3786. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 45 หลอมใจเป็นเหล็ก (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 45 หลอมใจเป็นเหล็ก (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ตะวันสีทองลอยดวงต่ำเกือบจรดกำแพงสีเทาสูงตระหง่านภายในพื้นที่ ๕๐๐ ไร่ แล้ววผมซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มน้องใหม่ ชมบรรดาชายฉกรรจ์แก้ผ้าอาบน้ำ พร้อมชักเสื้อผ้าชุดทำงานของตนมานับแต่หลังอาหารเย็นเริ่มตระหนักถึงคำพูดตำรวจนายหนึ่งที่ว่า

“ทุกคนต้องทำงานหนัก มีผลงานแลกเสรีภาพ”

เมื่ออาบน้ำซักเสื้อ กางเกงพร้อมกันในตัวเสร็จต่างวิ่งไปตากยังราวลวดที่ขึงค้ำไว้ด้วยเสาปูน ๒ ต้น แล้วจึงไปรวมกันยังท้ายตึกรูปทรงที ทยอยกันขึ้นตึกพักผ่อน พวกที่ล่าช้าหรือเจตนาถ่วงกลุ่มล่าสุดราว ๑๐ นาย ถูกคำสั่นให้คลานขึ้นบันไดเรียกเสียงเฮฮาจากกลุ่มโล่เขน-ราชทัณฑ์ ประมาณ ๒๐ ท่าน จวบถึงวาระพวกเรา ๑๗ คนบ้าง

“ทั้งหมดลุกมานี่”

อย่างรีบด่วนทุกคนรู้สถานะตนดีว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไร ชั่วครู่เราทุกคนจึงได้ไปยืนให้เจ้าหน้าที่ ๒ ฝ่ายพิศโฉม เมื่อเข้าขั้นเผชิญหน้าผมส่ายตาหา “นายทัพ” ก่อนทหารเลวมาประกอบความคิดและตัดสินใจอย่างสงบพบพัศดีตรี ทรงเตี้ยล่ำวัย ๓๐ ปี ผมหยิกเล็กน้อย ยืนเท้าเอวสำรวจสารรูปพวกเราอย่างจริงจังกว่าทุกคน ถามไม่ต่างป๋าหง่า

“คนไหนชื่อเปี๊ยก”

“ผมครับ” ผมขานรับ ทั้งก้าวออกไปยืนร่างตรงแหน็ว

พลันผมสังเกตพบหางตาพัศดีตรีเหล่ไปยังประตูทางขึ้นตึกจึงมองตามก็ปะร่างผ่อมบางผิวขาวคล้ำแลแกร่งวัย ๓๐ ปีเศษ โผล่ออกมายืนมองผมวับเดียว ก็ผลุบหายไป

“พี่ยอด ปะตูน้ำน่ะเอง”

“มึงรีบขึ้นตึกซะ” พัศดีตรีเจาะจงที่ผมโดยตรง

ผมขยับถุงทะเลบรรจุสัมภาระนานาทั้งของบังเซ็มและของตัวเองก้าวขึ้นบันไดหินอย่างปกติ ทว่าใจกลับไม่ปกติ ด้วยเหตุอยากทราบว่า “๑๖ อันธพาล” ที่ร่วมวิบากเวรกันมาแต่ประตู ๑-๓ จะต้องเจอกันกับอะไรอีก แต่ก็ถูกพี่ยอดดึงให้ผลุบเข้าสู่ตัวอาคาร ๒ ชั้น อันแต่ละห้องมีซี่กรงเหล็กติดพรืดทั้ง ๒ ชั้น ท่ามกลางเหล่าชาวยุทธ์ตะโกนเรียกชื่อดั่งเจตนาให้ “จน” หนักลงไปอีก จ่านายสิบตำรวจวัย ๔๕ ปี เดินแกว่งลูกกุญแจพวงใหญ่เข้ามาหา

“เปี๊ยกอยู่ห้อง ๖๐ นะครับจ่า”

จ่ายิ้มแฉ่งให้เจ้าพ่อประตูน้ำ พร้อมนำขึ้นตัวตึกขังขั้น ๒ แล้วเดินไปตามระเบียง ผ่านหน้าห้องเพื่อนพ้องล้วงทักทายเป็นอันดี แต่ไม่มีสมองไว้คิดถึงเรื่องรอบตัวเท่าใดนัก จึงทอดตีนเดินตามหลังเจ้าสำนักประตูน้ำจนถึงห้องอันมีเบอร์ติดไว้เลขไทยชัดเจนว่า “๖๐” คุณจ่าจึงหยุดไขกุญแจประตูห้องอันใช้ไม้เนื้อแข็งเสริมเหล็กแผ่นไว้แน่นหนาเปิดกว้าง ผมยกมือเตรียมคารวะรุ่นใหญ่ แต่พี่เอื้อยปะตูน้ำจับมือไว้บอกนะคนยิ้ม

“ไม่ต้องลาหรอก พี่อยู่ห้องนี้ด้วย”

ผมรู้สึกอุ่นใจโดยสำนึก และดีใจไม่น่าเชื่อว่า “เส้นทาง” ที่ได้ “ไฟเขียว” ตลอดสำหรับผม ล้วนเป็นซือเฮียยอด ประตูน้ำ สุภาพบุรุษนักเลงเปิดให้ผ่านนั่นเอง

และเมื่อเข้าไปภายในห้องอันสว่างจากแสงนีออนก็ปะชาวยุทธ์หลากหลายจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียว จนไม่ทราบว่าจะทักทายผู้ใดก่อนดี จึงหันไปถามซือเฮีย

“ผมมีของมาจากโรงพักเพียบ อยากเอาออกแบ่งเพื่อนๆ ในห้องทุกคนเสพกันบ้างได้ไหมพี่”

“เปี๊ยกพูดถึงอะไร” ซักสีหน้ากังขา

“ของเมาครับพี่ บังเซ็มแกซ่อมมาจากโรงพักทั้งฝิ่นทั้งแคปซูลครับ”

“หยั่งงั้นไปที่หัวห้อง”

พี่เอื้อยบอกห้วนๆ พลางเดินนำไปปทางเดินซีเมนต์อันมียกพื้นเป็นแผ่นกระดานสูงราวศอกปูให้นอน ทั้งสองฝั่งบรรจุนักศึกษาอาชญวิทยาได้ประมาณ ๒๐ คนต่อห้อง เมื่อถึงหัวห้องรุ่นใหญ่ก้าวขึ้นไปนั่งบนที่นอนซึ่งปูด้วยผ้าห่มหนาไม่ต่างฟูกราว ๑๐ ผืนเย็บรวมกัน ผมดึงถุงทะเลลงจากไหล่ออกวางบนพื้นห้อง เหล่านักบู๊ภายในห้อง ๒-๓ คนเตร่มายล แต่ถูกเบรกจากเจ้าพ่อประตูน้ำเอาต้องถอย พอเปิดปากถุงออกกว้าง ผมยกก้นถุงขึ้นเท “ของโจร” ที่ขนมาจากโรงพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุหรี่กับขนมแห้งกองพะเนิน ผมหยิบเอารองเท้าแตะฟองน้ำใหม่เอี่ยมในถุงพลาสติกออกมาแกะหนังยางออก

“ของใส่ไว้ในรองเท้านั่นเหรอ” พี่ยอดถามคำแรก

“ครับ ผมเป็นคนทำ แต่ตอนนี้ต้องใชมีดผ่าเพราะติดกาวแน่นมากพี่”

พี่เอี้อยย่านประตูน้ำเพียงขยับร่างม โบวี่แท้ๆ ในมือขวาแกถูกยื่นให้จึงรับมาจัดการผ่ารองเท้าแตะฟองน้ำที่ซุกเอาฝิ่นกับเฮโรอีนเข้ามาตามคำขอร้องของบังเซ็มออกต่อหน้ารุ่นใหญ่ พอสิ่งของดังกล่าวถูกแบชัดเจน เหล่านักบู๊พากันลุกขึ้นยืนมองเป็นตาเดียว

“นั่งลงไอ้หนู เดี๋ยวจะอดแดกทั้งน้ำทั้งเนื้อ”

เสียงห้าวๆ คุ้นหูจากฝั่งตรงข้ามดึงสายตาผมให้หันไปทัศนาก็พบกับ ลุงทอง ชาวยุทธ์ ๑ ใน ๑๐ “ม้ามือทอง” (ล้วง-ตัดผ่ากระเป๋า) ของเมืองสยามยิ้มให้จนเห็นฟันทอง จึงยกมือกระทำคารวะตามวัยรุ่นพ่อ เหล่านักบู๊พากันทรุดลงนั่งยังที่ของตน

“เปี๊ยกบอกว่าของบังเซ็มใช่ไหม” รุ่นใหญ่ถามอีกประโยค

“ครับ”

“แต่แกตายแล้ว หมอบอกหัวใจวาย”

วาจากปากรุ่นใหญ่ผมเชื่อสนิทใจ กระนั้นที่ทำได้ขณะนี้ก็แค่บ่นในอกเสียดายมิตรภาพ ๓๐ วัน ในตะรางที่คบกันมา เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา บังเซ็มไม่ต่างครูติววิชาให้ผมพร้อมเตรียมตัวสอบเป็นนักศึกษา แผนกอาชญาวิทยา อาการเงียบงันทางกิริยาของผมถูกรุ่นใหญ่ทิ้งเวลาให้ไว้อาลัยกันทางใจครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ ทีท่าปกติ

“แคปที่ลาดยาวนี่เหมือนทอง ฝิ่นก็เหมือนกัน พี่อยากให้เปี๊ยกคิดให้ยาวเราต้องอยู่กันอีกนานนะ”

“ถ้าเช่นนั้น ผมมอบให้พี่จัดการสุดแต่จะเห็นควรดีกว่าครับ” ผมสละสิทธิรุ่นใหญ่ทอดตาจากที่นอนไปท้ายห้องแล้วถอนหายใจ บ่นมากกว่าบอก

“ลาดยาวขาด ‘ของ’ มา ๒ วันแล้ว ‘เรือ’ ของพี่เองยังหามาส่งไม่ได้ เหตุเพราะข้างนอกกำลังกวาดล้างใหญ่”

“แล้วพี่จะทำยังไง”

“เปี๊ยกรู้ไหมว่าทั้งห้องนี่ติดเมากันทุกคน และ ‘เสี้ยน’ กันมา ๒ วันแล้วนับแต่ของขาด แม้กระทั่งตัวพี่เอง”

คำบอกเปิดใจรุ่นอาวุโสพาเอาเย็นวาบ เมื่อได้รู้ว่าซือเฮียติดเสพเฮโรอินแทนฝิ่นที่เคยถุนมาแต่สมัยโรงยาฝิ่นยังเฟื่อง แต่ความรู้สึกอันนั้นก็ถูกลบเลือนด้วยคำพูดแกเอง

“ของทั้งหมดนี่ ทั้งฝิ่นทั้งแคปถ้าแจกให้สูบไม่พอหรอก ต่าง ‘เสี้ยน’ กันทั้งนั้น พี่จะผสมให้ฉีดคนละ ๒ ขีด…ใครต้องการฉีดอะไรเลือกเอา” พี่เอื้อยเฉลยทางออก

“ฝิ่นฉีดเข้าเส้นได้หรือพี่” ผมพลั้งปากด้วยด้อยประสบการณ์

“ฝิ่นขึ้นแรงกับเร็วกว่าแคปอีกเปี๊ยก” ลุงทองแจงแทน

“ตกลงเอาตามนี้นะ เปี๊ยก” รุ่นใหญ่ให้เกียรติ

“แต่พี่ต้องเก็บไว้ส่วนตัวบ้างนะ ‘ของ’ ของพี่หก็ขาดไม่ใช่หรือครับ”

“ขอบใจเปี๊ยกมาก พี่จะเก็บไว้บ้าง”

จากนั้น ความเลวจากพฤติกรรมตนฐานลักลอบนำยาเสพติดเข้าเรือนจำก็ช่วยให้นักศึกษาอาชญวิทยาภายในห้องหมายเลข ๖๐ มีชีวิตชีวาราวเนรมิตรหลายคนลุกจับกลุ่มคุยกันบ้าง ครวญเพลงในลำคอ บางคนนอนตาปรือก่ายหน้าผาก ผมนั้นพี่ใหญ่เมตตาให้นอนอยู่หัวห้องฝั่งเดียวกับลุงทองหรือ อาจารย์ทอง ม้าวัยดึก โดยมีเพื่อนร่วมห้องรายหนึ่งต้องลงไปนอนที่ “ท้องเรือ” (ทางเดิน) แทนก็รู้สึกเอนหลังไมได้เต็มที่นัก แล้วคืนนั้นเองที่ผมได้รับจากปากลุงทองว่า ในท่ามกลางที่เฮโรอินขาดทิ้งคุกมา ๒ วันนั้น พระเอกนิตย์ ท่าเตียนถึงกับประกาศภายในร้านค้ากลางผู้คนนับร้อยว่า พรุ่งนี้ถ้าของยังขาดอีกวันเดียวแกจะ “ขังเดียว” ตัวเองเลิกเสพเด็ดขาด

“หลายปีมาแล้วที่เราคอยวันปลดปล่อยที่ไม่เคยมีกำหนด จนรุ่นใหญ่หลายคนติดของไปตามๆ กัน เกเตอร์เองก็ติดงอมแงม ขณะนี้กำลังถูกเมียที่เป็นรองนางงามฟ้องหย่าอยู่ ไหนจะ นิตย์บางลำภู นิตย์พระเอก จ่าหาญ รวมทั้ง บางรัก แล้วก็คุณยอดนี่แหละ…เฉพาะเกชานั้นทุ่มเงินทำถนน ซื้อวัว แพะ และแกะมาช่วยโครงการเกษตรเป็นร้อยๆ ตัว ยังทำงานรอวันออกอยู่จนท้อ แต่ก็ดีที่แกไม่ติดเสพ ส่วนลุงน่ะมันแก่แล้ว ไม่ได้โด่งดังอย่างเขาถึงติดเสพก็เป็นเรื่องธรรมดา”

ผมนอนรับฟังความในอกลุงทอง ซึ่งถูกจับมาแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จนบัดนี้มีข่าวว่าจะปล่อยมาถึง พ.ศ. ๒๕๐๕ นี่แล้วยังเป็นแต่ข่าว ปีนี้อีกเช่นกัน แกได้ข่าวว่าจะปล่อยก่อนวันที่ ๕ ธันวาคมหรือหลังไม่กี่วันซึ่งลุงทองก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่ามีเปอร์เซ็นต์สักเท่าใด
๔ ทุ่มไปแล้ว เสียงของผู้อาวุโสเงียบไป ผมจัดการคลุมผ้าห่มให้แกเพราะตกดึกอากาศเย็นจัดทั้งๆ ที่เพิ่มเริ่มต้นตุลาคม ครู่ใหญ่ ประสาทหูผมแว่วเสียงย่ำคอมแบตดังอยู่ใกล้หู แต่ความรู้สึกอันเนื่องมาแต่ความอ่อนเพลียมาทั้งวันจึงหลับผล็อย
เสียงนกกระจอกบนหลังคาตึกที่ปลูกผมตื่น เห็นพรรคพวกจัดแจงเก็บที่หลับที่นอนเป็นระเบียบยังที่ตนผมก็เอาอย่าง พี่ยอดถามหาแปรงจากผมพร้อมป้ายยาสีฟันให้พร้อมขันสบู่ ผมสังสัยที่ซือเฮียไม่ยอมลุกจากที่นอนเหมือนทุกคนก็ก้มลงไปถาม

“พี่ไม่ลงไปข้างล่างบ้างหรือ”

“ไม่หรอก…พี่จะนอนรอวันปล่อย”

พอได้เวลาเปิดตึกในสภาพอากาศเย็นจัด นักศึกษาอาชญาวิทยาเคลื่อนไหวไปยืนออกกันตรงประตู ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ผ้าห่มคลุมร่างกันหนาว ผมเองได้รับคำแนะนำจากเจ้าพ่อปนะตูน้ำให้ไปหาพัศดีที่ “ขังเดียว” ชื่อ “หัวหน้าลอ” แล้วท่านจะหางานให้ทำเอง หลังจากทำความสะอาดเนื้อตัวเสร็จ ยืนถือขันน้ำ “เซิ้ง” ไปมาอยู่นั้น สองเพื่อนซี้ แอ๊ดเสือเผ่น กับ อนันต์ ยืนยงปราดเข้ามาทักทายพลางรั้งแขนให้เดินไปยังร้านค้าสงเคราะห์ผู้ต้องขัง ซึ่งขณะนี้มีนักศึกษาอาชญาวิทยาแน่นขนัด

“เขามีอะไรกันวะ” ผมสังสัย

“เมื่อคืนของ ‘เสี่ยตง’ เข้ามันประกาศเอาฤกษ์ไม่ขายแต่แจก”

“ก็ดี” ผมเห็นงาม

“นายไปเห็นกับตาดีกว่า” เสือเผ่นบอก

และแล้วยามเช้าตรู่ของเดือนตุลาคมอันหนาวเย็นกว่าทุกปี ก็เปิดตาผมให้เห็นกุมารจีน ๕-๖ นาย ตักน้ำไปราดยังลานหินขัดหน้าโรงเลี้ยงอันไม่ไกลจากร้านค้า ซึ่งมีพื้นที่กว้างยาวพอกับสนามเทนนิส จนน้ำเจิ่งนองไปหมด ต่อมากุมารจีนอีก ๒ นาย ช่วยกันแบกแฟ้บกล่องขนาดยักษ์ ๒ กล่องไปเทโรยตามพื้นหินขัดอันนองด้วยน้ำจนทั่ว ก็จัดการละเลงให้คละเคล้ากันเพื่อให้เกิดความลื่มไหล

“นั่นละสนามโปรยทานของ ‘เสี่ยงตง’ นันกระซิบข้างหู

จากนั้น น้องชายของเสี่ยตง ชื่อ อำ รูปทรงละม้ายซือเฮีย โดดขึ้นไปยืนบนม้าหินประกาศก้อง

“พวกที่สมัครใจเข้าแย่ง ‘เหรียญ’ ทุกคนกรุณาถอดเสื้อผ้าให้หมด เพื่อความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้นำเหรียญเถื่อนมารวมด้วย”

ผมคิดในบัดนั้นว่า ใครจะบ้าบุกเข้าไปแย่งเหรียญที่ถูกโรยไว้ด้วยผงซักฟอกขาวไปทั่ว กลับผิดคาดบัดนี้ต่อหน้าผมมีนักศึกษาอาชญาวิทยาชาวยาประมาณ ๓๐ นาย กำลังเปลื้อยผ้าห่มที่ใช้คลุมตัวเองจากบนตึกเองจากบนตึกพร้อมถอดเสื้อกางเกงจนอยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน แล้วพากันออกไปยืนยังขอบสนามหญ้าโต้แสงอรุณเป็นแถวยาวเหยียด น้องชายเสี่ยนักค้ายาเสพติดอันดับ ๑ ของลาดยาวระบุกติกาเสียงดังชัดเจนดุจเดิม

“เหรียญแต่ละบาทที่แย่งได้ พวกคุณนำมาแลกจะได้ ‘ของ’ บาทละตัว…เอาละนะ ทุกคนโปรดดูสัญญาณจากเฮีย”

สิ้นคำน้องชายนักค้า ตงแซ่ตั้ง ผู้พี่ชายพาร่างสมบูรณ์สวมเสื้อมองตากูร์สีเลือดนกตัดกับผิวเหลืองแลเด่นปรากฏแก่ทุกสายตา

“เหรียญบาทเต็มกระป๋องเกลียวที่มันถือนั่นแหละที่จะแจกคิดแล้วราว ๑๐๐ บาท” นันอรรถาเหตุ

ผมจ้องตากราดมองอดีตนักบู๊แต่ละบาทที่ตกเป็นทาสเฮโรอิน โชว์ร่างผอมโกรกยืนเปลือยสั่นระริกยามลมหนาวพัดฮือด้วยความรู้สึก ‘สะใจนัก’ เสี่ยตงขยับไปยืนบนม้าหินแทนน้องชายพร้อมล้วงมือกำเหรียญในกระป๋องออกมาเต็มกำมือชูขึ้น

ชาวยาชีเปลือยเริ่มเคลื่อนไหว พอเหรียญบาทในมือนักค้าถูกโยนลงกลางหินขัด นับสิบชีวิตโผนเข้าเหยียบเขตหินก็ล้มครืนระเนระนาด บ้างก็ถลาล้มทับกันเอง หลายคนหัวฟาดพื้นสลบคาที่เลือดแดงเถือกระคนน้ำแฟ้บ เหล่านักศึกษาอาชญาวิทยาที่ยังคงศักดิ์นักเลงอยู่นับร้อยล้วนเห็นพฤติกรรมมาเฟียลาดยาวได้แต่เงียบกริบกลางเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่ฤกษ์เปิดการค้าเฮโรอินของตนสังเวยด้วยเลือดมนุษย์จากปาก ตงแซ่ตั้ง นัน แอ๊ด และผมเดินหนีภาพบาดใจไปข้างโรงเลี้ยงก็ปะกับกลุ่มดาราดัง เช่น โอเหล่ ชาติเป๊ พร้อมรุ่นใหญ่ ตุ๊ตลาดสมเด็จฯ ยืนพาทีกันอยู่จึงทักทายกันตามปกติ

“นายเห็นเรื่องโปรยทานของไอ้ตง แบบนี้เป็นเรื่อง ‘หยาม’ กันไหมเปี๊ยก”

จู่ๆ ดาราดังสะพานเหลืองอันดังคู่มากับเต็งโก้เจาะจงถาม ผมจึงตอบไปตามความคิด

“เรื่องอย่างนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับพวกเรากันเองหรอก”

“บางที-บางที เราอาจหยุดการกระทำของมันในวันหนึ่ง”

นั่นเป็นวาจาที่หัวหน้าทีมอาปาเช่ลาดยาวนาม โอเหล่ ประกาศในวันนั้นโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน แม้แต่ผมผู้ยังลืมตาเห็นภาพชีเปลือยนักเสพนอนเลือดแดงฉานบนหินขัดอันนองด้วยน้ำแฟ้บระคนสีเลือด!

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: