนักบู๊ผู้ขึ้นลุยไถสะบัดมีดโกนเฉือนกับทหารเรือนับสิบจนมีแผลเป็นรอยตะขามทั่วร่างสูงกำยำจรดใบหน้าคมเข้มเดาผลคำวิงวอนพบนัยน์ตาดำกริบประกายเรืองเลือดฉีดขึ้นหูแดงซ่าน ก็ดึงสายตาแลนักบู๊รอบกายแกปะเจ้าพ่อหัวลำโพงอดีตชายงามผู้สันทัดเชิงยูโด เกเตอร์ วองยียืนสงบหน้าแหลมแก้มตอบริมฝีปากเขียวตรงข้ามกับผิว นัยน์ตาแห้งผาก ร้างประกายยืนเหม่อซึมจากพิษอุบาทว์ เลยร้อนผ่าวทั่วร่าง และสิ่งนี้เองที่บันดาลให้อหังการลั่นคำต่อหน้ารุ่นใหญ่พร้อมสหายนับสิบหลังคารวะ

“ผมต้องขออภัยที่เอาเรื่องความเป็นความตายของคนส่วนใหญ่มาให้พี่ตัดสินใจผู้เดียว ทว่าในเหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีใครเหมาะสมเป็น “ผู้นำ” เท่าพี่ ทั้งนี้เนื่องจากพวกผมรู้ว่าเมื่อพี่พร้อมเป็นผู้นำแล้วพี่ชา, เฮียเตอร์, พี่ยอด, พี่หาญ, พี่นิตย์ที่ยืนอยู่นี่มีหรือจะทิ้งพี่…สมัยก่อนนักเลงรุ่นพ่อผมจวบมาถึงรุ่นพวกพี่ต่างรัก “ศักดิ์” ตนเสนอชีวิต แล้วที่ผ่านมาพวกน้องๆ อย่างพวกผมมี “ศักดิ์” นักเลงหรือขี้ยา”

ถึงวาระนี้ผมไม่สามารถตัดใจต่อคำเนื่องจากมีการเครื่องไหว พร้อมนักบู๊ภายนอกทยอยเข้าโรงเลี้ยงคึกคัก และที่สำคัญผมกำลังตาลายมองเห็นทุกคนกำลังชู “เหล็ก” ประจำตัวไว้เหนือหัวจ้องตามาที่ผมจึดเดียว พลัน! ความหวังอุบัติจากคำถามห้วนๆ ของพี่ยอด

“น้องมั่นใจว่าจะรวมทุกคนได้หรือ”

ผมฉวัดสายตาไปยังกลุ่ม ๔ ทนายลูกทุ่ง เช่น ลุงเหลา ยูรอินทรี เทพศรีหงษ์ และ สมคิดหอมนาน พร้อมก้าวเข้าไปจับแขนอันเล็กลีบจนเห็นเส้นเลือดโปนชัดของทนายวัยครึ่งศตวรรษบอกเต็มเสียง

“ลุงเหลา กับ ยูร, เทพ และสมคิดตลอดไปถึงทุกคนต้องช่วยกัน”

ผู้สูงวัยผมขาวประปรายสั้นเกรียน รูปหน้าเล็กแหลมยับย่น แก้มตอบแลโบ๋ลึก หนวดเคราขึ้นงอกขาวหร็อมแหร็มจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลประสานตาผมผมวับเดียวก็เบนไปยังกลุ่มเจ้าสำนักกล่าวเสียงห้าวแหบ

“ลุงว่าควรมีการปลุกระดมสำรวจความพร้อมของพวกเราถ้าคิดทำการต่อไป”

มิทันผู้ใดลงมติ เสียงโทรโข่งชนิดมือถือกังวานโหวกเหวกอยู่ด้านนอก จึงทำเอาผู้คนโรงเลี้ยงฮือฮาไปยืนฟังอยู่แถบซ้ายหมด เบื้องนอกกลางแสงตะวันบ่ายบัดนี้ปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจราชทัณฑ์ประมาณ ๑๐๐ นาย ยืนถือกระบองกระชับมือรายล้อมอยู่รอบโรงเลี้ยง และพอเสียงคนสงบเสียงโทรโข่งสอดทันควัน

“ผู้รับการอบรมภายในโรงอาหารทุกท่านโปรดฟัง ขณะนี้ฝ่ายสูทกรรมได้จัดปรุงอาหารลำเลียงมาไว้ที่หน้าแดนแล้ว ขอให้ทุกท่านออกจากโรงอาหารเพื่อให้ฝ่ายพี่เลี้ยงใช้พื้นที่จัดเลี้ยงอาหารโดยสะดวกด้วย ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่านผู้ปกครองบอกพิจารณาความผิดเฉพาะต้นเหตุทั้งสองฝ่าย หวังว่าทุกท่านคงปฏิบัติตามนี้”

สิ้นเสียงโทรโข่งในมือพัศดีตรีร่างใหญ่ ปรากฏเสียงโห่ฮาเสียงสบถระคนเสียงโหวกโวยเรียกหากันกระหึ่มโรงเลี้ยง ปลายหอกของความคิดที่หมายป้อนไฟแห่งการต่อสู้แก่ผองเพื่อนจรัสจ้า ดังนั้นโดยไม่คอยคำเห็นชอบของรุ่นอาวุโส ผมบีบแขนลุงเหลาหนักๆ บอกฝากความอ่อนด้อยประสบการณ์ทางสายตาให้เมตายันหลังเติมปัญญาชี้ทางเดินยามบ้าคลั่งด้วย

ลุงเหลายิ้มเฝื่อนโอบมือไปเเตะไหล่ผมประคองส่งยังโต๊ะอาหารกลางเสียงปรบมือต้อนรับกราวใหญ่ พอโจนขึ้นไปยืนปักขาไหล่ตั้งโดดเด่นบนโต๊ะ หนุ่มร่างผอมโกรกผมเผ้าเป็นกระเซิงพรวดมายืนข้างหน้าสำแดงอาการปีติทางแววตาและสีหน้า พลางยิ้มฟันหลอลุ้นเต็มเหนี่ยว

“ใส่เลยครับ เสมียน…อย่างน้อยผมคนหนึ่งละที่จะเคียงข้างเสมียน”

ต่อมา ภาษาพูดนักบู๊เสพติดรวมพฤติกรรมเขาเจอผมกรองอยู่อึดใจไฟในทรวงที่สั่งสมสิ่งเจ็บปวดนานาจึงทะลักความร่านร้อนปลุกเร้าสายเลือดข้นในอดีตนักเลงทุกบานให้มองดู “ไอ้หลอ” เป็นต้นแบบว่าคนหนุ่มมีอาชีพสุจริตทำเป็นหลักแหล่ง ไม่เคยมีประวัติเสีย หรือเคยขึ้นสถานีตำรวจใดมาก่อนแต่พอกินเกล้าเมาพลาดไปด่าตำรวจครั้งเดียวถูกจับขัง “อันธพาล” ๓๐ วันแล้วไม่พอ มันยังขู่เอาเงินถ้าไม่มีเงิน…โน่น ลาดยาว

พี่-พี่ ที่นับถือ พร้อม เพื่อนที่รัก ณ ที่นี้เราจะไม่พูดถึงความอยุติธรรมความเลวร้ายของตำรวจระยะสอบสวน เพราะเขามีอำนาจและอำนาจนี้ก็ไอ้นักรบที่ พ่อ-แม่ พี่น้องเราไปแห่มันมานั่งครองเมืองใช่หรือไม่ และขอให้พิจารณาด้วยว่าระยะ ๔-๕ ปีกลางนรกนี่ เราเป็นสัตว์ในกะลา หรือประชาชนใต้คอมแบตเผด็จการ ดังนั้นในวันอันสำคัญทั้งต่อหน้าทุกท่าน ผมใคร่อยากกราบถามว่า บัดนี้พวกเราพร้อมสร้างประวัติศาสตร์การแสวงหาความชอบธรรมสักกี่มือ กี่ดวงตา และสักกี่ดวงใจ ได้โปรดชูมือขึ้นเปล่งคำไชโยด้วย พล้น…คลื่นเสียงคนนับร้อยที่อัดอยู่ภายในโรงเลี้ยงเปล่งคำไชโย ไชโย ดังสะเทือนอึงอล และมีการเคลื่อนไหวจากเพื่อนพ้องโดยสงบ เวลาเดียวกันเจ้าสำนักฝั่งธนบุรี ตุ๊ตลาดสมเด็จฯ พาร่างกำยำอาบแดดลมจนสีผิวเกรียมกร้าน เหงื่อชุ่มหน้า แหวกกลุ่มนักเลงเข้ามาหา ผมทรุดลงนั่งทับเข่าบนโต๊ะชะโงกหน้าไปถาม

“มีอะไรหรือพี่”

ผู้อาวุโสบอกเสียงแน่น “เดี๋ยวพวกเราทั้งหมดจะเปลี่ยนที่ชุมนุมไปกลางสนามใหญ่ เปี๊ยกอัดให้หนักๆ แล้วค่อยตามไป”

“ครับ” ผมรับคำ

ทันใด เสียงแตรเดี่ยวสัญญาณเลิกงานทุกหน่วยงานดังมาจากทำเนียบนักบู๊อาวุโสซึ่งทำท่าขยับละจากชะงักกึก ลงเหลา, ยูร, สมคิด และเทพ ศรีหงษ์ ๔ ทนายลูกทุ่งปราดไปยืนข้างๆ ทีท่ากังวล

ยูร อินทรี ทนายลูกทุ่ง วณิพกนักเล่านิยายกำลังภายในและพงศาวดารจีน “สามก๊ก” ด้วยลมปากราวอ่าน จับมือผมบีบ นัยน์ตาแดงระเรื่องกล่าวพอได้ยิน

“เปี๊ยกถอยไม่ได้แล้วนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

ผมยิ้มให้เขา สำแดงกิริยาเป็นพันธมิตรร่วมต้านนักรบพุ่งหลาวบนหอคอยงาช้างชัดเจน ครู่หนึ่ง ๒ เจ้าพอหัวลำโพง เกชากับเกเตอร์ ก้าวยวบๆ ผ่านประตูนักบู๊ซึ่งเปิดทางเดินเป็นช่องร่วมปรึกษาความ ปลุก “ม็อบ” นักบู๊ที่เพิ่งเลิกงานยังสนามกว้างหน้าโรงงาน ส่วนผมไม่อยู่ในฐานะกำหนดเกมนี้ตามศักดิ์ แต่เสียดายเวลา ขณะที่รุ่นพี่พาทีอยู่ได้ขอให้ ยูร อินทรี, เทพ ศรีหงษ์, และสมคิด หอมนาน โดดขึ้นมาบนโต๊ะผลัดกันอัดไฟลมปากจุดอารมณ์ เพื่อน พี่อย่าได้ขาด

ณ บัดนั้น ยูร อินทรีจึงระเบ็งเอ็นคอ แผดเสียงปลุกระดมด้วยท่วงท่าองอาจ ความเคยชินตามวิสัยวณิพกนักเล่าซึ่งมักใช้การเคลื่อนไหวของตนประกอบขบวนท่าสัประยุทธ์ถูกนำมาประกอบอุทกวาจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับร้อยนักเลงลาดยาวสงบนิ่งเงี่ยหูฟัง สายตาทุกคู่จับแน่วยังร่างสูง ผิวคล้ำ หัวโต หูกาง ทนายลูกทุ่งศิลปินเถื่อนเขม็ง สุ้มเสียงแต่เดิมแลสั่นเครือกลับดังชัดเจนมีบางประโยคเขาเน้นคำหนัก บางคราวเหมือนธารน้ำไหลเอื่อยและบางครั้งเขาทิ้งคำหยามหยันตาเบิกวาว สองมือมิหยุดเคลื่อนไหว เช่นขณะนี้เขาทำท่ากวักมือหยอยๆ

“…..มาเถิดเพื่อน มาร่วมกันประสานมือ ประสานใจ ประสานตาเข้าไว้การณ์ครั้งนี้เรามิได้เหิมเกริมสั่งฟ้าเปลี่ยนสีหรือดับดวงอาทิตย์ เราต้องการวิงวอนให้ “คน” ด้วยกันรู้เห็นหรือได้ยินสรรพทุกข์เข็ญในนรกที่มันสร้างไว้ขังเราเพื่อปรับปรุงแก้ไข เพราะในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยผิดพลาด และความผิดพลาดของพวกเรานั้นมันถึงขั้น “ปล่อยเกาะ” หรือ “ตอน” มิให้มีการสืบพันธ์แห่งมนุษยชาติหรือกักขัง ๙๐ วันจะปล่อย ถึงวันนี้รวม ๕ ปี พวกเราหมดเหงื่อหมดเลือด เป็นบ้าฆ่าตัวเอง ฆ่าเพื่อน ฆ่าพี่ และถูกมัน “ฆ่า” มากี่ศพ เหล่านี้ใครกดดันให้เกิดเหลียวมองพวกเราบ้าง แม้อยู่กลางคุกลำบากยากเข็ญก็ไม่วายถูกมันขนยาเสพติดมาให้เสพ หวังฆ่าทั้งเป็น การติดต่อพบญาติหรือก็แสนลำบาก คราใดเมื่อมันบีบเราก็เจ็บ พอเจ็บแล้วก็ขุ่นเคืองคิดมากเป็นบ้าไปเอง ผู้ที่ไม่อยากบ้าคลั่งเสียคนส่วนใหญ่จึงหันเข้ายึดยาผ่อนคลาย มันจึงติดกันค่อนคุกรวมทั้งผม หลายคนมีปัญหาทางครอบครัวซ้ำเติม เช่น ลูกๆ ป่วย เมียมีชู้ พ่อแม่แก่เฒ่าหากินเลี้ยงตัวไม่ได้ เรื่องนี้มีเกิดแก่ทุกคนไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง…หรือไม่จริง”
สิ้นคำเขาบรรดา “เซื้อ” รอ “ไฟ” ซึ่งพากันอัดเข้ามาในโรงเลี้ยงจนแทบไม่เหลือช่องทางเดินตะโกนเสริมสนั่นหู

“จริงแล้ว จริงแล้ว”

“เกยูร…ลุยต่อครับ ลุยต่อ พวกเรามาแล้ว”

คำบอกประโยคนั้นคงหมายถึงนักบู๊เกือบครึ่งพันที่เลิกงานแล้วแต่ประตูแดนปิดห้ามเข้าส่อเจ้าหน้าที่เจตนาสลายพลังนักบู๊ไม่ได้ นั่นเนื่องจากทุกคนพร้อมใจกันปีนกำแพงปูนกั้นเขตแดนสูงประมาณ ๒ เมตรเศษเข้ามายั้วเยี้ยไปหมด จู่ๆ ปรากฏเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ออกไปหาพวกเรากันโว้ย” ทันใดนั้นเสียงกระซากประตูซิปโรงเลี้ยงเปิดดังกราว คลื่นคนครึ่งพันที่อัดอยู่ในที่แคบทะลักฮือออกกลางสนามแหกปากส่งเสียงสารพัน พวกที่มือบอนคว้าถ้วยจานสังกะสีติดมือไปด้วยใช้ซ้อนเคาะรัววุ่นวายไปหมด ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราว ๕๐ นาย พากันถอยไปที่ประตูแดน ผมพรวดเข้าหากลุ่มผู้อาวุโสที่กำลังระดมขุนศึกมอบหมายงานตามแผนก็ทราบว่า “แผน” นี้คิดทำมา ๒ ปีเศษ แต่โอกาสไม่อำนวย ครู่ใหญ่ บรรดาขุนศึกชื่อดัง เช่น โอเหล่, เหล็ง แพร่งฯ, อ๊อด หมอเหล็ง, ตาล สุทธิสารฯ, จบ หลังวัง, จ่าดอน, เต็งโก้, ธวัช, ตี๋น้อย, เก๊าตี๋, มาน เจริญผล ฯลฯ รับหน้าที่นำนักบู๊เข้ายึดสถานีจ่ายกระแสไฟ สถานีจ่ายน้ำบาดาน สูทกรรมพร้อมควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ไว้แล้วส่งคนรายงานทุกๆ ๑๐ นาที ส่วนผมกับนักบู๊อีก ๓๐ นาย ตามพี่ตุ๊เข้าควบคุมตัวคนงานก่อสร้างชาย-หญิงไว้ เพื่อการต่อรองอันอาจเกิดได้ระหว่างดำเนินการ เสร็จกิจ…ทุกคนสัมผัสมือกัน นิตย์ ท่าเตียนกำชับขุนศึกกว่า ๒๐ นายหนักแน่น
“อย่าทำลายทรัพย์สินของทางราชการและอย่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ถ้าไม่มีเหตุอันควร พี่ขอร้อง”

บ่ายจัด ลมทุ่งพัดตึงคล้ายครางวู่หวิว เบื้องบนกระแสลมยิ่งแรง เมฆดำทะมึนลอยไต่ฟ้าสีน้ำเงินจางอ้อยอิ่ง สมคิด หอมนาน และเทพ ศรีหงษ์โก่งคอปลุกพลังบนโต๊ะกลางสนามหญ้าท่ามกลางสมาชิกนับพัน นั่ง-ยืนอย่างตั้งใจ ส่วนพวกเรา ๒๐ กว่าคน ออกจากโรงเลี้ยงไปตั้งหลักระดมพลอยู่หลังโรงงานด้วยความชุลมุน ปรากฏมหาเหน่, นัน, รุ่ง, และแอ๊ด เสือเผ่นเดินหน้าซึมเข้ามา ผมกล่าวยิ้มๆ

“มันถึงเวลาแล้วใช้ไหมเพื่อน”

แอ๊ดต่อคำ “นายออกแนวหน้าด้วยหรือ”

“พี่นิตย์ให้คอยช่วยพี่ตุ๊ คุมตัวคนงานก่อสร้าง”

“พวกเรา ๔ คนร่วมด้วยนะ” เสียงเพื่อนเบาโหวง

อย่างลืมตัว ผมกระโดดจับมือเพื่อนกอดรัดด้วยซาบซึ้ง แม้มิรู้ว่าข้างหน้าเป็นขอบเหวหรือบันไดสวรรค์ ครู่เดียว เสือเผ่นกล่าวอีกประโยค สุ้มเสียงเดิม สีหน้าดีขึ้น

“เปี๊ยก เมื่อตอนเช้านี้นายคงรู้ว่าเรา ๔ คนขึ้นไปฉีด “ของ” บนกันสาด”

“ลืมเถอะแอ๊ด ช่วยกันสู้ในวันนี้ดีกว่า” ผมสรุป

แต่มหาไม่เคยบวชไม่ยอมจบ “เปี๊ยก ลุงชวนทุกคนมันฉีดเองว่ะ”

ผมคว้าข้อมือเซียนล้วงกระเป๋ารุ่นพ่อชูขึ้นเหนือหัว แกยิ้มแฉ่งความหม่นหมางคลางแคลงเลือนสิ้น แอ๊ด, นัน, รุ่ง เปิดยิ้ม ทีท่ากระปรี้กระเปร่า ทว่าความจริงจากความรู้สึก ผมไม่ค่อยสบายใจนักที่มีการจับตัวประกันทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยเฉพาะประชาชน เรามีสิทธิอะไรควบคุมคุมขังเขา….

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: