3791. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 50 สลายพิษมังกร (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

สลายพิษมังกร

“รู้ที่เกิด แต่ไม่รู้ที่ตาย” ประโยคนั้น ภิกษุขาน อาจมองเหมือนปลงและหากนักรบกล่าวอาจสื่อไปถึงความทระนงเยี่ยงทหารชาญสงคราม แต่ความจริงแล้วคนใน “บางขวาง” นาม เก๊าม้าเก็ง พูดที่โรงแรมดำรงรักษ์กับ คู่ชี้ หมึกตรอกทวาย เจ้าสำนักย่านสวนมะลิขณะผิดเส้นกับ ล้อวงเวียนฯ จากเหตุดึงตี๋น้อยไปคุมบ่อนของตนเมื่อ ๓ ปีก่อน ซึ่งครั้งนั้นทั้ง ๒ มังกรไม่ประกาศศึกต่อกันเพราะ เฮียหลอน่ำแช กับ เฮียโง้ว ๒ ปรมจารย์นักบู๊พร้อมนายตำรวจระดับอัศวินฉายา อัศวินสิงห์ลำพอง เคลียร์หน้าเสื่อให้จวบมังกรม้าเก็งเอ๋าพลาดเกมคดีฆ่าอยู่ในบางขวางดังกล่าว

ถึงวันนี้ หลังเกิดเหตุปล้นเซียนพนันแดนโรงพิมพ์มหาดไทย เมื่อวันเสาร์อุบาทว์แล้ว ดาวรุ่งพุ่งแรง มังกรดังสะพานเหลือง โอเหล่ เหลือทนการเดินเกมล้มมาเฟียของรุ่นใหญ่ล่าช้าประกาศผาง

“ไม่มีใครตาย ๒ ครั้งหรอกวะ”

และแล้วคำประกาศนักบู๊สะพานเหลืองมีผลใน ๒ วันต่อมา ดังนั้น เที่ยงวันนี้จึงมีชาวยุทธ์ชื่อดังหลายคนมาติดต่อผ่านพวกเรา ๓ คน อันมี มหาเหน่ แอ๊ด และผม เพื่อเดินเรื่องถึงพี่ตุ๊บนขังเดี่ยวเกี่ยวกับความอัปยศที่ชัย โพธิ์สามต้น ถูกมาเฟียยาเสพติดปล้นเงินพนันไปอีกครั้ง กลับไม่ปรากฏว่าซือเฮียฝั่งธนบุรีสำแดงความเห็นฝากลงมาถึงชาวยุทธ์ที่แห่มาฟังผล จึงมีหลายนามไม่สบอารมณ์ต่อการตัดสินใจของแก เช่น โอเหล่, ตาล สุทธิสารฯ, เหล็ง แพร่งฯ, อ๊อด หมอเหล็ง และเต็งโก้

ต่อมา พอกลุ่มชาวยุทธ์ออกพ้นไปจากแดนยามตะวันต้นฤดูหนาวตรงหัวเผง ผู้บังคับแดนหรือ “พี่ลอ” ได้เรียกผมเข้าไปในที่ทำการจ้องตาวาวเลยนั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานไม่ลง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” วาจาแรกของนาย

ผมตอแหลนายครั้งแรก “เขามาเยี่ยมพี่ตุ๊มาแสดงความดีใจที่แกจะได้ลงจากขังเดี่ยวในวันที่ ๒๓ ตุลาคมนี้ครับ”

“เมื่อ ๒-๓ วันก่อนเปี๊ยกรู้ข่าวแดนอัธพาลมีเรื่องกับแดนโรงพิมพ์หรือเปล่าเห็นว่ามีพวกไอ้ตงกับไอ้ชัยไม่ใช่หรือ” นายพุ่งเข้าประเด็น

“ผมก็ทราบอย่างที่เขาพูดๆ กันครับ” แจ้งเท็จปกป้องเพื่อนคำรบสอง

พศดีผิวคล้ำ กร้านลมแดดเบนสายตาออกไปนอกที่ทำการ ผมถือวิสาสะขยับไปทรุดลงนั่งยังเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวเอง เจ้านายจุดบุหรี่สูบ สายลมเที่ยงทุ่งบางเขนพัดอู้ ฝุ่นดิน ฝุ่นลูกรังลอยคลุ้ง พักใหญ่ ผบ. แดนกล่าวเรียบๆ

“ตอนบ่ายนี้จะมีอันธพาลจากภาคใต้ ภาคกลางมาส่งที่นี่อีกไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ คน และยังมีตามมาอีกเป็นรุ่นๆ ท่านผู้ปกครองอาจย้ายพี่ไปทำงานพัฒนา เปี๊ยกจะสู้แดดกลางทุ่งกับพี่ไหมล่ะ”

ตอบโดยไม่ต้องคิด “พี่สู้ผมก็สู้ครับ”

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะไอ้หนุ่ม” ลูกพี่ติงจ้องหน้าผมเขม็ง “งานพัฒนาที่ว่านี่น่ะเป็นงานกลางแจ้ง แรงงานทั้งหมด ๑๐๐ คน เปี๊ยกสามารถควบคุมดูแลให้เขาทำงานตามที่พี่กำหนดได้หรือ”

คำบอกเจ้านายประโยคนี้พาเอาอึ้ง เพราะจำนวนผู้ใช้แรงงานพัฒนาในอนาคตเท่ากับจำนวนนักศึกษาต้องทัณฑ์บนขังเดี่ยวพอดี สักครู่ ด้วยอาการไตร่ตรองของผม พศดีผู้บังคับแดนเปิดตัวกรรมกรงานพัฒนาสุ้มเสียงเดิม ควันบุหรี่ลอยกรุ่นออกจากปากจมูก

“หน่วยงานพัฒนาที่ท่านผู้ปกครองกำหนดขึ้นก็เพื่อบุกเบิกที่ท้องนาว่างเปล่านั่นให้เป็นแดนเกษตรฯ จึงต้องใช้แรงงานถึง ๑๐๐ คน ทว่าแรงงานที่เราได้รับมันเหมือนมีแค่ ๑๐ คน”

“ทำไมล่ะครับ”

เจ้านายหยีตาที่เล็กอยู่แล้วแทบปิดสนิท ยิ้มเนือยๆ ดับบุหรี่บนจานรองบอกเสียงขึ้นจมูก

“แรงงาน ๑๐๐ คนนั่นมันพวกถูก “ขังเดี่ยว” ขณะนี้ทั้งนั้น…หยั่งงี้ไม่เท่ากับใช้แรงงาน ๑๐ คนหรือวะ”

อีกครั้งที่ผมจำใจสงบคำ นั่นด้วยแรงงานแต่ละท่านบนขังเดี่ยวล้วนขึ้นทำเนียบ “ดารา” ประจำลาดยาว ไม่มีหน่วยงานใดประสงค์รับไว้ฝึกวิชาชีพ เพราะทุกนามยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘งาน’ ที่บรมครูฝึกสอนนั้นมันออกไปประกอบอาชีพยังสังคมโลกแล้วเลี้ยงลูกไม่โตแน่ นอกเสียงจากจะบังคับแม่ของลูกเป็นกะหรี่

(ลาดยาวยุคนั้น รับจ้างทำกล่องไม้ขีด พรมเช็ดเท้า สานเข่งใส่ผลไม้ ทำตะกร้าหวาย สานเข่งปลาทู ทำกระดาษไหว้เจ้า ช่างไม้ และโรงพิมพ์มหาดไทยยุคนี้ทราบว่างานฝึกอาชีพดังกล่าวยังมีอยู่แต่ “โละ” ไปให้นักโทษคดียาเสพติดทำ) ในช่วงเวลาเดินทางของความคิด ผมลอบเฉียงตามองพัศดีตรีผู้ที่เพื่อนพ้องบอกเป็นมือขวาท่านผู้ปกครองอย่างเข้าใจ และเห็นใจตำแหน่งงานในอนาคตท่านอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าหลุดคำยืนยันจะสามารถควบคุมงานพัฒนาแดนเกษตรฯ ได้อย่างมั่นใจกับแรงงานคนที่ไม่ค่อยยอมลงให้ใครจำนวน ๑๐๐ คนนั้น

“ถึงจะรู้ว่า ‘งาน’ ข้างหน้ามีอุปสรรค พี่ก็ต้องทำตามคำสั่ง” เจ้านายสรุป

“ผมจะพยายามช่วยพี่จนสุดความสามารถครับ”

ท่านยิ้มนิดเดียว ทีท่าห่อเหี่ยว ประกายในดวงตาบ่งความเหนื่อยล้า ผงกศีรษะ ๒ ครั้งแล้วก้มลงใส่เกือกเตรียมออกไปรับประทานอาหารกลางวันตามปกติ

ลับร่างนาย ผมคงนั่งอยู่ในที่ทำการบัญชีส่งยอดผู้รับการอบรมประจำแดนสวงนโต้ลมทุ่งเพียงลำพังผู้เดียว ส่วนหัวหน้าตึกเจ้าหน้าที่ตำรวจยศจ่าวัย ๔๐ ปี ปูเสื่อนอนผึ่งพุงอยู่ท้ายตึก พักใหญ่ ตะวันคล้องดวงไปทางทิศตะวันตก แดนสงวนอันต่ำต้อยได้ปรากฏเจ้าสำนักระดับอาวุโสนามพระเอกนิตย์ และซือเฮียยอด ประตูน้ำพร้อมบริวารราว ๑๐ นาย ยืนเจรจาความกับตำรวจรักษาการณ์หน้าประตูแดน จึงลุกออกจากที่ทำการไปต้อนรับก็ทราบว่า ๒ เจ้าสำนักดังมาขอเยี่ยมพี่ตุ๊ แต่ผู้หมู่วัยเดียวกับผมไม่รู้จัก ๒ เจ้าพ่อ อีกทั้งเห็นว่ายกขบวนกันมาเป็นสิบเลยไม่ให้ผ่านจึงเตร่เข้าไปหมายกระซิบผู้หมู่ให้เปิดผ่าน พอขยันเข้าไปใกล้ป้อมกลับทำตาขวางก็จำปล่อยให้นักบู๊ท่าเตียนกับประตูน้ำ “หาม” ผู้หมู่ตามหลัง ๒ เจ้าสำนักขึ้นขังเดี่ยวท่ามกลางการดิ้นรนขัดขืนของผู้หมู่เต็มเหนี่ยว

และเมื่อรุ่นใหญ่เข้ามาได้ ผมก็ไขกุญแจให้ขึ้นตึก เพียงแต่ขอให้ขึ้นไปเพียง ๒ ท่านคือ พี่นิตย์กับพี่ยอด ขืนยกโขยงขึ้นไปทั้งขบวนจะพาให้ผู้รักษากุญแจตึกขัง เช่น มหาเหน่, แอ๊ด และผมถูกขังแทนพี่ตุ๊ ๑๐๐% ซึ่งเพื่อนฝูงทุกนามต่างเห็นใจ เข้าใจฐานะของเราล้วนรอกันอยู่ท้ายขังอย่างสงบ มหาเหน่จัดการปิดประตูพลางบ่นพึม

“เรื่องนี้พี่ลอรู้เต็มตีน”

เสือเผ่นยื่นหน้าไปย้อนใกล้หูเสือเฒ่า “เมื่อกี้มหาเหน่ไม่เบรกพี่นอตย์กับพี่ยอดเสียเองล่ะ”
อดีตนักโทษ “ยอดแหลม” (เคยต้องคำพิพากษาศาลให้กักกันต่อจากโทษเดิมฐานมีสันดานเป็นโจรก่ออาชญากรรม “ล้วง-ผ้า-ตัดกระเป๋า” เป็นเวลา ๕ ปี ยังเรือนจำจังหวัดนครปฐม) เงียบกริบ ต่อมาผมละจากท้ายขังไปยืนมองกระดานดำระบุนามนักบู๊บนขังเดี่ยวจำนวน ๑๐๐ คน ฆ่าเวลาให้ ๓ อาวุโสเจรจาความกันประมาณ ๑๐ นาที ทั้ง ๒ เจ้าสำนักได้กลับลงมาทีท่าเคร่งขรึม เสือเฒ่าปราดเข้าไปหา เสนอตัวสั้นๆ

“คุณนิตย์กะคุณยอดมีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะครับ อย่างเกรงใจ”

ผมกับแอ๊ดเข้าสมทบ พี่ยอดกล่าวแก่ผู้สูงอายุกว่านุ่มนวล

“ลุงเหน่ช่วยไปบอกเด็กๆ ของผมหน้าแดนโรงพิมพ์คอย ‘กัน’ อย่าให้ไอ้ชัยกับเด็กของมันออกจากแดนเด็ดขาด ผมกับคุณนิตย์จะจัดการเรื่องทั้งหมดให้…อย่าออกมาเด็ดขาดนะลุงเหน่ ช่วยย้ำกับพวกนั้นด้วย ไม่เช่นนั้นเรื่องใหญ่”

“ครับ ผมจัดการให้”

เสือเฒ่ารับคำพร้อมฉากลงจากตึก ผมกับแอ๊ดเดินตามหลังผู้อาวุโสลงบันไดไปรับรังสีตะวันยามบ่ายท่ามกลางคำถามจากนักบู๊สาวก ๒ เจ้าพ่อถึงการตัดสินใจของเจ้าพ่อย่านธนบุรี กลับพบสีหน้าแกเครียดกว่าเดิม เฉพาะเจ้าสำนักท่าเตียน พระเอกนิตย์ ผู้เคยสะบัดใบมีดโกนสู้ศึก “ฉลาดขาว” แบบ “วันบายกลุ่ม” กระเดื่องเมืองมาแล้ว นัยน์ตาแดงก่ำพลางสะกิดแขนพี่ยอดผละจากกลุ่มสาวกไปย่นเจรจาความกันข้างๆ ป้อมยามตำรวจ บรรดาชาวยุทธ์จึงได้แต่เบิ่งตามองพร้อมเดาการตัดสินใจผู้นำ

ผมเองก็ใช้ปัญญา เพราะได้สังเกตท่าที่กระอักกระอ่วมประดารุ่นใหญ่มาหลายท่านพบล้วนมีทีท่าไม่ต่างกัน ส่วนสาเหตุตามความเห็นผมมองไปว่า “รุ่นใหญ่” เกิด “อัตตา” ซึ่งมีอยู่ในใจนักบู๊รวมทั้งผมด้วย และ “อัตตา” ในที่นี้ก็หมายถึง”ศักดิ์ศรี” เพื่อนร่วมรุ่น นับเนื่องจามชื่อเสียง และบารมีแล้ว “เฮียจีน” นั้นอาวุโสกว่า “เกชา เกเตอร์” หากเทียบรุ่นก็รุ่นเดียวกับ “พี่รุ่ง หัวลำโพง” หรือ “นิตย์ ท่าเตียน” ดังกล่าวเป็นบารมีที่ “เฮียจีน” สั่งสมมายาวนับ ๑๐ ปี เคยคลุกคลีเที่ยวเตร่ เคยนอนตีฝิ่นสูบร่วมกับรุ่นใหญ่หลายคนและเคยแม้กระทั่งร่วมผสานกันต้านอิทธิพลอั้งยี่อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ เยี่ยงนี้ มิถือ “มีสุขร่วมเสพ มีภัยร่วมต้าน” แล้วจะขานประการใด จริงอยู่เป้าหมายแท้จริงนักเลงทุ่งบางเขนหมายล้มล้าง ตงแซ่ตั้ง นักค้าเฮโรอิน ทว่าตง แซ่ตั้งมิได้ลอยตัวค้ายาอุบาทว์กับสร้างอิทธิพลเพียงลำพัง นักค้าผู้ยิ่งใหญ่มีฐานสนับสนุนจากเจ้าพ่อโรงหวยซึ่งใครก็รู้ เหล่านี้กระมังที่พี่นิตย์และพี่ยอดไม่กล้าลงดาบทีนที พักใหญ่พี่นิตย์ได้เรียกบริวารเข้าไปสั่งการ ครู่เดียวทั้งกลุ่มพากันออกจากแดน จากนั้นพี่ยอดกวักมือเรียกผมกับแอ๊ดไปหา

“น้อง ๒ คนกลับไปในแดนบอกโอเหล่กับตี๋น้อยอย่าทำเรื่องใหญ่เกินไป พี่ขอร้องเท่านี้แหละ”

“ครับ” ผมรับคำ

พอรับงานซึ่งผมกับแอ๊ดเห็นพ้องด้วยทุกประการมาดำเนินการก็ไม่ชักช้าทั้งๆ ที่ไม่ทราบขั้นตอนทำงานหรือแผนของเพื่อนพ้อง

ตะวันบ่ายต้นฤดูหนาวร้อนระอุ เรา ๒ คนผ่าน “ทำเนียบ” ที่ทำการแผนกปกครองอันมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั่งทำงานเช่นปกติ บรรดาผู้รักษาระเบียบชุดน้ำเงินแขวนกระบองไว้ข้างเอว ๕-๖ นายเตร่รับใช้อยู่หน้าทำเนียบ ถนนทุกสายร้างมนุษย์ บนตัวอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้างรูปตึกตัวที ตามแบบแปลนซึ่งวางไว้ ๖ ตึกขังยังค้างอีก ๒ หลัง มีนักศึกษาอาชญาวิทยาเรือนร้อยขายแรงงานแลกเงินวันละ ๑๐ บาท ร่วมกับกรรมกรก่อสร้างภายนอกชายหญิงประมาณ ๕๐ คนตัวเป็นเกลียวเสียงเลื่อยกบ สว่านไฟฟ้าระคนเสียงเครื่องโม่ผสานเสียงแหกปากตะโกนโหวกโวยดังไม่ขาดหู จวบเราทอดตีนกลับหัวมุมทำเนียบภาพที่เห็นในระยะ ๑๕๐ เมตร เปิดจากปากเสือเผ่น

“หน้าประตูแดน มีพวกเราเพียบเลยว่ะ”

จริงของเพื่อน บริเวณหน้าประตูแดนซีกขวาใต้เงาตึกชุมนุม เสือ สิงห์ กระทิง มังกร พร้อมพรักแต่ที่อยู่ระดับดารามีโอเหล่-เหล็ง แพร่งฯ-ตาล สุทธิสารฯ-สิงห์ ซาวอย-เต็งโก้-เก๊าตี๋-ธวัช สะพานขาว-จ่าดอน-หมู่เทียน-เก๊าเล็ก-อ๊อด หมอเหล็ง-จบ หลังวัง-มาน เจริญผล-เกียย้ง-ทุม แซ่ฉั่ว และเกเห่า

ดังนั้นในฐานะถือสารเจ้าสำนักคำอนุมัติคำร้องขอ ผมจึงแจงเหตุให้ทุกนามกระจ่าง ครู่เดียวทั้งหมดก็แบ่งกำลังออกเป็น ๒ กลุ่ม ต่อมาผ้าห่มผืนหนึ่งปูคลุมหญ้าอยู่ข้างตึกถูกโอ้เหล่กระตุกเปิดให้เห็นไม่คมแฝกและกระบองวางก่ายทับหญ้าประมาณ ๒๐ อัน พร้อมคว้าคมแฝกขนาดเขื่องกว่าทุกอันส่งให้ตี๋น้อย

“อย่าลืมนะเพื่อน ทุกคนจะต้อง ‘กัน’ เด็กของมันให้ตี๋น้อยเข้าตีให้ได้ส่วนไอ้ตงใครถึงตัวก่อนเล่นได้เลย….เปี๊ยกกับแอ๊ดจะร่วมไหม ล้างอิทธิพลกันซะที”

ครั้งนี้ แอ๊ดกับผมเต็มใจไปเลือกไม้ให้เหมาะกับมือพร้อมผองเพื่อนเหล่านักบู๊ซ่อนไม้เสียบไว้ด้านหลังใช้เสื้อพรางแล้วทยอยผ่านเข้าแดนอย่างสงบ พลัน!…หนุ่มหนึ่งยืนเปลือยท่อนบนเตร่อยู่ข้างป้อมตำรวจ กระโจนผ่านหน้าพวกเราเข้าโรงเลี้ยงส่อพิรุธ

“บุกโรงเลี้ยง”

นักบู๊สะพานเหลืองลั่นคำรามพร้อมโผนตามเข้าโรงเลี้ยงอาหารประจำแดนกำลังที่แบ่งสรรกันแล้ว อีกส่วนบุกขึ้นตึกขังฉับไวยิ่ง แอ๊ดกับผมกระชับคมแฝกเข้าโรงเลี้ยงไปปะร่างยักษ์ “เฮียจีน” ยืนถือกระบองหน้าตึงพร้อมนักบู๊คุ้มกันจำนวนไล่ๆ กัน ตะคอกถามขณะเผชิญหน้า

“มึงจะมาล้มกูหรือ”

“พวกผมขอร้องเฮียแล้ว” เหล็ง แพร่งฯ พูดนุ่ม

โอเหล่กระชากประตูซิปโรงเลี้ยงอาหารปิดดังกราว ยุทธการดวลไม้เปิดเกมลักษณะประจัญบานได้ ๓-๔ ไม้ นักเลงสามยอดก็ถอยร่นอลหม่าน เสียงไม้กระทบไม้ เสียงร้องเอะอะ เสียงถ้วยจานบนโต๊ะโรงเลี้ยงซึ่งพี่เลี้ยงได้นำไปจัดเรียงไว้สำหรับอาหารมื้อเย็นทุกโต๊ะถูกตีนนักเลงลุยเละ

เฮียจีนเองก็สู้ไว้ลายมังกร การรับไม้-ตีไม้ทั้งรุกทั้งรับสมศักดิ์ศรีเจ้าสำนักน่านิยม แม้จะถูกคนหนุ่มอย่างตี๋น้อยหลอกแทงไม่ตีเสยเอาจมูกฉีก และไม่ถึง ๕ นาที ไม่ทันรู้รสไม้คู่ต่อสู้ เหล่านักบู๊สามยอดยอมศิโรราบทุกนาม ตี๋น้อยไล่กระหน่ำตี “ช้างน้ำ” จนเลือดแดงเถือกล้มแล้วลุกจนชนะใจเพื่อนถึงกับโยนคมแฝกทิ้ง ยกมือคารวะนักบู๊รุ่นพ่ออย่างจริงใจ ด้านมาเฟียใหญ่ ตง แซ่ตั้งก็ได้ไปหลายแผลกับบทเรียนที่ “ใหญ่” แล้ว “ไม่ฉลาด” เท่าที่ควร

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: