3781. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 40 กติกาเถื่อน (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 40 กติกาเถื่อน (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ศิลปินเพลงรังสรรค์วลีเร้าอารมณ์ไม่ยาวความว่า บ้านคือวิมานของเรา นั้นผมพอเข้าใจทั้งมีความรู้สึกเช่นที่กล่าวตั้งแต่รู้จักหิ้วปิ่นโตตามหลังพระ ตกมาวันนี้ ล่วงเข้าตะวันรอนแม้ วิมาน หาใช่ บ้าน กลับเป็น ตะราง ก็ไม่ยอมทำใจให้เกินทุกข์ เพราะทุกข์นั้นพระคุณเจ้าบอกคือสนิมปัญญา จึงปรับตัวเองกลมกลืนกับสภาพและบรรยากาศชาวตะราง โดยขยับถอดเสื้อที่ใส่มาจาก ร.พ.ตำรวจออกฉายหุ่นน่าเล่นลิเกมากกว่านักบู๊มาขยุ้มใช้หนุนหัวแทนหมอน แต่เจ้าของร่างประเปรียวทะมัดทะแมง ผิวเหลืองยี่ห้อ อนันต์ยืนยง ซึ่งนั่งพิงหลังกับซี่กรงเหล็กหน้าห้องควบคุมหญิงอยู่ส่งขันพลาสติกให้

“เอาขันนี่หนุนดีกว่าเปี๊ยก เสื้อจะได้เอาไว้ใส่นอนตอนกลางคืน”

ผมตะแคงตัวรับหมอนพลาสติกมาคว่ำหนุนหัวเจ้าของรอยสักมังกร ๙ ตัวปราดมาทรุดนั่งยองๆ ระหว่างกลาง มือขวาถือ ช้างแดง ราว ๕ เชือก ส่งให้ดาวดังวัดสระเกศและก้มลงกระซิบ
“ไอ้ ๕ เสี่ยนั่น มันให้ค่าทำความสะอาดห้องน้ำกับเอาถังขยะไปเทมา ๕๐๐ บาท ขอยกเว้นไม่ต้องทำ”

ผมสนใจ นันรับเงินสด ๕๐๐ บาทนั่นไว้ เฮียกุ่ยยิ้มให้ก่อนลุกไปหน้าห้องวิสาสะกับ ๕ นักพนันเงินถังด้วยกินอันใดไม่ทราบ หลังเก็บเงินเข้ากระเป๋า น้องชายขุนโจร ๓ ล้านแจงเรื่องเงินซึ่งต้องรีดเอาจาก ๕ นักพนันว่าเป็นกฏหรือกติกาของหัวหน้าห้องทุกรุ่น ทุกคนต้องขวนขวายหาให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ บาท เพื่อมอบให้สิบเวรแลกกับความสะดวกสบายที่หมดไป เช่น ได้รับการอนุโลมให้ญาติส่งสิ่งของหรืออาหารนอกเวลาเยี่ยมได้ และถ้าเงินเกินจำนวนเขายังนำไปจัดซื้ออาหารคาวหวานเข้ามาเลี้ยงดูพรรคพวก ซึ่งกินข้าวราดแกงคนละจานเล็กๆ ของทางโรงพักต่อ ๑ มื้อไม่ถึงครึ่งท้องให้บรรเทาหิวได้

ส่วนที่เหลือจากนั้นเขาจะเก็บสะสมไว้เป็นเงินสำรองให้พรรคพวกติดกระเป๋าขณะส่งตัวไปศาลอาญาและเข้าเรือนจำ ดังกล่าว นับว่าทั้งแปลกทั้งประหลาดเมื่อสังคมคนทุกข์ในที่แคบมีกฎหรือกติกาเยี่ยงสังคมเมือง จึงเลียบเคียงหาเหตุ

“ถ้าหากวันไหนบังเอิญหาเงินไม่ได้ล่ะ”

เขายิ้ม แจงเสียงต่ำชัดคำ “เรื่องนี้ไม่ยาก มีพวกสก็อตเอา ของกลาง เช่น ฝิ่น กัญชา กับแคปซูลมาให้ปล่อยกับพวกติดเสพเกือบทุกวัน เหล้าก็มี เช่น แม่โขงผสมเป๊ปซี่แบนละ ๑๐๐ บาทขาดตัว”

“ทำไมขายแพงนักล่ะ” ผมครวญ

“เราว่าไม่แพงนะ เพราะพวกที่ต้องการส่วนใหญ่รู้ดีว่าของนั่นเอาเข้าลำบากคนเอามาส่งเขาต้องเสี่ยงจึงฟันค่าฝีมือไป ๗๐ บาทในฐานะคนกลาง”

คำบอกสหาย ในความคิดกับความรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย เนื่องคล้ายรีดเลือดกับปูเลยสงบคำ นอนปิดตาปันใจให้สะทกสะท้านเยี่ยงนักบุญคนบาป ทว่าอาการเงียบงันของผมคงสื่อความหมายแก่เพื่อนเชิงไม่สู้เห็นด้วยนัก ดลให้เขาต่อคำเผยเรื่องในอกราวเจตนาป้อนความคิดกับความรู้สึกให้คล้อยตาม

“เรื่องที่บอกเล่าให้นายรู้ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เกิดจากความคิดเรานะ ก็อย่างที่บอกน่ะแหละว่า มันเป็นกฎกับกติกาที่สิบเวรกับมหาเหน่เขาทำกันมาก่อน ต่อมาพอมหาเหน่ส่งตัวไปลาดยาว เราถึงรับหน้าเสื่อเพื่อซื้อความสะดวกสบายเท่าที่หาได้ กับเก็บเงินไว้ใช้สอยในคุกบ้างเท่านั้น…เราไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ-แม่ เหลือพี่น้องอีก ๒-๓ คนก็ผู้หญิงล้วน”

“เราเข้าใจนายดี นัน” ผมประโลม

เขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาท่าทางแลขรึมสงบใบหน้าคล้ำขาวซีด กล่าวหนักแน่นดั่งชั่งน้ำหนักความหมายแห่งน้ำคำตัวอีกคราว

“มหาเหน่บอกว่าอยู่คุกหรือตะรางต้องมีเขี้ยวมีเล็บ ความเห็นแก่ตัวต้องมาก่อน เมื่อสามารถยืนด้วยขาตนเองได้แล้วค่อยช่วยเหลือเพื่อน ซึ่งเมื่อเราลองคิดดูและสังเกตเอาจากหลายสิบคนที่ผ่านคุกโชกโซนทั้งรุ่นเดียวกันหรือรุ่นใหญ่ มันเข้าข่ายที่ลุงเหน่พูดไม่ผิด ส่วนใหญ่ไม่เคยวอร์รี่ว่าจะถูกมองเป็นคนเห็นแกตัวหรืออันธพาล ดังนั้นทุกคนที่รู้ว่าตัวเองถูกส่งลาดยาวแน่จึง ฟันเละ ขณะอยู่โรงพักเฉพาะมหาเหน่คนเดียวแกฟันเหยียบหมื่น บุหรี่เกือบ ๒๐๐ ซอง มิหนำซ้ำยังเซฟฝิ่นเข้าตูดอีกแท่งเบ้อเริ่ม”

น้ำเสียงหนักแน่นแต่เร่าร้อนจากคำบอกสหายตรึงผมนอนนิ่ง ลืมตามองหยากไย่บนเพดานห้องควบคุมอย่างท้อแท้ที่ความเป็นมนุษย์พรากไปตามกฎอันคนบัญญัติทั้งสิ้น ช่วงกำลังสับสนทางความคิด นันก้มหน้ามาถาม

“นายเข้าใจแล้วใช่ไหมกับสิ่งที่เราทำ”

ผมยิ้มให้ “เข้าใจทุกอย่าง”

“ต่อไปนายคงทำใจได้ กระทั่งชินชาจนรู้สึกธรรมดา”

“ก็คงไม่แคล้ว” ผมแบ่งรับแบ่งสู้

ท่ามกลางบทพาทีกำลังติดพัน เสียงไขกุญแจประตูดึงกลอนห้องควบคุมดังครืน นันสะบัดหน้าไปมอง ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยห่วงแผลปืนบริเวณหน้าท้องกระนั้นก็ไม่อาจมองเห็นสภาพด้านนอกห้อง ด้วยพรรคพวกเฮกันไปยืนเกาะซี่กรงเหล็กสนุ้กตาเต็มเบ้า พอประตูห้องปิด ชาวตะรางถอยหลบ ร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง ผมหยิก หน้าเหลี่ยม จมูกโค้งราวปากเหยี่ยววัย ๓๐ ปีเศษผ่านเข้ามาเป็นรายแรก นันบอกพอได้ยิน

“บังเซ็มกับเด็กขายกัญชาแถวยมราชว่ะ ดูเหมือนมี ๕ คน”

เมื่อ ๕ สมาชิกใหม่เข้ามาครบ สิบเวรคนใหม่ร่างสูงเพรียวยศจ่ากวักมือเรียกเพื่อนไปกระซิบก่อนปิดประตู สามชิกใหม่ถูกเฮียกุ่ยเรียกให้นั่งลงข้างๆ ผมจึงถือโอกาสทักทายรุ่นใหญ่เจ้าของก๊วนกัญชา หลังตลาดผดุงกรุงเกษม แต่ไม่ลืมสังเกตอิริยา ๕ เสี่ยนักพนันซึ่งพากันส่ายหน้าเอือมระอา นันกลับมาทรุดลงนั่งที่เดิม พลางยิ้มทักทายรุ่นใหญ่เป็นอันดี สักครู่ก็หันไปทางไอ้หนุ่มผิวเหลืองหุ่นเตี้ยล่ำ ทรงผมรากไทร

“นายชื่อ ทุ้ย ใช่ไหม” เพื่อนถามเรียบๆ

“ใช่…มีอะไรหรือ”

นันผินหน้าไปทางรุ่นใหญ่อีกครั้ง “เขาคู่คดีกับบังหรือเปล่า”

“ไม่ใช่” รุ่นใหญ่บอก “มันถูกจับมั่วสุมสูบกัญชา บังถูกข้อหาอะไรยังไม่รู้คงโดนอันธพาลแหงๆ”

คำบอกนักค้ากัญชาชื่อดังผมไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก เพราะเหลือบไปเห็นเพื่อนซี้ส่งซิก ทางสายตากับ กุ่ยเก้าเล้ง ดังนั้น หลังคำบอกเจ้าของก๊วนนันเบนสายตากลับไปยังถุนกัญชาหุ่นเตี้ยล่ำอีกครั้ง

“สิบเวรแกบอกว่านายมี เนื้อ กับ แคป ซ่อนเข้ามาจริงไหม”

สมาชิกใหม่ตีหน้าเหลอ พร้อมหันมองไปนอกห้อง นัยน์ตาดำขาวกลอกกลิ้งไปมา

“นายมีหรือเปล่า” นันย้ำ

“แปลกนะบัง เมื่อกี้ก็ตรวจค้นตัวทุกคนแล้ว ยังเอาขี้มาป้ายอีก” ตอบเลี่ยงๆ

“สิบเวรแกขอเงินผม ๓๐๐ บาท เพราะแกปล่อยให้นายเอาของเข้ามาได้” เขายิงเข้าเป้า

สิ้นเสียงดาวดังวัดสระเกศ อีกเสียงหนึ่งหลุดจากหนุ่มผิวคล้ำนั่งคู่กัน

“เอ๊ะ…ของ ของพวกเรา แต่สิบเวรไปเอาเงินนาย”

“ไอ้ชีพ เขากำลังพูดเป็นงานเป็นการกันนะ” บังเซ็มปราม

“ก็ได้” มันรับคำ ทีท่าน่าตบด้วยตีน

“เราถามว่านายมีของ เข้ามาใช่ไหม” นันชักเสียงขุ่น

“นายจะเอา” ทุ้ยไม่ระย่อ

“เราขอครึ่งหนึ่ง แลกกับเงิน ๓๐๐ บาท”

“หยั่งงั้นเงิน ๓๐๐ บาทนั่นเราให้นายเอง”

จบคำ ทุ้ยขยับนั่งคกเข่าล้วงเงินปึกใหญ่ มีทั้งใบย่อยและช้างแดงจากกระเป๋าหลังประมาณ ๗๐๐-๘๐๐ บาท มานับใบย่อยกองไว้กองละร้อยได้ ๒ กอง นันขยับร่าง ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณบ่งการตัดสินใจเกิดขึ้น บัดดล…ราวอาการฉกอสรพิษ ๒ มือเพื่อนตะปบแย่งเงินทั่งหมดทันใด

“เฮ้ย!” ทุ้ยผงะ ร้องลั่น ตาเบิกโพลง

นันยื่นเงินทั้งปึกให้ผม ตาประสานตาเจ้าของทรัพย์ อีก ๓ สมาชิกเพื่อนร่วมห้องหน้าซีดเผือดฟ้องชั่วโมงบิน ทั้งตะรางเงียบกริบ

“เอา ของ ทั้งหมดออกมา” ประกาศิตสหายชัดเจน

บังเซ็มคงอัดอั้นตันอก กล่าวเสียงเข้มกลางกระแสเซี่ยวทางอารมณ์คู่กรณี

“ไอ้ทุ้ย บังขอเตือน บันได สำหรับมึงไม่ใช่ อนันต์ยืนยง คนนี้แน่”

“เราขอเถอะ” เพื่อนตามเกมได้สวย

ทุ้ยหลบตาลงต่ำ เทลมหายใจพรืด เฉียงตามอง ๓ เพื่อนคู่คดี เห็นจ๋อยจนซีดก็ตัดใจล้วงเข้าไปใน เซียกระเพาะ (กระเป๋าในหน้าท้อง) ดึงเอาวัตถุแพ็กด้วยถุงพลาสติกรัดหนังยางแน่นหนา สามารถ เซฟ เข้าทวารได้ทันทีออกมาส่งให้ นันรับวัตถุกลมยาวขนาดผลกล้วยหอมมาบีบ นัยน์ตาคมกริบไม่ละจากคู่กรณี

“นี่แคปใช่ไหม” นันถาม

“ใช่”

“แล้วเนื้อล่ะ”

ทุ้ยหน้าเหี่ยวลงไปอีก หายใจแรง พยายามลุกขึ้นยืน แต่มังกร เก้าเล้ง พรวดขึ้นยืนกดหัวไว้ก่อน

“มึงจะลุกไปไหน”

“ก็ไปเอา เนื้อ น่ะสิ” บอกเสียงฉุน

“ไม่ต้องลุก บอกก็แล้วกันว่าอยู่ตรงไหน”

“ในรองเท้าหุ้มข้อท้ายห้อง”

มังกรรุ่นพี่ละมือจากหัวมันก้าวยาวๆ ไปท้ายห้อง ก้มลงหิ้วรองเท้าหนังกลับหุ้มข้อมาวางลงตรงหน้า ผมจัดการยัดเงินเชลยใส่กระเป๋าพลางล้วงเข้าไปในรองเท้า สัมผัสแรกรู้ว่าพบวัตถุก็ดึงออกมา

กัญชาอักแท่งประมาณครึ่งขีดอัดแน่นในถุงพลาสติก ล้วงไปอีกข้างหนึ่งพบอีกถุงหนึ่งน้ำหนักพอกัน คราวนี้ ภายในห้องปรากฏเสียงกระซิบกระซาบ ผมปรายตาสำรวจกิริยาชาวตะรางหาผลสนองตอบพฤติกรรมตน พอสงบดี บางรายยิ้มให้ยังกะว่าเหตุที่อุบัติเป็นเรื่องเปิดตัววีรบุรุษ

“พวกนายลุกไปนั่งฝั่งโน้นได้แล้ว” นันไล่

ทุ้ยทำหน้าละห้อย บอกตะกุกตะกัก

“น่าจะแบ่งของให้พวกผมบ้าง”

“แบ่งแน่ ขอให้มืดเสียก่อน”

อย่างว่าง่าย ทั้ง ๔ หนุ่มลุกไปนั่งฝั่งตรงข้ามพากันถอดเสื้อออกเหงื่อแตกพลั่ก นันขอเงินในงบโจร ๓๐๐ บาท ลุกไปยืนแตร่หน้าประตูห้องควบคุมโดยมี ๕ เสี่ยนักพนันจับมือถือแขนทักทายเป็นอันดี ผมนั่งลุ้นเพื่อนมิให้ลอยตามด้วยทางข้างหน้าขวากหนามคมแหลมแกร่งกร้าวกว่านี้ยังมี เหตุการณ์ผ่านเหมือนปกติ

ถึงเวลาอาหารเย็นจากรสมือตำรวจนำเสิร์ฟ ๕ เสี่ยนักพนันประกันตัวได้พากันโบกมือล่ำลาสีหน้าสดชื่น มังกร เก้าเล้ง ทำหน้าที่เดินเสิรฟ์ข้าวราดน้ำแกงกะหรี่ทั้งขังหญิง-ขังชายทั่วหน้า ต่างรีบกินราวกับแม่ครัวให้ความหวังจะมาเสิรฟ์อีกคนละหลายจาน แท้จริงล้วนความหิวบงการ

๑๘.๐๐ นาฬิกาตรง ไฟฟ้าบนสถานีสว่างจ้า ความพลุกพล่านซาไป ด้านหน้าห้องควบคุมใกล้กับโต๊ะสิบเวร ขวามือตั้งโต๊ะเสมียนไว้ ๒ ตัว เครื่องพิมพ์ดีด ๒ เครื่องว่างเปล่าคน คุณจ่าเดินไปแกว่งตุ้มระฆังทองเหลืองดังกลบเสียงวอล์กี้ทอล์กกี้บนโต๊ะติดกับคอกสิบเวร แถวตำรวจที่รอเชิญธงไตรรงค์ลงจากเสากระทำวันทยาวุธเสียงตบปืนดังกราว เพลงชาติตามคลื่นสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกระหึ่มเข้ามาถึงวิมานจนหายเครียดได้อย่างพิสดาร

หันมาดูในตะรางขังตัวเองบ้าง เจอเฮียกุ่ยวุ่นถามความเห็นมวลชนสมาชิกว่าใครจะกินอะไร แล้วก็จดไว้บนซองบุหรี่กรุงทองด้านในถ้วนหน้า รวมถึงขังหญิงด้วยก็เหวี่ยงสายตาไปยังเพื่อนซี้ นันยิ้มกว้าง ผมใช้มือตบเงินโจรในกระเป๋าเชิงถามรายการ นั่นใช้งบฯ นี้ใช่ไหม พวกกลับลุกมายืนเกาะซี่กรงเหล็กถามแทนตอบสั้นๆ

“เปี๊ยกคิดว่าเราสมควรเอาเงินมันจัดซื้อของเข้ามากินหรือเปล่า”

ผมใช้แขนขวาโอบไปรอบเอวเขา กระซิบเสนอความเห็นที่คิดไว้ให้ตัดสินใจอีกงานแทนตอบ

“เงินนี่เหลือล่ะ จะคืนมันหรือฮุบหมด”

“คืนแต่เงินครึ่งหนึ่ง ส่วน เนื้อ กับ แคป แจกให้เมากันในนี้แหละ”

ผิดคาด-เดิมผมลงความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ช้างคืนงาที่งอก แต่เสือหิวกลับสละชิ้นเนื้อในปากได้ฉับพลัน

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: