3794. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 53 ใจประสานมือ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 53 ใจประสานมือ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

บัดนี้เรา ๕ ชีวิต อันมี มหาเหน่ แอ๊ดเสือเผ่น อนันต์ยืนยง รุ่งรัชนี และผม พร้อมนักบู๊ที่ได้รับนิรโทษกรรมลงจากขังเดี่ยวก็ตกงานกันทั่วหน้า ดังนั้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมจึงถือโอกาสสอบถามความเห็นนักบู๊จำนวน ๑๐๐ ชีวิตว่าหากพี่ลอขอให้ช่วยกันพัฒนาแดนเกษตรจะมีความเห็นประการใด ผลการการสุ่มความคิดเห็นทั้งหมดล้วนบอกคล้ายๆ กันคือ อยากอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะได้ทำกันมาตั้งแต่เปิดคุกขณะที่คุกยังรกยังกับป่าจึงขอพักผ่อนบ้าง และหากท่านผู้ปกครองสั่งเป็นลายลักษณ์ส่วนใหญ่ก็พร้อมกลับขึ้นขังเดี่ยวดับเดิม

เพราะเจ้าสำนักฝั่งธนบุรี ตุ๊ตลาดสมเด็จฯ ถึงกับโวย “พี่จะทำงานทุกประเภท ถ้ามันปล่อยให้เห็นสักรุ่นเท่านั้น” ดังกล่าวคือ “ปัญหา” ที่ผมต้องแจ้งเข้าปรึกษาหัวหน้าลอ หาทางเบนเป้าหมายผู้ปกครองให้มองแรงงานจากหน่วยอื่นก่อนที่จะออกคำสั่งจนเกิดเหตุ “กระด้างกระเดื่องต่อพนักงาน” ขึ้น ต่อมาจึงแนะทางออกให้แกใช้แรงงานภาคกลาง หรือภาคใต้จำนวน ๓๐๐ คนน้องใหม่แทน ซึ่งเจ้านายก็เห็นด้วยพร้อมนำไปเรียนท่านผู้ปกครอง ตกประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนวันนี้ หลังอาหารเช้าผมเดินโต้แสงตะวันร้อนผ่าวไปยังบริเวณที่ก่อสร้างด้านทิศตะวันออกอันเป็นสถานที่ค้าและเสพยาเสพติด เยี่ยมชมกิจการค้าของเพื่อนพ้อง จนเข้าไปยังใต้ถุนตึกก่อสร้างอันนักบู๊เฉียด ๑๐๐ นายเร่งทำกิจเสพเพื่อรีบไปขานชื่อยังโรงงานตน ผสานเสียงตะโกนขายเฮโรอิน ฝิ่น กัญชา ทินเนอร์ แลอึกทึกโกลาหลพาสมองนามอย่างคลางแคลงว่าผมได้มีส่วนร่วมล้มมาเฟีย ตง แซ่ตั้ง เพื่อให้มีการค้าเสรีในกลุ่มเพื่อนไปแล้วหรือ ก่อนนั้นลาดยาวมี ตง แซ่ตั้งจำหน่ายผู้เดียว ทั้งขายปลีก และขายส่ง (แดนโรงพิมพ์-วิปัสฯ-พยาบาล-ต่างประเทศ) จึงชะลอธุรกิจด้านนี้มิให้เติบโตรวดเร็วนัก

มาวันนี้ใต้ถุนตึกที่ก่อสร้างได้ ๘๐% กลายเป็น “สามเหลี่ยมทองคำ” สูสีกับแดนวิปัสสนาและแดนโรงพิมพ์อันส่อถึงการเติบโตราวติดปีกทวนกระแสเวลา ๓ สัปดาห์เท่านั้น เยี่ยงนี้ หากเพื่อนพ้องยังทำมาหากินสืบไป อะไรจะเกิดกับนักเลงนับพันคนทั่วประเทศซึ่งทยอยส่งเข้าส่วนกลางอยู่ขณะนี้ เสือจะกลายเป็นหมา นักเลงจะกลายเป็น “ชิงเลง” (โจร-นักเลงเบ็ดเสร็จ) สืบไปเมื่อ “เสือไร้สัตย์” “นักเลงไร้ศักดิ์ศรี” ผุดขึ้นกลางนรกสีเทารายแล้วรายเล่า คุกนี้มิยิ่งกว่านรกหรือ

ลำพังใจที่ถูกเผด็จการกังขังให้ต้องพลัดพรากพ่อ-แม่ ลูก เมีย อันเป็นที่รักย่อมสาหัสสากรรจ์พอแล้ว เพื่อนกลับประดังทุกขเวทนาโถมใส่ผู้ที่ด้อยทั้งปัญญาและประสบการณ์อย่างเลือดเย็น พักใหญ่ พอสำรวจภาพ “สามเหลี่ยมทองคำ” หาเพื่อนไม่พบแน่ก็ถอยจากใต้ถุนตึกออกไปดูงานด้านหลังที่ตั้งอ่างน้ำพบคนงานก่อสร้างชาย-หญิงภายนอกกำลังผลัดเปลีายนเสื้อผ้าจึงเลี่ยงไปอีกมุมที่ตั้งกองอิฐ-ทราย พอหลุดร่างกระทบสีตะวันอาบเนื้อผมถึงกับเบรวงล้อตีนกึก คราวนี้ ผมไม่ถอยไม่ฉาก ด้วยภาพเบื้องหน้าไม่เคยปรากฏแก่สายตาผม จึงหลบไปยืนบังมุมตึกยล ๒ สาวหนุ่มป้อนข้าวใส่ปากให้กันพลางยิ้มแย้มหยอกเอิน ก็ปลื้มที่กำแพงคุกมิได้ขวางใจรัก ๒ สาวหนุ่มต่างสถานนะกัน

เสียงระรัวแผ่นเหล็กกังวานมาจากหน้าตึกที่ตั้งเครื่องโม่ปูนขนาดใหญ่ สาวก่อสร้างวัย ๒๐ ปี สวยแบบชนบท ภายในชุดรัดกุมเปื้อนคราบปูนเป็นรอยด่างทั้งยังคลุมหัวด้วยผ้าขาวม้าพันจรดคอพรางโฉมและทรวดทรงไหวร่างวางช้อนคืนปิ่นโต ข้างฝ่ายหนุ่มตัดผมสั้นทรงลานบิน หน้าตาคมเข้ม ผิวเหลือง รูปกายล่ำสัน สูงไม่เกิน ๑๖๕ ซ.ม. หรือ แอ๊ด ยังส์วัน บุคคลอันธพาลระดับดี ๑ ประเภท ๑ ติดอันดับนักบู๊รุ่นใหม่เพราะเตะ “รงค์ วันชาติ” เจ้าพ่อย่านสะพานวันชาติ กับ “ป๋า สุบิน” เจ้าของกิจการค้ากามยานเดียวกันคว่ำทั้งคู่

นอกจากจะมีชื่อในกลุ่มนักบู๊แนวหน้าแล้ว เพื่อนยังเป็นตีนแมวดังแห่งยุคผู้บังอาจบุกขึ้นบ้าน “๑ ใน ๔ เสือรัฐประหาร” พลตรีขุนจำนงฯ กระทำโจรกรรมเป็นที่เรียบร้อยจนสารวัตรวิเชียร แสงแก้ว สวญ. สน. นางเลิ้ง (ตำแหน่งขณะนั้น) ล่าตัวเข้าลาดยาว ซึ่งบัดนี้คงรู้ว่าสาวงามถึงเวลาทำงานแล้ว ได้ลุกไปหยิบหมวกสานเก่าคร่ำที่แขวนไว้หัวเสาไปยื่นส่งให้ ผมไม่ได้ยินคำบอกนักบู๊เห็นแต่ยิ้มของเขาที่ให้กับสาวหลังรับหมวกไปถือหวานจ๋อย

จู๋ๆ ปรากฏสิ่งเคลื่อนไหวบนกันสาดเหนือหัว ผมเงยหน้าขึ้นมองก็ปะผู้ที่ผมกำลังตามหา เช่น มหาเหน่, แอ๊ด, รุ่ง และนัน กำลังไต่ลงจากกันสาด ทว่าพอทั้ง ๔ นายมองเห็นผมยืนอยู่เบื้องล่างถึงกับหน้าเปลี่ยนสีบอกพิรุธชัดเจน จนเสือเฒ่ายอดแหลมโดดลงมาเป็นรายแรก ผมทักทายขึ้น

“หวัดดี มหา ผมมาชมกิจการ ไม่มีธุระอื่นหรอก”

เจตนาจากคำบอกผมยิ่งทไให้ผู้อาวุโสกว่าชักตีหน้ายาก ผมเสริมตัดปัญหาด้วยกิริยาและน้ำเสียงปกติ

“ที่นี่คงขายดีพอกับโรงพิมพ์สินะ คนเพียบเลย”

“ก็พอายอยู่หรอก เปี๊ยก ถ้ามีพ่อค้าน้อยกว่านี้”

มหาเหน่ชี้ภัยข้างหน้า ซึ่งตัวแกเองอาจมิได้คิดพอเสือเผ่น, นัน, รุ่ง, พากันลงจากกันสาดหมด ผมหาเหตุคลายความอึดอัดของทุกคนในเวลาต่อมา

“เดี๋ยวเราขอตัวไปพบพี่ลอหน่อย ป่านนี้แกคงเข้ามาถึงทำเนียบแล้ว…ไปก่อนละ”

ผมยิ้มแก่ทุกคนพร้อมย่ำกลับทางเดิมกลางแดดจ้า ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เริ่มออกปฏิบัติงานทั่วทุ่งแลหัวดำเป็นพรืด พวกขุดบ่อเลี้ยงปลานิล ปลาสวาย ปลาหมอเทศ ปลาสลิด ก็โถมแรงขุดกันลงไป ดินเหนียวก้อนขนาดตู้ทีวีอันนักขุดแทงมือเยี่ยมขุดขึ้นมาจะถูกนักบู๊ปากบ่อแบกไปถมยังที่ลุ่มห่างจากแหล่งขุดประมาณ ๕๐ เมตรเป็นแถวดั่งทาส

ท่อนบนเปลือยเปล่าของพวกเขาเหมือนอาบดินโคลนยันเส้นผม บางคนใช้ผ้าขาวม้าคลุมหัวกันเปื้อนหรือพรางแสงแดด ส่วนท่อนล่างห่อไว้ด้วยกางเกงขาสั้นสีลูกวัวยาวจรดเข่า แต่คงไม่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวต่างพับขาขึ้นไปถึงง่ามก้นบางรายลงทุนนุ่งลิงตัวเดียวโดดๆ อาบดินอย่างไม่ระย่อ ก็คิดถึงนักบู๊ ๑๐๐ นายที่ลงจากขังเดี่ยวบอกปัดงานพัฒนาแดนเกษตรเพื่อหาประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำประโยชน์ทั้งกบาลเลยอลหม่าน เพราะความจริงแล้ว เดิมทีผมกำลังเดินงานมิให้ท่านผู้ปกครองมีคำสั่งใช้แรงงานอดีตนักบู๊ขังเดี่ยวด้วยหวั่นเรื่องอาจลุกลามใหญ่โต หากนักบู๊กระด้างกระเดื่องไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งท่าน ตกถึงตอนนี้ผมกลับประสงค์ให้มีคำสั่งดังกล่าวออกมาชี้ชะตากรรมเพื่อสร้างเหตุให้มองหาช่องสานความคิดดึงพลัง เพื่อน พี่ ทวงเสรีภาพขณะที่คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังร่างกฏหมายนิรโทษกรรมแก่นักโทษทั่วราชอาณาจักรอยู่

พอเดินอาบแดดลมฝันกลางวันเข้าใกล้ตัวทำเนียบ สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผมเกิดจากความพลุกพล่านของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กับตำรวจพร้อมผู้รักษาระเบียบชุดน้ำเงินรอบๆ ที่ทำการ สังเกตว่ามีการยกโต๊ะเก้าอี้บนที่ทำการลงไปตั้งตรงเชิงบันไดซีเมนต์ ซึ่งตัวอาคารบังแสงแดดไว้จึงเกิดความร่มรื่น ที่ระเบียงด้านหน้าทำเนียบมีชายสูงอายุร่างใหญ่ เค้าหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วหนา นุ่งกางเกงขายาวสีกากี สวมเสื้อยืดสีขาวตัวเดียวกำลังยืนเท้าเอวจ้องตาเขม็งมองไปเบื้องล่างลานปูนซึ่งมีอดีตนักบู๊ขังเดี่ยวประมาณ ๑๐ นายนั่งขัดสมาธิเป็นแถวก้มหน้านิ่ง ผมเดินหลบไปนั่งสังเกตการณ์อยู่หัวตึกที. เก่า รับลมทุ่งโกรกจนเหงื่อแห้ง ครู่หนึ่งสัญญาณนกหวีดระเบ็งเสียงโต้เสียงเครื่องโม่ บริเวณรอบๆ ทำเนียบปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจราชทัณฑ์ และผู้รักษาการระเบียบกำลังตั้งแถวติดกระบองไว้กับเอวครบครัน

หัวหน้าลอ หรือพี่ลอยืนถือกระบองขนาดเขื่องอยู่หน้าแถวเจ้าหน้าที่ สั่งความให้ตามตัวอดีตนักบู๊ขังเดี่ยวที่เหลือมาให้หมดเจ้าหน้าที่ทุกคนได้แยกกำลังเป็น ๕ กลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๑๐ นายออกตามตัวนักบู๊อีกราว ๙๐ นาย ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วนรก ๕๐ ไร่ทันควัน เขากลับยืนสงบนิ่ง นัยน์ตาแดงก่ำลุกจ้า

“เราพูดกันดีๆ แล้วนะว่าท่านผู้ปกครองให้มาตาม” สิบตำรวจเอกวัย ๓๕ ปีบอกเสียงสะท้าน

“เอาไว้คอยหามผมไปดีกว่า”

สิ้นคำ ปลายกระบองขนาดข้อแขนกลมดิกในมือสิบตำรวจเอกเจ้าเก่า ซึ่งใช้ทิ่มหลังตี๋ศักดิ์อยู่เดิมกระตุกแล้วกลับฟาดเปรี้ยงเข้ากลางแผ่นหลังเขาดังตึ้บนักบู๊ตรอกศิลป์สะดุ้งอกแอ่นหน้าแหงนเซหลุนๆ ไปข้างหน้าลักษณะเสียศูนย์ ผู้หมู่จี้ตามหมายกระหน่ำไม้สอง ผมเผลอตัวตะโกนลั่น

“ตี๋ศักดิ์ ระวังหลัง”

จำเลยข้อหากระด้างกระเดื่องยังคงสติครบดีดีดตัวเองฉากออกขวาพร้อมหันกลับประจันหน้าโจทก์ ซึ่งฟาดไม้สองวืดข้ามตัวตนไปฉิวเฉียดพลอยเสียหลักจึงเปิดช่องให้จำเลยหุ่นล่ำสันโจนเข้าประชิดร่างปล้ำแย่งกระบองพัลวัน

การปล้ำฟัดชิงกระบองกลางแดดได้เพิ่มรสชาติเมื่อต่างใช้ชั้นเชิงมวยไทยเล่นลูกวงในล้ำหน้ากติกานิดหน่อย เช่น ใช้หัวขวิด อักเข่าใส่พวงสวรรค์และสับศอกสั้นประเคนใส่กันราวมวยบ้า เมื่อความมันอุบัติเร่าๆ กลางแดดจ้าเช่นนี้ ไฉนเลยจะขาดเเรงเชียร์จากผู้ชมซึ่งมีทั้งนักเลง ราชทัณฑ์ และตำรวจนับร้อย ดังนั้นคลื่นเสียงคนภายในแดนจึงเรียกเจ้าหน้าที่กับผู้รักษาระเบียบจากส่วนกลางยกโขยงเข้าแดนอีกราว ๒๐ นาย ครู่หนึ่งเสียงเชียร์จากนักบู๊ได้มุ่งแซวฝ่ายตรงข้ามคล้ายเยาะหยันเจ้าหน้าที่ชักดังกระหึ่มโสต
“ตี๋โว้ยกัดแง่งโว้ย”

อึดใจสถานะปล้ำฟัดพาเอานักมวยล้มครืนไปด้วยกันเรียกเสียงฮือฮาเกรียวกราว ทว่าความหนุ่มแน่นกับประสบการณ์ของตี๋ศักดิ์มีสูงจึงพลิกร่างผู้หมู่ล้มลงก่อน วิบตา ช่วงกำลังกอดปล้ำบนสนามหญ้า กระบองตำรวจถูกตี๋ศักดิ์กระชากหลุดจากมือโจทก์ได้ก็ลุกพรวดขึ้นยืนจังก้าจี้กระบองในมือห่างใบหน้าตื่นตระหนกของผู้หมู่ที่ขยับก้นถอยหนีฟุตเดียว

“เด็ดหัวมันซะ ไอ้ตี๋”

ใครไม่ทราบตะโกนยั่วยุ ผมส่ายตามองหาบุคคลสำคัญสักท่านยุติเหตุร้ายกลับพบการเคลื่อนไหวฝ่ายเจ้าหน้าที่หน้าโรงเลี้ยงค่อยๆ เบียดแทรกเข้าใกล้ที่เกิดเหตุก็ดึงสายตากลับไปยังลุยไถ ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่ราชทัณฑ์หนุ่มนายหนึ่งโยนกระบองอีกอันไปให้หัวหมู่

พลันเสียงอื้ออึงเงียบกริบ นัยร้อยดวงตาจับยังร่างผู้หมู่ทิ้งก้นกับพื้นสนามหญ้าห่างจากกระบองอันใหม่เมตรเศษเป็นตาเดียว ผมลอบหายใจเก็บกดจนหน้าตึง บรรยากาศรอบตัวเงียบงันอึมครึมแม้เป็นวันที่แดดใส ทันใดนั้น ร่างเล็กเพรียวเจนตาผมดีก้าวออกไปยืนโดดเด่น

“พี่ยอด” นักบู๊ข้างกายขานนาม

หนุ่มใหญ่ร่างเล็กเพรียวอันเค้าหน้าผิวพรรณสดใสบอกสกุลหรือเจ้าสำนักประตูน้ำยกมือขวาลูบเคราที่เลี้ยงไว้พลางกล่าวหนักแน่น

“ตี๋ศักดิ์ ให้โอกาสหมู่แกหยิบไม้เถอะวะ นักเลงมันชนะกันที่ใจ เชื่อพี่เหอะ”

วาจา ยอด ประตูน้ำคงขลังดุจเคย ตี๋ศักดิ์ขยับถอยหลังออกห่างคู่ต่อสู้ สิบตำรวจเอกวัยฉกรรจ์คลานไปคว้ากระบองติดมือได้ลุกผาง นักบู๊ชาร์จเข้าใส่ แต่เสียงปานฟ้าผ่าเบรกฉับ

“หยุดนะ ไอ้ตี๋ศักดิ์”

ร่างสูงกำยำกระตุกยึก ถ้วนหน้าจับตายังร่างผอมเกร็งในเครื่องแบบพัศดีตรีวัย ๕๐ ปีหรือป๋าหง่าผู้บังคับแดนใจนักเลงแทนนักมวย

“ทิ้งกระบองในมือซะ ให้มันรู้บ้างว่ามึงเป็นใคร” ป๋าหล่นคำเบาลง หนังแก้มยับย่นเต้นระริก

จำเลยปักขายืนนิ่งขึง สายลมทุ่งโชยเอื่อยๆ

“ป๋าบอกให้ทิ้งกระบองลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเห็นดีแน่”

เงียบเชียบ ครู่ใหญ่ร่างสูงกำยำตัดใจโยนอาวุธไปยังพื้นสนามใกล้ตีนป๋า พลัน…ผู้หมู่คู่ศึกเกิดร้อนจนลืมคิดโผนเข้าหวดกระบองไส่ตี๋ศักดิ์ในวิบตา ผู้คนแตกกระเจิง ส่วนนักบู๊มือเปล่าพยายามยกท่อนแขนรับไม้ที่ตีไม่ยั้งพลางแผดร้องโหยหวน นักเลงลาดยาวหุบปากสนิท ไล่ๆ กัน ร่างเล็กเพรียวเจ้าสำนักประตูน้ำปราดเข้าโรงเลี้ยงคล้ายไม่ประสงค์ชมภาพบาดใจ พอรับร่างพี่ยอด ทั้งคอสิงห์กับโล่เขนนับสิบปรี่เข้า “ยำใหญ่” ตี๋ศักดิ์ในบัดนั้น

ผมสอดมือขวากุมด้ามเหล็กข้างเอวเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกร้อนผ่าวที่เบ้าตาพยายามปันจิตคิดถึงพระคุณเจ้าหลวงพ่อ เพื่อยั้งมิให้ก่อเรื่องอุกฤษฎ์ก่อนใคร ก็ปรากฏมือลึกลับโยนกระจ่าตักแกงไม่ทราบจำนวนให้นักบู๊หน้าโรงเลี้ยงพร้อมสำทับกร้าว

“ลุยไล่ตำรวจอกจากแดนให้หมด”

ไฟอารมณ์ร่านร้อนนักบู๊ที่รอเชื้อปะทุ และการตัดสินใจจากผู้ที่ตนให้ความนับถือทุกขณะจิตลุกโชน ต่างโผนเข้าโชว์เพลงกระจ่าดุ้นขนาดแขนต้านเพลงกระบองเจ้าหน้าที่จนเผ่นหนีออกประตูแดนจ้าละหวั่น พวกที่ถูกกระจ่าหวดถึงคว่ำ ๔-๕ นาย บัดนี้ถูกหามใส่รถบรรทุกถังข้าวเข็นออกไปจอดไว้หน้าประตูแดนแล้ว ตี๋ศักดิ์ถูกพรรคพวก ๔ คนหามร่างโชกเลือดไปนอนบนโต๊ะกินข้าวภายในโรงเลี้ยงให้แพทย์ใหญ่ประจำคุกนักเลงนามเก๊าตี๋เยียวยาเย็บแผลบนกบาลกันสดๆ จนสุดธาตุคนทนเจ็บได้ก็ครางครวญตามวิสัย หลายคนที่หัวแตกเล็กน้อยได้ใช้ยาฉุนโปะอุดปากแผลไว้ บรรดารุ่นอาวุธโสเช่น พระเอกนิตย์, เกชา, เกเตอร์, หาญ บางรัก, นิตย์ บางลำพู, กาญจน์ ประตูน้ำ, เฮียจีน, พี่ตุ และพี่ยอด ประตูน้ำ ล้วนอยู่ให้กำลังใจคับคั่ง ป๋าหง่าผู้บังคับแดนซึ่งเป็นบุคคลที่นักบู๊นับถือมิได้ถูกขับออกจากแดนได้เดินตักเตือนลูกๆ ทั่วโรงเลี้ยงอย่าได้แข็งขืนกับอำนาจกฏหมายบ้านเมืองเขาเลยมันจะทุกขเวทนาไปกว่านี้

เที่ยงตรงป๋าหง่าถูกฝ่ายทำเนียบเรียกตัวไปพักใหญ่ ได้กลับเข้าแดนพร้อมกับคำสั่งท่านผู้ปกครองมีคำเชิญเจ้าสำนักดังทุกท่านพบที่ทำเนียบ ก็เกิดปฏิกิริยาคัดค้านจากหลายฝ่าย พาเอาเจ้าสำนักหลายท่านกระอักกระอ่วม จวบร่างผอมโกรกเพราะพิษเฮโรอินกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหารด้วยน้ำตานองหน้าผมกระเชิง

“ไอ้ลอ แท็กซี่” หลายคนพึมพำ

และโดยไม่มีการเกริ่นนำ แท็กซี่ลาดยาวหยุดคำเสียงพร่าสั่น น้ำตาร่วงเผาะ

“ผมคิดว่า วันนี้มันควรเป็นวันที่พวกเราน่าจะประท้วงให้รัฐบาลกำหนดเวลาปลดปล่อยเสียที ผมกราบเท้าทุกคนละครับ โปรดอย่าคิดว่าผมบ้า พวกเรามีพ่อ-แม่ ลูกเมียทุกคนกำลังลำบาก เราชั่วร้ายขนาดไหนเขาถึงขังไม่มีกำหนด เราทำงานหนัก กินนอนอย่างหมูหมามาเกือบ ๕ ปีแล้วนะครับ ถ้าพวกเราไม่สู้วันนี้แล้ววันไหนจึงจะไปจากที่นี้ได้”

โถ….หลอเอ๋ย แม้เพื่อนได้ชื่อนักเลงชั้นสวะโนเนมเป็น ขี้ยาประดับคุกแต่เพื่อนคืนคน มนุษย์ชาติที่ “อำนาจ” กักขังได้เพียงกาย มิใช่หรือ?

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: