3778.เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 37 สิงห์นักเสพ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 37 สิงห์นักเสพ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
เมื่อทราบข่าวทสงหนังสือพิมพ์ว่าได้ตกเป็น ๑ ใน ๔ คนร้ายบุกปล้นสถานบริการอาบ-อบ-นวด ไมอามี่ พร้อมรูดทรัพย์พนักงานชาย-หญิงตลอดไปถึงแขกผู้มาใช้บริการมูลค่าประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แล้วผม-ในฐานะตกที่นั่งดังเพราะเพื่อนมา ๒ งานทนอัดอั้นตันอกต่ออาญาแผ่นดินอันถูกชัดทอดจากจำเลยร่วมซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานโจทก์อยู่ ๕ วัน ก็ปลงใจหมายเอาเช้าตรู่วันนี้ล่ำลาหมู่เกียรติเพื่อนชาวเฟื่องเข้ากรุงเคลียร์ตัวเองกับพระคุณเจ้าหลวงพ่อ จึงเดินออกไปนั่งม้านั่งหน้าบ้านพักชมกิจที่นักรบในค่ายสุรนารีปฏิบัติอันไม่ต่างกับค่ายธนะรัชต์ เบ้าหลอมเดิมอย่างปวดร้าว
สักครู่ หมู่เกียรติภายในชุดฟาติคสีเขียวรัดกุม ยศสิบเอกทักทายด้วยใบหน้าเบิกบานสดใส
“หวัดดีตอนเช้า เปี๊ยก….เป็นยังไงเมื่อคืนนอกดึกหรือ”
“ดึกทุกคืน” ผมว่า
หัวหมู่สีหน้าสลดเป่าลมออกจากปาก ประกายในดวงตาบ่งความเหนื่อยล้าผมลอบสูดหายใจเงียบ นึกฉุนตัวเองที่ตอบคำถามเพื่อนตรงเกินไปจนลืมคิดถึงความรู้สึกเจ้าบ้าน อึดใจเขาขยับลงนั่งบนม้าตัวเดียวกัน ใช้หมวกตีท่อนขาเบาๆ กล่าวสุ้มเสียงปกติ
“เราอยากพูดกะนายอย่างเพื่อนแต่ก็เกรงจะเป็นการสอน…เลยขอบอกตรงๆ ว่าเราห่วงนายว่ะ”
“เกียรติ” ผมขานชื่อเขา
“หือ”
“ถ้านายเห็นเราเป็นเพื่อน อยากแนะอยากบอกอะไรขอให้พูดเถอะ”
เกียรติยิ้ม ผมยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลประหลาดที่เคยแซวสมัยนักเรียนในรั้วเดียวกันว่า ไอ้ตาผี จ้องหน้าผมกล่าวเสียงแผ่วเบา ชัดเจน
“เราอยากให้นายมอบตัวกับทางทหาร แล้วถือโอกาสชี้แจงเรื่องปล้นนั่นไปในตัว ไม่อย่างนั้นนายจะมีแต่หนีกับหนีอยู่อย่างนี้ หาความสุขไม่ได้จนตาย…ขอให้คิดดูให้ดี”
สิ้นคำบอก ผมจับแขนขาบีบ “เราก็คิดอย่างที่นายพูดนี่แหละ กะไว้ว่าเดี๋ยวจะบอก พอดีนายพูดขึ้นมาเสียก่อน จะอย่างไรงานแรกเราต้องขอพบหลวงพ่อก่อน เรามีพ่อกับพระองศ์เดียวเท่านั้น”
“ดีแล้วนะเปี๊ยก” เกียรติเห็นงาน “แล้วนายจะไปวันไหนดีล่ะ ที่จริงแล้วควรไปเสาร์-อาทิตย์ เพราะพวกสก็อตมันไปรวมกันที่สนามม้าสนามมวยหมด”
“เราจะไปวันนี้แหละ” ผมยืนยันความตั้งใจ
เกียรติทำหน้าเหลอ ครางอ่อย “อะไรกันวะพอคิดจะไปก็ไปทันทีเลย”
“ยิ่งช้าเท่าไหร่ เรายิ่งกลายเป็นไอ้เปี๊ยกที่เข้าปล้นยิ่งขึ้น ให้เราไปเหอะหลายวันมานี่นายก็มีน้ำใจต่อเราเกินรับแล้ว”
เกียรติยิ้มสีหน้าดีขึ้น ตบแขนผมชะโงกกระซิบใกล้หูราวกับเรื่องลับ
“เราแบ่งเงินกันใช้นะเพื่อน ตอนนี้มีอยู่สองพันแบ่งคนละพัน”
“เฮ้ย…” ผมร้อง ไม่ประสงค์กินแล้วคาบ
“นายเหลือเงินไม่ถึงสามร้อยแล้วเพื่อน ขอให้รับไว้เพราะนายอาจจำเป็นใช้ในทันทีก็ได้ อย่าประมาทดีกว่า และก็อย่าไปคิดว่าเป็นการรบกวนสำหรับเพื่อนที่นายถามเมื่อกี้”
ผมปลื้มสนองน้ำใจเพื่อนได้ประโยคเดียว “ขอบใจ”
สายแล้ว…พระอาทิตย์บนแผ่นดินอีสานคล้ายจ่ายความร้อนระอุแก่แผ่นดินนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ผมพร้อมเป้บรรจุเสื้อผ้าขึ้นไปนั่งเหงื่อย้อยอยู่บนรถ บ.ข.ส. กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ร่วมกับผู้โดยสารอื่นเกือบเต็มทุกที่นั่ง ราว ๑๐ นาทีโซเฟอร์จึงเคลื่อนรถจากชานชาลาสถานีไปออกเส้นทางถนนมิตรภาพ ตียาวเข้าเมืองหลวงในบัดนั้น เฉียดบ่ายโมง พาหนะของผมพร้อมผู้โดยสารอื่นถึงปลายทางสถานีขนส่งหมอชิตโดยสวัสดิภาพ ผมลงจากรถด้วยอาการระมัดระวังตัวกว่าทุกครา เข้าไปตั้งหลักในร้านอาหารเป็นลำดับแรก ตกหลังอาหาร ผมนั่งอักบุหรี่รอเวลาเข้ากราบมนัสการหลวงพ่ออยู่พักใหญ่จึงตกลงที่จะเข้าพบท่านกลางดึกคืนนี้ ดังนั้นเวลาที่เหลือก่อนถึงเที่ยงคืนผมควรจะไปไหน คำถามทางความคิดมีคำตอบทันใด
“ไปคลองเตย”
อกเอย…ใจเรา แพ้ใจตนเพราะรักสาวงามทั้งที่รู้ว่าเหตุการณ์ในอดีตไม่มีวันหวนคืนให้ครองรักกันได้อีกก็ยังหวัง คิดเข้าข้างตนมองไปว่าพฤติกรรมตัวที่ผ่านมาเป็นความหลงชั่วครู่ในช่วงแห่งวัย โดยหวังเรียนรู้รสของความทุกข์เพราะความฉลาดกับความจัดเจนจากตำรา ไหนเลยจะเทียบความฉลาดความจัดเจนที่ได้รับจากทุกข์ อย่างน้อยความล้มเหลวกับน้ำตาซึ่งรวมเป็นทุกข์ก็เป็นสารฟอกความโง่วันนี้ได้ เมื่อคิดเข้าข้างตน ลงมติใจเสร็จผมจัดการจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มออกไปใช้บริการแท็กซี่โต้ตะวันบ่ายทะยานสู่สลัมคลองเตย ล็อก ๑๑ ด้วยความร่าเริงจนประหลาดใจตน และเขินในที่สุด ครึ่งชั่วโมงต่อมา แท็กซี่หยุดส่งผมริมวิถีฝั่งโรงหมูเก่าอันมีคิงรถสองแถวเล็กกับแท็กซี่ตั้งคิวอยู้ฝั่งตรงข้าม ผมชำระค่าบริการคว้าถุงเป้คล้องไหล่เดินข้ามถนนอาจณรงค์ดิ่งเข้าสลัมกลางสายตาสิงห์สลัมตั้งแต่ปากทางเข้าล็อกมองเป็นทิวชักเสียววาบ แต่สู้งำไว้ คงทอดตีนย่ำไปบนสะพานไม้จนถึงบริเวณโคนไทรกลางสลัม ปะลุงนวลเจ้าของโต๊ะบิลเลียด วัย ๔๐ ปี ผิวเนื้อดำแดง สักอักขระพรืดทั้งแผงอก นุ่งโสร่งตัวเดียว ยิ้มทักทาย
“อ้าว…เปี๊ยก หายหน้าไปหลายเดือนทีเดียว สบายดีหรือ”
“ครับ สบายดี คราวนี้ไปหลายจังหวัด” ผมว่า
“เจอหนักๆ บ้างไหม”
“พออยู่รอดครับอา”
ผู้อาวุโสยิ่มจนเห็นฟันทอง ๒ ซี่ขยับมาโอบไหล่กระซิบพอได้ยิน
“หมู่ด้องตอนนี้สิ้นลายแล้วว่ะเปี๊ยก…ทุกคนในครอบครัวไปดีหมด ปลูกบ้าน ๒ ชั้นหลังเบ้อเริ่มใหม่ แต่หมู่เราตายสนิท เอ็งไปดูให้เห็นกับตาเหอะ หากตักเตือนมันได้ก็ลองดู อาว่ามันยังไม่สายหรอก…โชคดีนะ หลานชาย”
“ครับอา” ผมรับคำทั้งๆ ที่ไม่กระจ่างคำบอกแกเลย
เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ ผมยิ่งก้าวเดินยาวขึ้น และยิ่งได้เห็นหลังคาสังกะสีใหม่เอี่ยมของบ้านไม้ ๒ ชั้น ใจมันเต้นระทึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ถึงหน้าบ้านหลังใหม่เด่นสุดสำหรับล็อก ๑๑ อันมีประตูไม้ระแนงขวางอยู่เห็นป้าไมมารดาของหมู่ด้องสวมเสื้อกับผ้าถุงใหม่สะอาดนั่งหน้าอิ่มเดียวดายอยู่บนเก้าอี้นวม ซึ่งไม่เคยมีในบ้านก็ร้องเรียกท่าน
“ป้าครับ ผมเปี๊ยกมาหาครับ”
นางผินหน้ามอง เบิกตาโพลงกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้นขณะเดินมาเปิดประตู
“โถ เปี๊ยกเหรอ ป้านึกว่าเสร็จเหมือนพวกนั้นซะแล้ว ไม่ยอมส่งข่าวให้ป้ารู้บ้างเลยนะ ใจดำจัง”
ผมกระทำคารวะท่าน พาตัวเองเข้าไปนั่งภายในบ้านหลังใหม่ ซึ่งติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ ตู้ และโต๊ะเก้าอี้นวม ชุดรับแขกชั้นดีไว้จนค้านกับบรรยากาศที่เป็นจริงสิ้นเชิญ ป้าไมตักน้ำเย็นในกระติกมาให้ดื่มแล้วถอยกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมบอกสุ้มเสียงเป็นกันเอง
“บ้านเปลี่ยนไป ของใหม่ๆ ที่ได้มานี่ก็ล้วนจากน้ำพักน้ำแรงของก้อยมันทั้งนั้น เปี๊ยกคงไม่รู้กระมังว่าน้องมันได้เป็นเทพีถึง ๒ ตำแหน่ง ขณะนี้ถ่ายหนังกับเดินแฟชั่นอะไรของมันก็ไม่รู้ หาเวลาอยู่บ้านแทบไม่ได้ ป้าเองถูกมันฉุดไปออกงานครั้งเดียวก็เข็ดจนตาย
ปวดฉี่ก็ปวด นี่ป้ามอบหมายให้พี่สาวทั้ง ๒ คนช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ ถึงได้สบายใจบ้าง”
“แล้วนี่ก้อยคงไปถ่ายหนังกระมังครับป้า” ถามทั้งๆ ที่รู้
“ใช่จ๊ะ เห็นบอกว่าฉากนี้ฉากสุดท้าย จะกลับก็คงราว ๔-๕ ทุ่มน่ะแหละ”
“หมู่ด้องล่ะครับป้า”
ใบหน้าสดชื่นเปลี่ยนกะทันหัน พลางส่ายหน้าไปมาบอกเสียงแผ่ว เร่าร้อน
“ไอ้เจ้าห่าด้องเขาติดเฮฯ เสียแล้ว น้องๆ มันขอร้องให้เลิกก็ไม่ยอมทหารก็ถูกออก เปี๊ยกลองช่วยพูดแทนป้าได้ไหม คิดว่าสงสารเพื่อนเถอะนะ”
“ผมจะลองดูครับ”
นางยกมือท่วมหัว “เจ้าประคู้ณ ป้าขอให้ประสบความสำเร็จเถอะ น้องๆ มันก็กำลังไปดีกันทุกคนแล้ว”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ”
“ห้องริมน้ำเดิมนั่นแหละเฉพาะตอนกลางวันมันไม่กล้าโผล่ออกมาหรอกป้าเองเห็นมันแล้วเวทนาลูกนัก” นางครวญ
ผมพลอยสะท้านใจที่เพื่อนตนในสภาพเช่นป้าไมบอก จึงขอตัวเดินเลยไปยังริมน้ำสู่นิวาสถานดาวดังท่าเรือ พบประตูบ้านปิดล็อกจากภายในจึงเคาะประตูเบาๆ ๒ ครั้ง
“ใครว่ะ”
“หมู่…เราเปี๊ยกนะ” ผมระบุนาม
ต่อมาเสียงเดินดังหนักๆ กลอนประตูถูกกระชากดังแกร็ก บานประตูเปิดหัวหมู่ทหารม้าคนดังยืนยิ้มต้อนรับเป็นอันดี แต่ผมรู้สึกหน้าร้อนฉ่า เมื่อเพื่อนยืนเปลือยท่อนบนโชว์เรือนรูปผอมโกรกจนเห็นซี่โครงทุกซี่ ใบหน้าขาวเหลืองซีดหมดราศรี ริมฝีปากแห้งและดำ นัยน์ตาปราศจากน้ำหล่อเลี้ยงโบ๋ลึกแดงก่ำ
“เปี๊ยก…เราผิดไปมากใช่ไหมเพื่อน”
คำถามเพื่อนกระตุ้นให้รู้สึกตัว กัดฟันกล่าวทั้งพยายามทำสีหน้าให้ปกติ
“มีผู้ใหญ่หลายคนที่นี่เขาพูดกับเราว่า หมู่ยังมีโอกาสเลิกได้นะ น้องสาวของหมู่ทั้ง ๓ คนก็กำลังก้าวหน้า โอกาสเช่นนี้เป็นนาทีทองที่หมู่ควรจะร่วมกับก้อยฉวยเอาไว้”
หมู่ด้องส่ายหัวเหมือนคนไม่มีกระดูก ผมใส่กลอนประตูวางถุงเป้ลง แล้วนั่งถอดรองเท้าถุงเท้า ด้องพาร่างผอมไปนั่งบนเสื่อน้ำมันมุมห้องพลางบอก
“ขอเวลานอกสักครู่นะเปี๊ยก เพิ่งตื่นก่อนนายมาไม่ถึง ๕ นาทีเอง กำลัง เสี้ยน อย่าว่ากันล่ะ”
“ตามสบายเถอะหมู่”
เขายิ้มเศร้า ก่อนลุกขึ้นเปิดขอหน้าต่าง แสงตะวันบ่ายไม่ไกลมือ ผมขยับไปนั่งเบื้องหน้า
“สูบบุหรี่สิเพื่อน หรือจะดึงเนื้อ”
“ขอบใจ อย่าห่วงเรา จัดการให้ตัวเองก่อนเถอะหมู่”
ครู่เดียว ดาวดังท่าเรือหันไปคว้ากล่องบรรจุขนมปังมาเปิดฝาออก หยิบเทียนไขครึ่งแท่งออกมาจุดไฟตั้งบนฝากระป๋องโอวัลตินขนาดเล็ก จากนั้นเขาหยิบซ้อนสแตนเลสออกมา ใช้ชายผ้าขาวม้าที่นุ่งอยู่เซ็ดขัดซ้อน คิ้วขมวดมุ่น เหงื่อเริ่มผุดพรายทั่วหน้า เสร็จทำความสะอาดซ้อนก็หันไปคว้าขวดเหล้าแม่โขงบรรจุน้ำประปาประมาณครึ่งขวดมาเทใส่ซ้อนเกือบเต็ม ระหว่างเปิดฝาขวดน้ำ เพื่อนมองผมยิ้มเศร้าอีกครั้ง
“เราใช้ฉีดนะเพื่อน สูบไม่อยู่แล้ว”
ผมยิ้ม แต่ขนลุกเกียว! ด้องหยิบตลับยาหม่องขนาดใหญ่ออกมาเปิดฝา ภายในตลับบรรจุเฮโรอินชนิดเกล็ดสีม่วงไว้แน่นเอี๊ยด เขาเลือกหยิบขึ้นมา ๒ เม็ด ขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพดหย่อนลงไปในซ้อนที่มีน้ำอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนสีน้ำให้เป็นสีชมพูอ่อน แล้วใช้ก้นไซริงจ์บดเม็ดเฮโรอินในซ้อนให้ละเอียดก็ยกขึ้นตั้งบนไฟเทียนเคี่ยวจนน้ำกับยาอุบาทว์เข้ากันดีค่อยเอาลง
“เราฆ่าเชื้อโรคไปแล้ว ทีนี้หายห่วง” เขาพึมพำพลางดึงก้นกรองบุหรี่ชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในซ้อน สีขาวของก้นกรองเปลี่ยนเป็นสีเลือดทันที!
ผมจุดบหรี่ยื่นส่งให้เพื่อนอย่างรู้ใจว่า เป็นของแกล้มที่เข้ากันได้ไม่ต่างเสพสุรา เขารับไปวางบนกล่องขนมปังก่อนจัดแจงดึงตัวยาในซ้อนไซริงจ์จนน้ำสีเลือดในซ้อนแห้งผาก
“นายอย่าดูตอนฉีดเลย เปี๊ยก…เราขอเถอะ” เพื่อนถอนเสียงเบาโหวงนัยน์ตาเศร้า
ผมไม่ดื้อรั้น ลุกไปยืนเกาะขอบหน้าต่างรับลมและชมสายน้ำเจ้าพระยายามบ่ายอย่างท้อแท้ใจที่เห็นเพื่อนพ้องชาวยุทธ์มีอันเป็นไปในสถานะไม่ต่างกัน
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม