3780. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 39 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 39 เดชมังกร ๙ ตัว (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เมื่อรู้สึกตัวลืมตาในความสว่างจากแสงนีออน สิ่งที่สัมผัสและสังเกตบอกให้ทราบว่าสายป่านเลวยังไม่สิ้นสภาพยังทอดร่างอยู่บนเตียงสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงนอนสำรวจตัวเองกับบรรยากาศรอบข้างอันมีเตียงเหล็กอีกประมาณ ๒๐ เตียง ฝั่งละ ๑๐ เตียง มีผู้ป่วยนอนแบ็บประจำทุกเตียง บัดนี้เงียบเหงา

มองดูตัวเองบ้าง กลับไม่รู้สึกว้าเหว่ อย่างน้อยยังมีสุภาพบุรุษร่างใหญ่วัย ๓๐ ปีเศษในชุดสีกากียศสิบตำรวจเอก นั่งพกปืนสั้นกำอยู่บนเก้าอี้เหล็กปลายเตียงเป็นเพื่อน และที่แนบแน่นติดเนื้อกายกว่ายังมีกุญแจมือคล้องข้อตีนติดกับเตียงล่ามไว้ประจานพฤติกรรมตนด้วย

“กี่โมงแล้วครับ หมู่”

ผู้หมู่ร่างใหญ่หันกลับมามอง บอกเรียบไ “ทุ่มกว่าแล้ว”

นี่ที่ไหนครับ”

“โรงพยาบาลตำรวจ” บอกพลางลุกจากเก้าอี้มายืนชิดขอบเตียง และเสริม “มึงนี่มีหลายคดีทีเดียว คงแสบเอาเรื่องสิ พระเจ้าพลอยอดหลับอดนอนไปด้วย”

ผมรีบหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดจนแผลปืนบริเวณหน้าท้องเจ็บแปลบ เสียงหมู่ดังขึ้นอีก

“พระท่านฝากของไว้ให้มึง หิวก็กินซะ เลือกกินที่มันย่อยง่ายก็แล้วกัน”

ครั้งนี้ผมลืมตาโพลง ผู้หมู่วางถุงพลาสติกบรรจุของฝากลงบนฟูกข้างกายแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ผมทนเจ็บเขยิบท่านอนสูงขึ้นจนสุดข้อตีนที่ล่ามกุญแจมืออยู่ จากนั้นก็เปิดปากถุงออกกว้าง ๒ ดวงตามองสิ่งของซึ่งผู้หมู่บอกว่ามาจากพระ ในถุงอันมีกล้วยหอม ๔-๕ ผล ไข่เค็ม ๖ ฟอง ข้าวต้มมัด ๕ กลีบ พร้อมองุ่น ๑ พวง และนี่คงเนื่องด้วยไม่ได้ดื่มน้ำมานับ ๑๐ ชั่วโมงหลังหมดสติ ผมคว้าองุ่นพวงนั้นออกมาทันควัน ข้าวสุกสีขาวนวลร่วงพรูบนที่นอน ผมกัดฟันกรอด วางพวงองุ่นไว้บนอก ยกมือขึ้นไหว้ ส่งใจกราบแทบเท้าท่านพร้อมกรวดน้ำให้พุทธศาสนิกชนจงได้ผลแห่งกุศลกรรมดีที่ประกอบไว้ด้วยเถิด

จวบคืนนั้นผ่านไป…เช้าตรู่วันใหม่ผมตื่นตาด้วยอาการกระปรี้กระเปร่า ให้พยาบาลทำความสะอาดแผล โดยมีผู้ควบคุมใหม่ยศสิบตำรวจโทเข้ารับเวรแทน ตกสายหน่อยคำบอกของหัวหมู่ผลัดกลางคืนที่ว่าผมเจอเข้าหลายคดีปรากฏรูปธรรมชัด เมื่อพนักงานสอบสวนจากสถานีตำรวจนครบาลหลายท้องที่หมุนกันสอบปากคำ บางรายพาโจทก์หรือเจ้าทุกข์มาดูตัวด้วยคดีตั้งแต่ขอหาชิงทรัพย์ยันปล้นทรัพย์โดยมีเหยี่ยวอาชญากรรมบันทึกปากคำโจทก์ท่าเดียว จรดเที่ยงวันผมก็เครียด เมื่อผสมผสานกับข้อเท็จจริงที่ตัวเองบริสุทธิ์จากคำกล่าวหาที่โละให้ อาการเก็บกดอันซุกวิสัยไม่ยอมคน มุทะลุ ก้าวร้าว ได้สำแดงออกด้วยการสาดข้าวต้มในถาดของทาง ร.พ. ไล่ไม่เลือกหน้า ทุกคนแตกกระเจิง ผมนอนหอบ เจ็บบริเวณบาดแผลพร้อมเสียดท้องขึ้นมาทันใด ผู้ควบคุมเข้ามาตะคอกเสียงฉุน

“ไอ้บ้า เดี๋ยวเถอะมึง วอนแล้วไหมล่ะ”

ผมเบรกแตก “ฆ่าเลยสิหมู่ หากเหม็นหน้านัก”

เขาปราดถึงเตียง ก้มลงละเลงความจงชังใส่ “กลับถึงโรงพักแล้วมึงจะรู้จักกู”

ร่ำๆ จะโต้ ผู้หมวดหนุ่มท่านหนึ่งแบก ๒ ดาวเงินบนบ่าปราดเข้าขวาง

“หมู่หลับไปนั่งที่เดิมก่อน”

สิบโทสูงวัยกว่าละจากผม โดยทิ้งสายตาสำแดงแววลำพองไม่ผิดสงห์ตะปบเขียดไว้ใต้อุ่งตีน ผมไม่ใส่ใจ สายตาจับอยู่ที่ร่างผู้หมวดวัย ๒๗ ปี

“หมวดตั้งใจว่าจะมาสอบปากคำคุณอยู่ แต่เห็นฝ่ายอื่นเขาสอบติดพันมาครึ่งวันแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่นะ”

ดวงตาผมเบนไปมองป้ายชื่อบนหน้าอกหมวดหนุ่มแทน เพียงหูสัมผัสถ้อยคำนุ่มหูนั่นเท่านั้นเอง สักครู่ได้มีนายแพทย์เจ้าของไข้เข้าไปเจรจาความกับพนักงานสอบสวนพร้อมสื่อมวลชนเชิงขอร้องให้พักเรื่องรบกวนผู้ป่วยเสีย นั่นแหละที่บรรดาเหยี่ยวข่าวและช่างภาพกับเหยื่อปิดคดีถึงได้พาใบหน้าบูดๆ จากไปจนเหลือหัวหมู่คนเก่งนั่งไหล่ตั้งอยู่ปลายเตียงท่านเดียว

วันเวลาที่นอนให้แพทย์-พยาบาลเยียวยาแผลกระสุนปืนเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า จนได้กำหนดตัดไหมที่เย็บแผลผ่าหน้าท้องเอาหัวกระสุนปืนออก ก็มีพนักงานสอบสวนจาก สน.พญาไทนำพยานโจทก์หรือ ไอ้เบิร์ด เด็กเชิญแขกสถานบริการอาบ-อบ-นวดไมอามี่ที่ให้การซัดทอด นายเปี๊ยก ร่วมปล้นด้วยมาชี้ตัวกันต่อหน้า ที่สุดปรากฏว่าไม่ใช่ผม แต่เป็น เปี๊ยก_เทวราช ดาราดังย่านเทเวศร์ จึงถือโอกาสบอกฝากนักข่าวไปถึงพนักงานสอบสวนที่เตรียมหอบแฟ้มมายัดคดีให้รีบมาเสีย จะได้ปิดสำนวนคดีส่งอัยการผลักงานพ้นตัวก่อนพิจารณาขั้นและเงินเดือน นั่นคือลักษณะการก้าวร้าวที่ใครเสี้ยม? (ขออัยชาวโล่เขน ที่ดี ยุคนี้ด้วยครับผม)

และแล้ว ในต้นสัปดาห์ที่ ๓ การเดินทางสู่ที่ใหม่ได้มาถึงตอน ๑๐ โมงเช้าโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวน ๒ นาย อาวุธครบมือจาก สน.นางเลิ้งพาเดินสวมกุญแจมือหลังโค้งเล็กน้อย ไปขึ้นจี๊ปเล็กตราโล่หน้าตึกชาติตระการโกศลโดยสงบ พอวงล้อจี๊ปเคลื่อนพ้นประตูกรมตำรวจ โชเฟอร์บอกโดยไม่หันมา

“มึงถูกข้อหาอันธพานด้วยนี่หว่าเปี๊ยก”

ผมไม่สะเทือนเพราะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ ๑ ใน ๒ หมู่ ที่ขึ้นไปรับตัวถึงเตียงซึ่งนั่งประกบผมอยู่กล่าวเหมือนต้องการลดความทารุณด้านจิตใจ

“ไม่แน่หรอกว่ะ อาจขังดูความประพฤติ ๓๐ วัน แล้วปล่อยก็ได้ เมื่อวานยังปล่อยไป ๒ คนเลย”

ผมเฉย ไม่อยากพูดให้เปลืองลม ปล่อยสมองว่างเตรียมเผชิญปัญหาเมื่อถึงสถานีดีกว่า ดังนั้นตลอดเส้นทางจากประตูน้ำยัน สน.นางเลิ้ง (ตึกแอนด์-โกเก่า มุมถนนกระออม) จึงได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์รถนานา

แสงแดดแผดจ้า ฟ้าสีคราม ติดกลุ่มเมฆสีขาวไว้ทั่ว ผมกับอาภรณ์ติดกายปราศจากคราบเลือดชุดใหม่ ที่หลวงพ่อนำไปให้วันแรกโดยไม่เห็นหน้าท่านก้าวลงจากจี๊ปเล็กอย่างระมัดระวังมิให้กระเทือนบาดแผลลงเหยียบบาทวิถี การ์ดค้มกัน ๒ ท่านถลาเข้าประกบเดินขึ้นบันไดสถานีเหมือน ไอ้ค่อม กลางสายตาโล่เขนหลายยศพร้อมชาวบ้านมองเป็นตาเดียว ผมเดินหลังโค้งสงบใจมิให้บุคคลทรงยศกับสถานที่ ข่ม จนจ๋อยตามการ์ดไปจนถึงหน้าโต๊ะสิบเวร ๔ สิงห์นครบาล อันมีจ่าชื่น จ่าทร จ่าท้าน และหมวดยุทธปรี่เข้ามายืนสำรวจโฉมด้วยใบหน้ายิ้มละไม สิบเวรร่างเล็กจัดการไขกุญแจมือ จ่าชื่นเจ้าของหุ่นทรงสูงเพรียว ตัดผมสั้นเกรียน สวมเสื้อกุยเฮง มีพระเครื่องห้อยเต็มคอ ตบหลังเบาๆ

“มึงนะมึง โดดเข่าไอ้ดมเสียกระอักเลือด…ดีนะที่มันไม่ยิงหัวเอา”

ผมเฉยอีก และไม่ใช่กลัวหรือเกรง เพราะทั้ง ๔ ท่านได้ตามล้างตามเช็ดมาตั้งแต่ผมอายุ ๑๕-๑๖ ขวบ ขณะวิ่งเข้าออกอยู่ในบ่อนหรือสนามม้ามาจนรู้ใจกันดีเฉพาะจ่าชื่นนั้น “ซี้ปึ๊ก ที่สุด และเมื่อข้อแขนมีอิสระจากสิบเวร เสียงคุ้นหูดังขึ้น

“เฮ้ย เปี๊ยก เจอข้อหาอะไรวะ”

ผมเงยหน้ามองเข้าไปยังซี่กรงตะรางเบื้องหน้าพบ อนันต์_ยืนยง น้องชายขุนโจร ๓ ล้านยืนเกาะซี่กรงมองมาก็ยิ้มให้ ส่วนคำตอบสิบเวรตอบแทน

“ประพฤติตนเป็นบุคคลอันธพาล ตามคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑ และ ๔๒ โว้ย”

จบคำแกรุนหลังให้ขยับไปยืนหน้าประตูแล้วไขกุญแจประตูตะรางเปิด ผมผ่านเข้าไปรับการทักทายจากชาวตะรางอีก ๓-๔ คน ครู่เดียวสิงห์ภูเขาทองดึงไปนั่งยังที่ของเขาพร้อมสอบถามเรื่องราวก็เปิดอกแจงให้เพื่อนรู้สิ้น

“มันกวาดเข้าลาดยาวหมดแน่ว่ะ”

ผมไม่เถียง เป็นฝ่ายถามบ้าง “แล้วนันเจอข้อหาอะไร”

“จับปืนได้ แต่ไม่เอาคดีปืน เอาอันธพาล”

“ขังมานานหรือยัง”

“เหลืออีก ๔-๕ วันส่งลาดยาว

“อ้าว…เห็นตำรวจบอกว่ามีปล่อยที่นี่ หลังจากขังครบ ๓๐ วัน”

“ไอ้นั่นพวกมี “เส้น กับ ทรัพย์ เพิ่งปล่อยไป ๒ คนเมื่อวานนี้”

“หยั่งงั้นก็สุดแต่ดวงเหอะ” ผมปลง

นับแต่นาทีนั้น ผมเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพตะรางขังคนเพศชาย ๑๑ นายกับเพศหญิงอีก ๒ นางวัยสาวใหญ่อันคลุ้งกลิ่นเยี่ยวกลิ่นขยะเหม็นะแม่งๆ จากถัง ๒๐๐ ลิตรตัดครึ่งสนิมเขรอะท้ายห้อง เที่ยงตรง สิบเวรอนุญาตให้ญาติๆ เข้าเยี่ยมผู่ต้องหาได้ หนุ่มหนึ่งเชื้อสายมังกร นุ่งกางเกงบอลตัวเดียวโชว์รอยสักมังกร เล่นสีงดงาม ๙ ตัวในท่าแผกกันตั้งแต่ปลีน่อง ๒ ข้าง ท่อนขา กลางแผงอก กลางแผ่นหลัง และสองแขน วัยรุ่นพี่ยี่ห้อ กุ่ยเก้าเล้ง (กุ่ย มังกร ๙ ตัว) มีความจัดเจนเชิงผ่า-ล้วงกระเป๋าคนติดอันดับ ๑ ใน ๑๐ ม้ามือทอง เคยรุ่งเมื่อ ๓ ปีก่อน แต่ดันติดฝิ่นหลังคณะปฏิวัติสั่งยุบเลิกฝิ่นและเสพเลยดับแสงทรุดลงนั่งข้างๆ ชะโงกหน้าบอกสิงห์ภูเขาเบากริบ

“ตำรวจจับเสี่ยนักพนันมา ๕ คนว่ะ กำลังพิมพ์มืออยู่ มันให้ร้อยเวรพันนึง ขออยู่นอกตะรางรอประกันตัว หมวดแกฉุนที่ดูถูก เดี๋ยวพิมพ์มือเสร็จส่งเข้ามาในนี้หากทำ “ไม่ดี เราขอนะเพื่อน…เปี๊ยกด้วย”

“ตามสะดวกเลยเฮียกุ่ย” นันว่า

ผมยิ้มให้รุ่นพี่ที่ให้เกียรติ ซึ่งก็คิดว่ามีในความรู้สึกทุกคนที่เป็นคน กุ่ย ผละลุกไปยืนด้านหน้าห้องเช่นเดิม ต่อมานันได้เล่าเรื่องพี่หนองถูกจับให้รับรู้ว่าพี่ชายถูกตำรวจท่านหนึ่งหักหลัง เขากำลังตามเก็บเพื่อแก้ให้พี่จึงถูกจับอันธพาล พักหนึ่งปรากฏชาวตะรางเคลื่อนไหว นันกับผมฉวัดตาไปยังด้านหน้า สิบเวรเปิดประตูให้ชายชาวจีนวัย ๔๐ ปีถึง ๕๐ ปี แต่งกายภูมิฐานรวม ๕ นายผ่านพร้อมปิดประตูดังตึง

“พักผ่อนตามสบายครับเสี่ย” กุ่ย เก้าเล้งสร้างไมตรี

“เหม็นจะตายห่า” เสี่ยสูงวัยกว่าเพื่อนบ่นออด ทั้งดึงผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกพลอยให้อีก ๔ อาเสี่ยเอาอย่าง

“มันถึงคราวแล้วน่า เสี่ย…เดี๋ยวก็ประกันตัวแล้วไม่ใช่หรือครับ”

อีกเสี่ยหนึ่งสมบูรณ์จนกลม หน้าขาวบวมฉึ่งจ้องตาเขม้นมองร่างมังกร ๙ ตัวทั่วร่างคู่สนทนาอย่างหยามหยันพลางโบกมือ

“ลื้ออยู้เฉยๆ ดีกว่า”

เซียนล้วงกระเป๋าส่ายหัวไปมาก่อนบอกสุ้มเสียงเดิม

“แล้วพวกเสี่ยจะยืนอยู่หยังงี้หรือครับ”

“อั๊วบอกว่าอย่าเสือก” ตวาดเสียงดัง สิบเวรทำไม่ได้ยิน

กุ่ยสวนคำผาง “กูต้องการให้มึงนั่งลง จะนั่งไหม”

ด้วยน้ำเสียงกร้าว กิริยาเอาจริง ซึ่งผมเห็นทางด้านหลังหยุดความลำพอง ๕ นักพนันลง นันสบตาผมวิบหนึ่งแล้วผินไปชมบทบาทน่องใหม่ เสี่ยสูงวัยคนเดินบ่นมากกว่าบอกเสียงนุ่มลง

“พื้นห้องมันสกปรกนี่คุณ”

นักล้วงย่างเข้าหานักพนันห่างในระยะช่วงเตะบัญชาหนักแน่น ร่างเกร็ง

“ถอดเสื้อออกทุกคนเร็ว”

“เอ๊ะ…อะไรกันนี่”

กูบอกให้ถอดเดี๋ยวนี้ อยากลองหรือ”

กุ่ยประกาศิตพลางขยับตีน อีก ๓ หนุ่มชาวตะรางลักษณะเจนคุกลุกขึ้นยืนเคียงหมาย ยำเละ ทุกคนในห้องที่ไม่เกี่ยวเบิ่งตายล ทั้ง ๕ เสี่ยหันเข้าซุบซิบกันพักเดียวก็พร้อมใจกันถอดเสื้อออก กุ่ยก้าวเข้าไปกระตุกเสื้อ ๕ ตัวมาถือไว้ สั่งเด็กหนุ่มชาวตะรางที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ให้ลุกไปเอาถังพลาสติกรองน้ำในก๊อกมาครึ่งถังแล้วเอาเสื้อจุ่มลงถังขยุ้มๆ วิบเดียวจึงบิดน้ำสะเด็ดยื่นให้

“เสี่ยช่ายกันเช็ดถูพื้นห้องให้ทั่วนะ จะได้นั่งสบายๆ”

เท่านั้นแหละ ๕ เสี่ยกรูกันกลับไปยืนเกาะซี่กรงเหล็ก ฟ้องสิบเวรยังกะขุนทอง สิบเวรบอกสั้นๆ

“มันเป็นระเบียบห้องควบคุม หัวหน้าห้องมีสิทธิใช้น้องใหม่ถูห้อง พวกคุณอย่าสร้างปัญหาดีกว่าน่า เขาใช้ให้ทำก็ควรทำ”

เมื่อไร้ที่พึ่ง บรรดาเสี่ยเริ่มฉลาด ช่วยกันใช้เสื้อของตนก้มหน้าถูพื้นตะรางท่ามกลางเสียงแซวดังขามจนพลอยกลั้นหัวเราะไม่อยู่จำปล่อยอารมณ์ขันชมนายทุนหน้าขาว หูแดงฉึ่ง ทำความสะอาดนรกชั้นแรกต้วมเตี้ยมชอบกล กุ่ยยืนเท้าเอวสำทับดุดัน
“คนมีเงินนิสัย เหี้ยอย่างพวกมึง หากเป็นคุกจะถูกจี้ลงแขกตูดกลวง…จำไว้”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: