3787. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 46 ปล้นกลางคุก (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 46 ปล้นกลางคุก (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

หลังแยกย้ายกับกลุ่มดาราดังผู้ประกาศล้างบางมาเฟียยาเสพติดแล้ว ผมตามแอ๊ด เสือเผ่นกับอนันต์ ยืนยง ไปยังด้านหลังของโรงงาน ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว แต่ที่ทิ้งรกร้างไว้ พบเหล่าสมาชิกใหม่อันมหาเหน่, รุ่ง รัชนี และไอ้เดี่ยวเด็กของมหาเหน่ วัย ๑๙-๒๐ ปี กำลังต้มอาหารซึ่งเป็นอาหารชนิดเดียวกับทางสูทกรรมปรุงให้ในมื้อเช้า แต่เทน้ำแกงเก่าทิ้งแล้วตั้งไฟที่ก่อไว้ด้วยปูนเป็นรูปเตาอย่างถาวรขึ้นเพื่อจัดปรุงอาหารใหม่ ส่วนมหาเหน่กำลังนั่งตำเกลือเม็ดที่ขอมาจากโรงครัวในกระป๋องนมให้ป่น

“เดี๋ยวเปี๊ยกกินอยู่กับพวกเราที่นี่นะ ไม่ต้องเข้าไปกินในโรงเลี้ยงหรอก”

มหาเฒ่าผมสั้นเกรียนวัยเฉียด ๕๐ ปีชวนเชิญ พลางยกกระป๋องนมบรรจุเกลือเม็ดแต่ถูกแกตำจนป่นเทลงไปในหม้อแกงหรือขันอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ ไอ้เดี่ยวผู้อ่อนอาวุโสจัดการคนเกลือกับน้ำแกงให้เข้ากันแล้วใช้ช้อนตักน้ำแกงขึ้นชิม

“ใช้ได้” มันร้อง

มหาเหน่ขยับล้วงกระเป๋าหยิบผงชูรสมัดด้วยหนังยางอย่างดีมาแกะออกเทผงสีขาวในหม้อแกงไม่มากนัก พร้อมสั่งการราวนายทัพ

“ยกลงเลย แล้วตักข้าวไว้ ๖ จานด้วย”

สิ้นเสียงสั่งการ ผู้อาวุโสผู้ถนัดงานโจรทุกประเภทหันมายิ้มให้จนเป็นผลให้ผมต้องร่วมซัดอาหารอยู่หลังโรงงานร้าง ชมพระอาทิตย์ชูดวงจรัสด้วยความสบายทรวงเป็นครั้งแรกนับแต่เข้าคุก หลังอาหารผมขอตัวจากทุกสหายไปทำกิจตนตามที่เจ้าพ่อประตูน้ำสั่งยังขังเดี่ยวท่ามกลางตะวันจ้า จึงปะชาวยุทธ์อีกหลายนามเพื่อพบพัศดีตรีชื่อ “พี่ลอ” ให้จัดหางานให้ทำ และพอรายงานเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ประตูขังเดี่ยวด่านแรกแล้ว ผู้หมู่นายทวารกลับบอกห้วนๆ

“หัวหน้ากำลังให้หมอนวดอยู่ ไปพบตอนแกนวดอยู่มันจะสะดวกหรือ คอยสักพักก็ได้นี่น่า”

คำว่า “สักครู่” “สักพัก” และ “เดี๋ยวเดียว” นั้นสำหรับ “คุก” ถือเป็นมาตรฐานไม่ได้ตามที่รู้มาก่อน จึงอาศัยบารมีผู้มีคุณต่อคำอีกประโยค

“ผมเป็นคนใหม่พี่ยอดให้พบหัวหน้าลอโดยด่วนครับ”

พอผม “โม้” ผู้หมู่นายทวารเชื่อถือถึงกับปล่อยให้ผ่านเข้าประตูแดนขังเดี่ยวไปยังที่ทำการอันตั้งอยู่ท้ายตึก จึงพบว่าเป็นแคร่ไม้ไผ่ชั้นดีเหนือขั้นบันไดท้ายตึกที่ปรากฏร่างชายเตี้ยล่ำ ผมหยิกเล็กน้อย นุ่งโสร่งผืนเดียวนอนให้หมอซ้งวัย ๕๐ ปี อดีตหมอนวดมือดีโรงยา

“ม้าเก็งเอ๋า” คลึงเส้นอยู่ จึงกระทำคารวะ

“เอ็งเหรอที่คุณยอดส่งมา” น้ำเสียงห้าวหล่นจากปากแก

“ครับผม”

“นั่งลงสิ” พัศดีว่า

ผมกวาดตามองหาเก้าอี้ไม่เห็นมีสักตัวก็นึกขึ้นได้ว่านับแต่เข้าคุกมาไม่ปรากฏเก้าอี้รองก้นให้นั่งมาตลอด นอกจากนั่งยองๆ หรือนั่งขัดสมาธิกับพื้นจึงทรุกลงนั่งบนหินขัดข้างหน้า พัศดีเสริมต่อ

“พี่ต้องการคนมีความรู้ เอ็งจบมอหกหรือเปล่าล่ะ”

“จบครับนาย” ผมว่า

“เฮ้ย…ไม่ต้องเรียก ‘นาย’ หรือ ‘หัวหน้า’ เรียก ‘พี่ลอ’ เฉยๆ ก็ได้จำไว้”

“ครับ” ผมรับข้อเสนอประหลาด

จากนั้นพัศดีตรีท่านก็บอกเล่าถึงหน้าที่ที่ผมจะทำคือ “หน้าที่เสมียนแดน” หรือ “เสมียนขังเดียว” หรือกล่าวง่ายๆ คือเป็นหูตามือตีนแทนท่านนั่นแหละ โดยมีข้อเตือนใจอยู่อย่างว่า “ขังเดียว” นั้นใช้เสมียนเปลืองมาก แต่ละคนที่ลาออกส่วนใหญ่ถูกพวก “ขังเดียว” รุมยำด้วยเหตุสั้นๆ ว่า “เหม็นหน้า” ดังกล่าว ท่านจึงสรุปว่า

“เรื่องนี้พี่คิดว่าพวกขังเดียวไม่ผิด มันผิดที่คนของเราไม่รู้จักปกครองคนอันนี้หากน้องคิดว่าสามารถทำหน้าที่นี้ได้ก็ลองดู แต่วันนี้พี่จะได้ไปขอตัวตัดยอดมาทำงานที่นี่เลย ผมสูดหายใจลึก ตรองอย่างหนักจึงลองเลียบเคียงอีกประโยค

“พวกที่ถูกขังเดี่ยวมีอยู่เท่าไหร่ครับพี่”

“๑๐๐ คนพอดี” ท่านว่า

“ได้ข่าวว่าท่านผู้ปกครองจะนิรโทษกรรมให้ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม นี้ด้วยว่ะ”

คำว่าท่านผู้ปกครองจะให้นิรโทษกรรมบุคคล ๑๐๐ คน บนขังเดี่ยวนั่นเกิดพลังประหลาดจนหลุดปากรับคำท่าน

“ผมจะลองดูครับ”

“หยั่งงั้นเอ็งลองขึ้นไปหยั่งเชิงพวกมันดู…นี่ข้าวปลายังไม่ยอมยัดห่ากันเลยขนาดตักไปวางถึงหน้าห้องมันแล้ว”

“เพราะอะไรครับพี่”

“มันบอกหมูยังแดกไม่ลงอย่าว่าแต่หมาเลย”

รับทราบเท่านั้นผมก็ลุกขึ้นโค้งท่านเดินไปตามตัวตึกอันทอดยาวเหยียดจนไปหยุดยังแผ่นกระดานดำเขียนระบุห้อง กับรายชื่อผู้ถูกคุมขังจำนวน ๑๐๐ คน อยู่ครู่ใหญ่ ก็ทราบว่าแต่ละท่านล้วนเป็นชาวยุทธ์ดังจากหลายถิ่นทั้งนั้น แลัวบุคคลเหล่านี้หรือที่ผมจะคอยบริการดูแลพวกเขา ดังนั้นจึงจับตาอยู่ที่กระดานดำระบุชื่อห้องที่ตุ๊ ตลาดสมเด็จฯ อยู่อาศัย พบว่าอยู่ห้องหมายเลข ๒๐ ชั้นล่าง จึงก้าวเดินไปยังห้องดังกล่าวท่ามกลางความเงียบอันปรากฏเสียงนกกระจอกบนหลังคาตึกแซ่วไปทั้งหู

ขังเดี่ยวแต่ละห้องแลไม่ต่างคอกม้าที่มีกรอบตึกแทนไม้ บรรดาสมาชิกส่วนใหญ่หลับนอน ข้าง-แกงแต่ละชุดอันถูกวางไว้หน้าประตูห้องแต่ละห้องไม่มีใครยอมแตะต้องจริงๆ ตามคำบอกของพัศดีตรี จวบถึงห้องของตุ๊ ตลาดสมเด็จฯ ก็ปะเข้ากับชายวัยเฉียด ๔๐ ปี หนวดเครารกครึ้มยืนเกาะซี่กรงเหล็กประตูห้องอยู่จึงกระทำคารวะ

“สวัสดีครับ…พี่ตุ๊…ผมเปี๊ยกครับ”

“สวัสดีเปี๊ยก” รุ่นอาวุโสทักทายด้วยยิ้มเนือยๆ

“นี่เปี๊ยกขึ้นมาได้ยังไงตำรวจเขาให้ขึ้นมาหรือ?”

“เปล่าพี่…” ผมว่า

“หัวหน้าลอแกให้ผมเป็นเสมียนแดน แกให้ผมเข้ามาสังเกตการณ์เท่านั้นครับ”

สิ้นคำแจงผม ซือเฮียย่านสะพานพุทธฯ เทลมหายใจแรง ใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราส่ายไปมา

“ถ้าเปี๊ยกรับตำแหน่งเสมียนก็เท่ากับเปี๊ยกเป็นศัตรูกับกลุ่มกุมารจีนด้วย”

“อ้าว” ผมพลั้ง

ผู้อาวุโสร่ายต่อ “ข้าวกับอาหารของพวกพี่นับว่าเลวมาก บางวันมีแต่น้ำกับผักโหรงเหรง รสชาติยังกะน้ำล้างตีน พี่จึงประท้วงไม่ยอมกินอาหารจากสูทกรรมนับแต่วันนี้จนกว่าสูทกรรมจะเปลี่ยนแปลงปรังปรุงอาหารของพวกเราใหม่ และที่ว่าเปี๊ยกจะต้องเป็นศัตรูกับกลุ่มกุมารจีนนั้นก็เพราะ ‘เสมียน’ จะต้องทำหน้าที่ไปเบิกรับอาหารจากโรงครัวด้วยตนเอง พร้อมพี่เลี้ยง ๔ คน ซึ่งตรงนี้แหละที่เปี๊ยกอาจเป็นศัตรูกับกุมารจีนที่คอยดักปล้นรถเข็นอาหารของขังเดี่ยวทุกเช้า-เย็น โดยถ้าเปี๊ยกให้มันตักแกงหรือข้าวในถังของเราไปทุกอย่างก็จบ แต่เปี๊ยกจะให้มัน ‘ปล้น’ หรือไม่เท่านั้น”

จบคำอรรถาผู้อาวุโส ตุ๊ ตลาดสมเด็จฯ ผมจึงครวญ

“มิน่าเล่าที่ขังเดี่ยวนี่จึงใช้เสมียนเปลือง”

ซือเฮียโต้ฉับ “ก็เสมียนหยั่งงั้นจะเป็นตัวแทนปากท้องคน ๑๐๐ คน ได้หรือเปี๊ยก…อย่างไร ถ้าน้องจะรับงานนี้ก็ควรขอให้ทำงานเป็นทีม พูดกะพี่ลออย่างนักเลง แกชอบนักเลง ส่วนพวกพี่ ๑๐๐ คน จะไม่ลืมน้ำใจเปี๊ยกหรอก”

เมื่อเรื่องราวเป็นเยี่ยงนั้นผมปฏิเสธได้หรือ? จึงตอบตกลงใจกับซือเฮีย

“ผมจะพยายามทำหน้าที่นี้ให้ดี่ที่สุดครับพี่”

“อย่าให้พี่ผิดหวังเหมือนเสมียนคนอื่นๆ นะเปี๊ยก”

ผมได้แต่ยืนมองโฉมผู้อาวุโสแทนคำยืนยัน อึดใจก็กระทำคารวะล่ำลาไปเดินตรวจสภาพชั้นบนตามขังเดี่ยวแต่ละห้อง พบรุ่นใหญ่ รุ่นพี่ และรุ่นเพื่อนอีกนับสิบ โอดโอยถึงเรื่องอาหารทั่วหน้า ที่สุดก็เดินไปอยู่ท้ายตึกที่ชมทัศนียภาพและรับแรงลมที่กรรโชกกรูไม่ขาดระยะอย่างสงบ สีฟ้ายามสายวันนี้คงเป็นสีฟ้าแซมกลุ่มเมฆสีขาวหม่นเหมือนที่เคยเห็น ทว่าใจผมขณะนี้กับธรรมชาติมันค้านกัน เพราะเบื้องล่างและเบื้องหน้าผมด้านหน้าโรงงานอันเป็นเนินสูงรกเรื้อกำลังถูกแรงงานนักศึกษาอาชญวิทยาประมาณ ๓๐ นาย ใช้มีด ขวาน สรรพของมีคมเข้าฟาดฟันโค่นล้มอยู่พัลวัน แต่ละคนเนื้อตัวขะมุกขะมอม ถัดไปด้านขวามือ บรรดางานชายหญิง (ภายนอก) นับร้อยต่างกำลังก่อสร้างตึกที. กันอยู่ขะมักเขม้นก็ยิ่งเกิดมานะขอเวลาทดสอบตำแหน่งงานในคุกยิ่งขึ้นและพอลงจากขังเดี่ยวไปสุดบันได เสียงเรียกชื่อตัวเองดังชัดเจน

“เปี๊ยกมานี่สิ”

ผมหันขวับไปพบพัศดีตรีหุ่นเตี้ยล่ำกวักมือหยอยๆ อยู่ข้างโรงเลี้ยงจึงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปชิดเท้าตรง

“รู้ตัวไหมว่ากำลังจะทำอะไรต่อไป”

“ทราบแล้วครับ”

“แล้วจะรับไหมตำแหน่งนี้?”

“รับครับผม แต่ผมขอคัดตัวพี่เลี้ยง ๔ คนใหม่ครับ”

“ตามใจเอ็ง ช่วยกันหน่อยนะไอ้น้อง พี่เองก็ยังมีงานคาที่แผนกอยู่จมหู”

“แต่ผมขออนุญาตไปตามพรรคพวกมาแทนพี่เลี้ยงเก่า ๔ คนครับ”

“ตามพี่มา” แกว่าพลางเดินนำเข้าที่ทำการแล้วเซ็นบัตรผ่านให้ทั้งยังมอบจักยาน ๒ ล้อคู่ขาให้ด้วย

จากนั้นผมก็ใช้เวลาที่มีปั่นรถสำรวจทุ่งบางเขนทั้ง ๕๐๐ ไร่ จรดโรงงานทุกหน่วยงาน จนจรดบริเวณหน้าแดนโรงพิมพ์ก็ต้องหยุดรถทักทายกับ สิงห์ชาวอย เก๊าตี๋ ใหญ่วัดอินทร์ พร้อมกับถามถึง แดงไบเล่ย์ กับ ปุ๊ระเบิดขวด และ ดำเอสโซ่ จึงทราบทุกนามถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่คุกขุนนาง (คลองเปรมเก่า) เสียงเจ้าที่ดึงประตูเหล็กล้อเลื่อนดังครืนๆ เก๊าตี๋สะกิดแขน

“เปี๊ยกเคยดูรายการปล้นกลางแดดไหม”

ผมยิ้มให้เพื่อนทั้งเบนสายตาตามดวงตาคมกริบของสหายไปยังประตู ๓ ที่กำลังเปิดกว้างให้รถบรรทุกอาหารขนาด ๖ ล้อ ผ่านเข้ามา และพอท้ายรถบรรทุกอันมีหมู เนื้อ, ปลา, ไก่ พื้นผักทุกชนิดพ้นธรณีประตู สองโซเฟอร์ตบเกียร์พุ่งรถออกจากที่เสียงกระหึ่มฝุ่นลูกรังคลุ้มตลบ

พลับ…สองฝั่งถนนลูกรังปรากฏนักบู๊ไม่ต่ำกว่า ๒๐ นาย สับตีนลิ่วขาหาตัวรถทั้ง ๒ ฝั่ง พร้อมพุ่งตัวคว้าจับราวจับปีนป่ายขึ้นไปเลือกค้นหมู ปลา เนื้อ และไก่ พากันโยนลงจากรถให้พรรคพวกที่รอรับช่วงอยู่ริมทาง บางรายไปดักในช่วงความเร็วรถอยู่ในอัตราแรงเร็ว พอเขากระโดดเข้าคว้าจับราวไม้ขอบรถได้ก็ถูกแรงปะทะดันทรุดจากรถกลิ้งไม่เป็นท่า

“ในระยะห่าง ๓๐๐ เมตร ก่อนรถถึง ‘ทำเนียบ’ โซเฟอร์มันจะต้องลดความเร็ว ตรงนี้ล่ะที่ไอ้พวกที่ขึ้นไปปล้นบนรถจะรอดตัวโดยรีบโดดลงเสียก่อน” สิงห์ ชาวอยสำแดงความจัดเจน

“แล้วของที่ปล้นได้นั่นมันไปทำอะไรกินกัน” ผมข้องจิต

“พวกมันก็เอาไปแลกแคปกับพวก ‘ขาใหญ่’ เสพสิเพื่อน มังกรม้าเก็งเอ๋าเฉลยระคนหัวเราะ

ผมเองได้แต่ร่ำในอกที่คุณภาพคนมันถูกเหยียบจมอยู่ใต้คอมแบตผู้ยิ่งใหญ่คนเดียวเท่านั้น รูปแบบการหากินเสี่ยงตาย เสี่ยงต่อการทุพพลภาพเยี่ยงนี้จึงอุบัติในแดนสนธยา

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: