3783. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 42 เจ็บแต่จริง (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 42 เจ็บแต่จริง (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
แล้ววันที่ คีย์ใหญ่ ชาวตะราง อนันต์ ยืนยง สิงห์ภูเขาทองอันสก็อต สน.สำราญราษฎร์ชมชอบเป็นนักหนาถึงวาระโยกจาก สน.นางเลิ้งไปอยู่ยังสถานฝึก บรมวิชาชีพลาดยาว อ.บางเขน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติก็ถึงในวันนี้แล้ว ดังนั้น นับแต่ตะวันเยี่ยมฟ้าบรรดาชาวตะรางชาย-หญิงที่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ราว ๓๐ คน ชีวิตจึงได้รับบริการโอยัวะกับโอวัลตินพร้อมปาท่องโก๋อีกคนละ ๒ ตัวทั่วหน้า นับเป็นเช้าวันแรกที่ชาวตะรางมีกิริยาร่าเริง ผ่านหลังอาหารเช้าของทางสถานีราวครึ่งชั่วโมง สิบเวรสั่งพวกที่จะไปฝากขังต่อยังศาลอาญากรุงเทพฯ เตรียมตัว บังเซ็ม เฮียกุ่ย นัน และผมนั่งอัดบุหรี่คุยกันเงียบๆ โดยไม่ตื่นเต้นต่อสถานที่ที่เพื่อนเข้าพักอาศัยแห่งใหม่ สักครู่บังเซ็มถูกเรียกตัวออกไปสอบสวน ไล่ๆ กันเพื่อนซี้ก็ถูกสิบเวรเรียกไปหน้าห้อง ผมกับมังกร เก้าเล้ง ตามไปติดๆ พร้อมถุงเป้บรรจุของกินของใช้เพียบ ตรงหน้าประตูตะรางที่สิบเวรเปิดรออยู่ นันหันมากระซิบเสียงแน่น
“เราจะทำ ทาง ไว้ให้นาย…เปี๊ยก”
“โชคดีเพื่อน” ผมว่า ยิ้มบริสุทธิ์ใจ
นักบู๊ย่านภูเขาทองถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือ ๒ อันซ้อน เพื่อนถึงกับหันมาบอกเสียงดังระคนหัวเราะร่า
“ดูจ่าแกสิ ทำเอายังกะเราเป็นซูเปอร์แมน”
สิ้นคำเพื่อนพร้อมทั้งชูมือทั้งสองให้ชม ผมก็ถึงกับหัวเราะก๊ากอย่างลืมตัวพลอยให้ชาวตะรางฮือฮาจนถูกสิบเวรปิดประตูใส่หน้าดังตึง โวยเสียงฉุน
“ไอ้หมา มึงเป็นตำรวจมั่งแล้วถึงจะรู้”
ผมโต้แกในใจทีนควัน “ถ้าผมเป็นตำรวจ จ่านะแหละที่ผมจะจับเป็นรายแรก”
สืบมาวันรุ่งขึ้น กุ่ย เก้าเล้ง ถูกส่งตัวฝากขังยังศาลอาญา ข้อหาลักทรัพย์(ล้วงกระเป๋า-ผ่า-ตัด) บังเซ็มจึงดึงเอาเด็กของแกย่านยมราชที่ผ่านเข้ามาแต่ละรุ่นทำหน้าที่ “รีดทรัพย์” ผู้ต้องหาที่พอมีทรัพย์ “ส่งส่วย” ตามกฏต่อจากหัวหน้าห้องคนเดิม ส่วนผมไม่นิยมออกตัวในทุกกรณีอยู่แล้วก็เอาแต่นั่งนอนรอเวลาไปเยือนทุ่งบางเขนจนแผลจากกระสุนปืนตำรวจผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ล่วงมาถึงตอนบ่ายของสัปดาห์ที่ ๓ ก็รู้สึกเอะใจที่ ๑ ใน ๔ วัยรุ่นโทรมหญิงในสนามม้านางเลิ้งที่ได้รับประกันตัวไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยไม่ปรากฏคู่คดี แต่บังเอิญถูกสิบเวรเรียกตัวไปพบร้อยเวร เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ทำหนังสือขอเบิกตัวไปให้พยานกับผู้เสียหายซึ่งถูกปล้นดูตัวจึงมีโอกาสเข้าเยี่ยมกองปราบปรามของท่านรองฯ ชุมพลย่านสามยอดประมาณบ่าย ๒ โมง ต่อมาก็นั่งถูกกุญแจมือบีบอยู่ภายในห้องทำงานร้อยเวรโดดๆ โดยไม่ได้กินน้ำ สูบบุหรี่ จนตกเข้า ๕ โมงเย็นยังไม่มีทีท่าว่าโจทก์หรือเจ้าหน้าที่ท่านใดจะเอาผมไปทำอะไรสักอย่างก็โวยเอาบ้าง เพราะปวดฉี่กับหิวน้ำ หิวข้าวไปสารพัด นั่นแหละที่ผมจึงได้ฉี่ ได้กินข้าวผัด-โอเลี้ยงพร้อมบุหรี่อีกหนึ่งซองจากน้ำใจร้อยเวรวัย ๓๐ ปีท่านเดิม
พออิ่มหนำกระเพาะ ผมซักถามถึงการมาของพยานกับโจทก์ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่แน่ ซึ่งร้อยเวรได้ชี้แจงว่าคงติดธุระหรือไม่ก็อาจไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากทางกองปราบฯ จากนั้นยังให้ความหวังว่าเดี๋ยวจะสั่งตำรวจให้นำตัวส่งคืน สน. นางเลิ้ง พักหนึ่งไฟฟ้าบนที่ทำการกองปราบฯ เปิดสว่างจ้า ผมเฉียงตามองนาฬิกาติดผนังภายในห้องพบว่าทุ่มเศษก็ออกปากขอเอนบนม้ายาวภายในห้องแทนนั่งมานานนับชั่วโมง ร้อยเวรได้อนุโลมด้วยดี หลับสนิทบนม้ายาวภายในห้องพร้อมติดกุญแจมือล่ามไว้กับขาม้าขนาดข้อตีนไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ มาสะดุ้งตื่นเพราะถูกเขย่าตัวอย่างแรง
“เฮ้ย…ตื่นโว้ย”
ผมรีบพรวดลุกขึ้นนั่ง ปรับสภาพสายตา สติ สังเกตสถานะเบื้องหน้าฉับไวและแล้วกลับต้องพรูลมหายใจยาว เมื่อได้แลรอบกายถ้วนทั่วล้วนโสเภณีทั้งสิ้นประมาณ ๕๐ นางจากหลายแห่ง ตั้งแต่สะพานเหล็ก(โรงหวย), วงเวียน ๒๒ กรกฏา, ตรอกสลักหิน และนางบังเงาแถวท่าน้ำสวัสดีเยาวราช แม้กระทั่งสาวโรงน้ำชาเก้าชั้นถิ่นของ เก๊าม้าเก็ง เป็นต้น
ดังนั้น ทั้งเหง้าหูผมจึงระงมเสียงก่นด่าตำรวจสารพันที่จะจารถึงราก เช่น
“แม่งบอกขอจับเดือนละครั้ง นี่แม่งจับเกือบทุกวัน”
“กูสิมันน่าซ้ำแค่ไหน อุตส่าห์กู้เงินเจ๊หลิว ๒ พันไปเสียศาล พอกลับจากศาลอาบน้ำเปลีายน้สื้อผ้าออกไปนั่งแดกข้าวปากซอย แม่งหาว่า “อ่อยเหยื่อ” กูเลยด่าซะอายหมาทั้งตรอกถั่วงอก…ไหนๆ มันก็มาจับแล้ว”
ประสาทหูอันอึงอลด้วยศัพท์เสียงสาวงามดึงความเครียดเกิดขึ้นแก่ผมโดยไม่รู้สึกตัว จึงใช้มือเดียวขอต่อบุหรี่จากสาวหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนม้าเดียวกันซ้ายมือพอจุดบุหรี่ติดและส่งมวนของเธอคืนให้ สาวเจ้าถามทันที
“พี่ถูกข้อหาอะไรคะ?”
“หลายข้อหา” ผมตอบตัดปัญหา
ได้ผล…๑ ในกลุ่มดาวหลงฟ้าจำนวนเกือบครึ่งร้อยเลิกสนใจทันที ผมนั่งอัดบุหรี่ยลเสียงเสมียนพิมพ์ดีดสวมเสื้อยืดแต่งครึ่งท่อน ๓-๔ นาย นั่งโม่อยู่หน้าแป้นแวดล้อมด้วยมวลผีเสื้อหลายสีล้วนเหงื่อท่วมหน้าด้วยอารมณ์ขันกลางม่านควันบุหรี่อบอวลแล้วคิดไปว่า ทุกท่านกำลังพิมพ์คำสั่งคณะทหารที่จำมาจนเจนหู เช่น
“เนื่องจากคณะรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขการครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “ข้าว” ได้ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้มีการทุจริตกันในเรื่องนี้ จนเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงกันขนานใหญ่ นับว่าเป็นการทำให้ราษฎรได้รับความทรมานทางจิตใจและร่างกายอย่างยิ่งยวด ยิ่งกว่านั้น นักการเมืองบางท่านก็เอา “การเมือง” เป็นเครื่องบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์แก่ตัวเองอย่างน่าละอายในยามที่ชาติคับแค้นเยี่ยงนี้ แทนที่รัฐบาลจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เกิดความมั่นคงในประชาชาติลับเพิกเฉย จึงถือเป็นความ “จำเป็น” อย่างยิ่งที่คณะทหารจำต้องยึดอำนาจเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของชาติ….”
ตี ๕ แล้วแต่มองไม่เห็นแสงระวี ผมนั่งคิดติดตามชมเจ้าหน้าที่ท่านตื่นตาทำงานอย่างขมีขมันอยู่จน “ไอ้ตี๋” หิ้วพวกกาแฟเร่เข้ามาในห้องสอบถามใครต้องการของว่าง บรรดาสาวๆ จึงลุกไปสั่งกาแฟ ชา โอวัลตีน และบุหรี่ตามรสนิยมตัว กระทั่งไอ้ตี๋ไม่สามารถออกจากห้องได้ เพราะนอกจากมีอยู่กบาลเดียวแต่ต้องจำสิ่งของนับร้อยๆ ชิ้นแล้วยังไม่พอ มันยังต้องแบ่งกบาลจำหน้าพวกเธอทุกคนด้วยว่า คนไหนให้แบงค์อะไรมาเพื่อจะได้นำทอนให้ถูกคน เพราะหากทอนผิดคนไอ้ตี๋ย่อม “จน” คนเดียว ที่สุดผมก็เรียกเงินมาเคลียร์แล้วขอซองบุหรี่มาฉีกออก เอาด้านในใช้ทำบัญชีตามราคาเงินกับสินค้าให้ตรงกัน ส่วนเงินที่ต้องทอนให้ต่างเคลียร์กันเอง ซึ่งหากไม่ทำดังกล่าวกับจำนวนคนเช่นนี้ อะไรจะเกิดกับเด็กส่งกาแฟบนกองปราบฯ
นี่เป็นข้อคิดเห็นที่ผมไม่อยากผ่าน เพราะแต่แรกผมไม่เคยเห็นคุณค่าของซองบุหรี่สูบหมดก็ทิ้งเผลอๆ ทิ้งซุ่ยๆเสียด้วย พอเข้าตะรางเห็น มังกรเก้าเล้ง หรือ เฮียกุ่ย ใช้กระดาษซองบุหรี่จดรายการสั่งซื้อของ, เขียนส่งซิกกับสิบเวร และสำคัญที่สุด มันสามารถใช้เขียนถึงญาติๆ พ่อ-แม่ ลูกเมียได้โดยผมเองเป็นผู้บรรเลงให้คุณลุงขับรถตุ๊กตุ๊กกับมือตามบัญชาของแกว่า
“ถึงตุ๊…ไม่ต้องเอาเงินออกมาเสียค่าซ่อม-ค่าปรับรถให้นายประกันมันนะ พี่ติดคุกได้ เงินมันหายาก พี่ไม่ตั้งใจขับรถชนเขาหรอก พี่ขับหลบเด็กมัน ส่วนเรื่องเถ้าแก่ ให้มันมาพูดกับพี่ที่โรงพัก…คิดถึงตุ๊กับลูกๆ ทุกคน”
ข้อความดังกล่าวด้วยลายมือผมครั้งแรกในตะรางบินไปกับญาติๆ ของผู้ต้องหาที่ผมมองออกว่า “เอางาน” แล้วส่วน “เมล์เถื่อน” จะถึงจุดหมายและได้ผลแค่ไหนย่อมต้องขึ้นอยู่กับผู้นำ “ซองบุหรี่” ท่านนั้นด้วย ใช้เวลาบนห้องร้อยเวรกองบังคับการกองปราบปรามสามยอดบันทึกเรื่องราวอยู่จนกลุ่มดาวหลงฟ้าถูกต้อนขึ้นรถเมล์ส่งศาลเสร็จสิ้น ทั้งห้องก็เหลือแต่ผมกับกองเศษถุงอาหารนานาชนิดกลาดเกลื่อนห้อง
๑๐ นาฬิกาตรง แสงแดดลอดให้เห็นนิดเดียว ผมถูกปลดกุญแจมือออกจากม้านั่งไปอยู่ในท่าใส่กุญแจมือไขว้หลังลงจากกองบังคับการกองปราบฯ ไปขึ้นรถเซฟตรวจการณ์ โดยมีตำรวจชุดคอมมานโด ๒ ท่านอาวุธพร้อมนั่งประกบตลอดทาง ถึง สน.นางเลิ้งไม่ทันเข้าตะรางบริเวณหน้าโต๊ะสิบเวร ผมถึงกับก้าวขาไม่ออกที่ปะพระคุณเจ้าหลวงพ่อลุกเดินมาหาทีท่าสุขุม เยือกเย็น ส่วนเบื้องหลังองค์ท่านเป็นสาวสวยแต่งกายทีนสมัย มีอาภรณ์ประดับแพรวพราวส่งยิ้มแต่ไกล ๓ นาง สองขาที่หยัดปักชนกับนักสู้ด้วยกันมาไม่น้อยของผมอ่อนยวบ อยากกราบเท้าท่านแต่ถูกใส่กุญแจมือไขว้หลังอยู่จึงมองไปทางสิเวรขอให้ปลดพันธนาการข้อมือให้ด้วย เห็นแต่นัยน์ตาทมิฬเท่านั้นที่ได้รับ
“ลุกขึ้นเถอะลูก อายเขา คนเขามองกันอยู่” พระคุณเจ้าค้อมองค์ลงกระซิบ
ผมลุกขึ้นยืนทำอากัปกิริยาให้สงบดังเดิมแล้วทีกทาย ๓ สาว อีนได้แก่ ไก่, กุ้ง, และก้อย โดยมีเสียงเตือนจากสิบเวรที่ถูกร้อยเวรเหล่ตามองกวนหูแซวๆ พอสิบเวรปลดกุญแจมือออก ด้วยอารมณ์สุดกลั้นผมขยับทิ้งขวาตรงเข้าเต็มหน้าสิบเวร พร้อมดึงประตูตะรางปิดขังตัวเองทันควัน
“ไอ้สัตว์ มึงระวัง”
ผมไม่ใยดีเสียงร้องมัน จับตาดูสีหน้าพระคุณเจ้า เฝ้าภาวนาอย่าได้มีใบหน้าเศร้าหมองเลย ส่วนสาวคนรักที่ใคร่พบหน้า พอถึงคราได้พบกันเต็มตาเยี่ยมนี้ผมกลับพูดได้ประโยคเดียว
“อย่าเสียใจเลยนะก้อย”
สาวเจ้าขยับจับซี่กรงเหล็กเบียดซีกหน้าแนบซี่กรงตาข่ายเหล็ก บอกไม่เต็มเสียง “ก้อยจะไปเป็นเมียน้อย “ท่าน” แล้วก้อยจะช่วยพี่เอง”
คำบอกนั่นเสียดแทงความรู้สึกแปลบทั้งที่หมดสิทธิ์ หญิงสาวต่อคำอีกประโยคเสียงชัดเจน
“ก้อยจะดูแลหลวงพ่อเอง ขอพี่อย่าได้ห่วงเลยจ๊ะ”
ผมดึงสายตาไปยังร่างอันครองผ้ากาสาวพัสตร์ พบท่านยิ้มปกติกล่าวให้กำลังใจ
“เมียเอ็งกะพ่อจะพยายามวิ่งทางทหารเขาดู”
จากนั้นท่านได้เตร่ไปคุยกับสิบเวรและร้อยเวรด้วยเรื่องที่ผมก่อไว้ เพื่อปล่อยให้ผมคุยกับแฟนสาวผู้กำลังโด่งดังของโลกมายาด้วยสายตามากกว่า โดยเฉพาะผมคงไม่มีอะไรพูดแน่นอน เมื่อเธอยืนยันพร้อมอุปการะพระคุณเจ้าพระองค์เดียวในชีวิตหนักแน่นเมื่อครู่ จวบหญิงสาววกพูดเรื่องเก่า ท่าทางสีหน้าจริงจัง
“หมวดเป้าเขามาติดต่อก้อยเอง เขาบอกว่าอย่างดีท่านก็มานอนเดือนละครั้ง แต่มีเงินเดือน มีบ้านอยู่ และมีรถขับด้วย”
“ก้อยมีเหตุผลที่ทำหนือเปล่า”
“มีจ๊ะ บ้านเราถูกไล่ที่”
“ดีแล้วละ” ผมสนับสนุน
สัญญานกริ่งหมดเวลาเยี่ยมดังจากน้ำมือสิบเวร ก้อย, ไก่ และกุ้งต่างกระพุ่งมือไหว้ลาผมอ่อนโยน ส่วนหลวงพ่อคงเดินนำทุกคนออกไปก่อน ผมเลยได้แต่ชะเง้อคอยาวออกไปหน้าสถานีส่งท่าน ช่วงยืนเหม่อเกาะซี่กรงตะรางโดดเดียว เด็กหนุ่มทรงผมนักเรียนซึ่งได้ประกันตัวไปแล้วกับพรรคพวก แต่ฝ่ากลับเข้าตะรางเพียงคนเดียวอีกครั้งเดินมาเยือนอยู่ข้างๆ ผมไม่ทราบว่าเขาคิดอะไร สำหรับผมมีความข้องใจที่เขากลับเข้ามาในนี้อีกครั้งตั้งแต่ตอนถูกส่งไปกอบปราบฯ นั่นแล้วจึงเลียบเคียง
“น้องมีปัญหาอะไรหรือจึงเข้ามาอีก”
วัยลำพองผินหน้ามองผม หนังตากระตุกระริก ใบหน้าหล่อเหลาแลอ่อนโลก บัดนี้เหลืองแห้งลบสง่าชาติบุรุษสิ้น อึดใจ เด็กหนุ่มพับคอลงคล้ายจ้องมองตีน ส่ายหัวไปมาบอกเสียงเบาแผ่วหวิว
“ผมขอถอนประกันตัวกับรับสารภาพว่ารุมโทรมหญิงเป็นรายที่ ๔ ครับ”
ผมเติมเอาบ้าง “ไหนว่า วิ่ง ล้มคดีได้แล้วจะเรียนต่อ…หรือเกิดสำนึกผิด”
“เพื่อทรมานก่อนตายครับ”
คำบอกวัยลำพองติงปัญญาให้ค้นหาสาเหตุจากถ้อยคำประโยคนั้นจากวัยคะนองทันที พักใหญ่ต่อหน้าซี่กรงตะรางผมก็พอสรุปได้
เขาชื่อเล่น “เอ” มีน้องสาววัยต่างกันปีเดียวนิกเนมว่า “บี” เอบอกว่าเขารักน้องสาวคนนี้มาก เหตุที่รักน้องมากด้วยทั้งบ้านมีพ่อ แต่ขาดแม่ จึงมีหน้าที่คอยติดตามดูพฤติการณ์น้องสาวหนีเที่ยวมาตลอด จนกลายเป็นเพื่อนหนีเที่ยวกันทุกคืนที่คุณพ่อค้างบ้านภรรยาน้อย กระทั่งถึงคืนวันเกิดเหตุตนขับรถไปที่สโมสรของทางสนามม้าพบ ๓ เพื่อนบอกว่าได้มอบยา “เด็ก” แล้วหามไปทิ้งไว้กลางสนามกอล์ฟ ให้รีบไป “ชิม” เขาก็ไปจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุพบเด็กสาวนอนเปลือยอยู่กลางพื้นหญ้า เดือนก็มืด ตนจึงไม่สามารถจำแนกออกว่าเหยื่อนั้นหน้าตาเช่นไร จนกระทั่ง ๓ เพื่อนเสร็จกิจ พากันจับตัวเขาแก้ผ้า นั่นแหละที่เขาเหลือทานจึงทำการข่มขืนเหยื่อ ๑ ครั้ง พอดีเพื่อนๆ ตะโกนบอกตำรวจมาก่อนถูกล้อมจับได้หมดทั้งแก๊ง
ผมปิดสำนวนชัดคำ “ที่เล่ามานั่นมันเป็นเหตุทางคดี พี่อยากรู้เรื่องที่น้องอยากทรมานก่อนตายมากกว่า”
ไอ้หนุ่มอึกอัก หน้าหมอง ตอบเบากริบ “ผู้หญิงที่ผมข่มขืน คือ น้องบี ครับ”
น้ำคำวัยลำพองมีผลสะท้อนให้เร่าๆ หมายจุดไฟที่เคยมีผู้กล่าวว่าอัดเต็มอยู่ในทรวงสาวหนุ่มให้กระจัดกระจายกันจุดชูแสงให้เห็นเป็นรูปธรรมทางสังคมยิ่งขึ้น
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม