3768. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 27 วังวนหนักบู๊ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 27 วังวนหนักบู๊ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ในที่สุดผมก็ผ่านด่าน สห. ลุยป่าออกไปอาศัยรถบรรทุกปลาสดจากชุมพรโต้รัตติการเข้าเมืองหลวงถึงปลายทางที่วงเวียนใหญ่เมื่อฟ้าสางก็สำรวจตัวเองดูเห็นสารรูปขะมุกขะมอมเสื้อแสงขาดวิ่นเนื้อหนังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนระหว่างลุยป่าส่อพิรุธ จึงใช้บริการแท็กซี่ทะยานข้ามสะพานพุทธฯ ไปฝั่งพระนคร มุ่งหาเพื่อนแทนเข้ากราบเท้าหลวงพ่อยังถิ่นนักบู๊ ม้าเก็งเอ๋า ที่โรงแรมโรงเลี้ยงเด็กทันที

“มีใครอยู่ที่นี่บ้าง อาโก”

นักการเชื้อไหหลำวัย ๕๐ ผิวเหลืองผมหงอกประปราย ร่างผอมเกร็งเพราะ ถุน ฝิ่นเป็นวัตร หยีตา ย่นหัวคิ้วเพ่งผมอีก

“อาเปี๊ยกเหรอ”

“ใช่…มีใครอยู่บ้าง”

คราวนี้รีบบอกระคนยิ้มเห็นฟันทองอร่ามปาก “มีอาต้องกับอาเผ่นมานอนกับเด็กยังไม่ตื่น” คำบอกโกเต็ง แม้มิได้เอ่ยถึงนามบุคคลที่ผมมุ่งมาหา แต่ยังมี ๒ ชาวยุทธ์นอนกกเด็กอยู่จึงดึงแบงก์สิบส่งให้พลางบอก

“โกไปปลุกเขา ๒ คนลงมาหน่อย บอกผมมาหา มีเรื่องด่วน”

“อาเปี๊ยกไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือ”

“มีของใครบ้างล่ะ”

“อาเปี๊ยกใส่ของอาอี้ได้” นักการเลือดไหหลำแสดงอัธยาศัย

“แล้วอี้อยู่หรือเปล่า”

“ไม่อยู่ ไปมหาชัยกับเก๊าตี๋”

“หยั่งงั้น เอามาเปลี่ยนเลย อี้กลับมาบอกผมยืมก็แล้วกัน”

โกเต็งยิ้มโชว์ฟันทองพร้อมนำไปยังห้องชั้นล่างของโรงแรม แล้วจัดการเอาเสื้อกางเกงของ สุมาอี้ ๑ ใน ๓ พี่น้องกลุ่มมังกรม้าเก็งเอ๋ามาให้เลือก ส่วนตัวนักการวัยอาวุโสฉากไปปลุก แอ๊ดเสือเผ่น กับ ด้องคลองเตย ๒ นักบู๊ชื่อดังที่แกว่านอนกกหญิงอยู่อย่างรู้งาน เมื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยนั่งอัดบุหรี่คอยเพื่อนอยู่ในห้องประมาณ ๕ นาที ร่างทะมัดทะแมงภายในชุดเสื้อฮาวายกางเกงดำตัดผมทรงลานบินติดหนวดเรียวเล็กใต้จมูก พิกัดแบนตั้มเวทยี่ห้อ ด้องคลองเตย หรือหมู่ด้องเจ้าถิ่นย่านท่าเรือคลองเตยน่ะเอง จึงสัมผัสมือทักทายกันครื้นเครงสักครู่ ไอ้เผ่น หรือ แอ๊ดเสือเผ่น เข้ามาสมทบ พร้อมอรรถาเหตุที่เขากับ แดงจอน หายหัวไปตอนเช้าขณะจะเคลื่อนพลว่าไม่ได้คิดหนีทหาร แต่ถูกหมวดโชติกับพวกสก๊อตประจำกองบังคับการธนฯ ลากตัวไปขังข้อหาซ่องโจรอยู่ ๔๘ วัน เลยเสียศูนย์

ผมเองก็ได้บอกเล่าเรื่องที่ตนกระเด็นจากรั้ว ทบ. อย่างไม่ปิดบังเช่นกัน จวบถึงบทสรุป

“เราคิดว่าวันหลังจะกลับไปสู้คดีขอให้ตั้งสติสักพัก นี่ลงจากรถปลาที่วงเวียนใหญ่แล้วก็มานี่เลย ขอโทษด้วยนะเพื่อนที่มารบกวนแต่เช้ามืด กำลังกกเด็กอยู่ไม่ใช่หรือ”

“เปรมแล้วว่ะ” แอ๊ดว่ายิ้มระรื่น “ขืนกลับขึ้นไปอีกฟ้าเหลืองแน่”

“หมู่ด้องล่ะ จะขึ้นไปอีกไหม” ผมแย็บดูใจ

“ม่ายไหว” หัวหมู่ม้าเนื้อครางและยื่นคำถามบ้าง “เออ…ตอนนี้เปี๊ยกพักที่ไหนล่ะ เรากำลังมีงานไม่เสี่ยงเท่าไหร่ลองกันดูไหมเพื่อน”

ผมส่ายหัวเดียะ “ขอหาที่ซุกหัวนอนก่อนเถอะ”

“หยั่งงั้นไปอยู่ด้วยกัน” แอ๊ดอนุเคราะห์ทันควันทั้งยังประชาสมพันธ์หนักแน่น “ที่ที่เราอยู่รับรองปลอดภัยเรื่อง ผี ด้านสวัสดิภาพนายมีหมู่ด้องประกันว่าอยู่สบายแน่”

“แล้วตอนนี้นายพักที่ไหนล่ะ” ผมชักเคลิ้มตามเสือเผ่น

“หมู่บ้านด้อง ล็อก ๑๑”

สิ้นคำบอกแอ๊ด เสือเผ่น หัวหมู่ผู้สหายสำทับซ้ำ

“ตกลงนะเปี๊ยก ไปอยู่ชะที่บ้านเรา”

วาจาเพื่อนเอื้อไมตรีให้ยามนี้จำเป็นต้องแห่ตามแล้ว เพราะสภาพสังขารมันเปลี้ย บาดแผดที่ครูดตอนคลานไปคาบใบตองในค่ายบริเวณใต้ข้อศอกอักเสบจนปวดหนึบหนังตาก็กำลังจะปิดเสียให้ได้ เลยขอเป็นผู้ตาม

“ไปก็ไป เราง่วงเหลือทนแล้ว ขอบใจหมู่มาก”

จากนั้นเรา ๓ หนุ่มจึงออกจากโรงแรมโรงเลี้ยงเด็กถิ่นของอี้และเก๊าตี๋ขึ้นรถเมล์เอกชนซึ่งยิ่งให้บริการยิ่งเจริญกลับคืนรวงรังดาวดังทหารม้าแต่บัดนั้น

๐๘.๐๐ น. เศษเรา ๓ คนลงรถเมล์ที่ตลาดคลองเตยท่ามกลางผู้คนชาย-หญิง ทั้งนักเรียน นักศึกษา เร่งทำกิจตนขวักไขว่ ไปกระโดนเกาะรถสองแถวเล็กวิ่งระหว่างตลาดคลองเตย-ล็อก ๑๑ เข้าถนนอาจณรงค์ ซึ่งผู้โดยสารนั่งอยู่ ๗-๘ คนผ่านหมู่บ้านสลัมหนาแน่น ๒ ฟากถนนตั้งแต่ล็อก ๑๑ อันเป็นที่ตั้งวัดคลองเตยไปจนสุดถนน ยังเชิงสะพานโรงเก็บน้ำมันหรือล็อก ๑๑ นั่นเอง

ตะวันทอแสงเรืองสดใส ด้อง. แอ๊ดและผมโดดลงจากรถสองแถวโดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการด้วยศักดาสหาย ข้ามถนนไปยังฝั่งโรงหมูเก่าของบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์เข้าบริโภคข้าวมันไก่บำรุงกระเพาะพร้อมพาทีด้วยเรื่องเก๊าตี๋ ๑ ใน ๓ มังกรม้าเก๊าเอ๋า ชักชวนหัวหมู่กับแอ๊ดทำการปล้นนายทุนปล่อยเงินกู้แก่พาร์ตเนอร์. หมอนวด และโสเภณีรายวัน ชนิดร้อยละสิบ อันเก๊าตี๋เคยทำมาสมัยซือเฮีย #เก๊าม้าเก๊ง ยังรุ่งก็เห็นงาม เพราะไม่ยินยอมระบบเงินกู้ขูดรีดรายวันนั่นมาตั้งแต่สุมาอี้กับเก๊าตี๋บุกตบหญิงตามโรงน้ำชาและอาบ อบ นวดนั่นแล้ว แต่พอชักเอายี่ห้อนายทุนที่เราจะปล้น หัวหมู่ม้าเนื้อแถวสนามเป้าบอกเอาข้าวติดคอ

“ไอ้ซาเก๊า วงเวียนฯ”

พอชดน้ำต้มฟักกลั้วคอให้ประสิทธิภาพการไหลเลื่อนในลำคอคล่อง เสือเผ่นจี้ตามติด

“เปี๊ยกต้องร่วมมือนะ เราจะได้ไม่ต้องไปหาใครอีก”

ผมคิดหนักเหมือนกันต่อการที่จะไปลูบหนวดมังกรวงเวียน ๒๒ กรกฎาฯ รุ่งพี่ผู้กำลังโด่งดังในยุทธจักรกาสิโน และยาเสพติด เพราะหากเกิดพลั้งพลาดมังกรร้ายรู้ว่าเป็นพวกเราอาจรบกันไม่จบเช่นดำกับปุ๊ชนกับดาวดังไบเล่ย์ อย่างไรความไม่พอใจกับระบบเงินกู้นั้นมีสูงจึงรับคำเพื่อน

“ตกลง เราร่วมด้วย”

“แจ๋วมาก” ด้องดีดนิ้วเปาะ พลางฉวัดตาไปทางเสือเผ่น “คืนนี้แอ๊ดไปคอบดักเจอเก๊าตี๋ที่บาร์ โอเค แล้วพามาวางแผนกันที่บ้านเราเลย”

“ก็ได้” แอ๊ดรับคำ

สักครู่เรา ๓ คน บรรจุข้าวมันไก่ลงไปอัดในกระเพาะเรียกความกระปรี้กระเปร่าขึ้นอักโข และเมื่อจ่ายทรัพย์เสร็จ เจ้าถิ่นเดินนำออกจากร้านโต้แสงแดดข้ามถนนไปยังฝั่งล็อก ๑๑ เข้าทักทายคุณจ่าวัย ๕๐ ปีซึ่งนั่งสัปหงกอยู่ในตู้ยามปากทางจนลืมตาแดงก่ำขึ้นยิ้มให้ แล้วตั้งท่าหลับนกต่อ

บริเวณปากทางเข้าล็อกอันเป็นสะพานไม้ที่เราเดินผ่าน มีแม่ค้ากล้วยทอดใต้เพิงสังกะสีปลูกพื้นเหนือบึงน้ำสีดำครึ่งเมตรเพิ่งตั้งกระทะ ถัดร้านกล้วยทอดของคุณป้าไป ตั้งร้านลาบ-ส้มตำ-ไก่ปิ้ง มีสามชิกชาวรถตุ๊กตุ๊กอุดหนุนอยู่โต๊ะเดียว ๓ นาย ส่วนใต้โต๊ะมีหมาขี้เรือนซุกร่างขดหางเหลือบตาจนหูตั้ง รอคอยกระดูกไก่ตามลิขิตสวรรค์แห่งสติปัญญาและสัญชาติ มึงหมากูคน พอย่ำตีนไปบนสะพานไม้วกวนไปตามบ้านเรือนหนาแน่นกลางรอยยิ้มและคำทักทายของชาวสลัมที่มีแก่เพื่อนก็ทราบว่า สหายมิใช่ชาวยุทธ์ที่ชาวบ้านรังเกียจ กระทั่งหลุดพ้นบึงน้ำสีดำขึ้นเดินบนดินผ่านมาถึงต้นไทรใหญ่ ด้องกับแอ๊ดได้แวะซื้อบุหรี่ยังร้านค้าข้างทางกับน้ำแข็ง ๒ ก้อน

ผมยืนเตร่อยู่นอกบ้านบริเวณโคนไทรรอเพื่อน ปรากฏไอ้หนูนายหนึ่งวัย ๗ ขวบนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีปะก้นรูปโพธิ์เปลือยท่อนบนผอมกะหร่องเห็นซี่โครงเรียงเป็นตับเตร่เข้ามากระซิบ

“เอา ของ มั้ย?”

“ไหนล่ะของ” ผมสงสัยอยากชมของ

ไอ้หนูเงยหน้าขึ้นมองพลางแบมือ “ไหนล่ะเงิน”

ผมส่ายหัวไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเซียนสลัมรุ่นเยาร์ ปากก็แหย่ต่อ

“อะไรวะขายของแบบไหนนี่ พี่ยังไม่เห็นสินค้าของเอ็งเลย จะเอาตังค์แล้ว”

“ไม่รู้หรือ” เซียนบอกห้วนๆ “นึกว่าพวกขี้ยานี่”

“อ้าว…” ผมร้อง

แต่ยอดเยาวชนวิ่งตื๋อหนีจากไปอย่างประเปรียวส่วนผมยืนเปรียบเทียบเส้นทางเซียนไอ้หนูกับเพื่อนพ้องที่กำลังรุ่งในยุคนี้รวมทั้งตัวเองแล้วเสียดายชะมัดหากวันข้างหน้าปรากฏสังคมทรามหลอมจมเสื่อมคุณภาพ ครับ-ก็แค่ๆ เศษผงคลีแห่งสำนึกที่ดีกลางปฏิกูลสีดำ หยาบกร้านมหาศาล ซึ่งใครก็ตามถลำเข้าไปแล้วถอนยาก ต่อมาแอ๊ดถือน้ำแข็งไอเย็นลอยกรุ่นออกมาก่อนเจ้าถิ่นพร้อมบอกพอได้ยิน

“เปี๊ยก น้องสาวหมู่ด้องดุนะ ระวังตัวด้วยอย่าเผลอใจ”

“ดุแบบไหน” ผมกังขาที่พบหญิงเก่ง

ครั้งนี้เพื่อนชะโงกหน้ากระซิบ “ดุแบบแม่แก้วกลางสลัม ส่วนใครจะดุกว่าใครใน ๓ คนนั่นนายต้องไปดูกับตาตัวเอง”

ผมยิ้มให้เขาพลางหรี่ตาส่งซิกให้เสือเผ่นรู้ว่าหัวหมู่ผู้พี่ชายออกจากร้านแล้ว แอ๊ดจึงปิดปากสนิทพากันเดินไปบนสะพานไม้อันมีบึงน้ำสีดำอีกแอ่งใหญ่ก็ถึงรวงรังสหายซึ่งปลูกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่กว่าบ้านใกล้เคียงทาสีฟ้าซีดๆและทรุดโทรมไปกว่า ๗๐% และเมื่อผ่านประตูตีไว้ด้วยไม้ระแนงที่เปิดอยู่เข้าไปยังตัวเรือนชั้นใน ด้องบอกขณะยืนถอดเสื้อ

“แม่เรากับน้องๆ คงไปอยู่ที่ร้าน เปี๊ยกง่วงไม่ใช่หรือเข้าไปนอนในห้องเราก่อนนะ ส่วนห้องที่จะให้นายนอนก็อยู่ติดกับห้องเราน่ะแหละ

“เราอยากอาบน้ำก่อน เหนียวเหนอะไปทั้งตัวแล้ว”

“โอเคเพื่อน ตามมาเลย” จบคำหัวหมู่พาร่างสมบูรณ์พลังหนุ่มนำไปยังด้านหลังบ้านทันที

นิทราเป็นสุขอยู่บนฟูกนุ่มภายในห้องดาวดังคลองเตยนานเท่าใดมิอาจทราบพอขยับไปผลักหน้าต่างหัวนอนเปิดออกเห็นตะวันสีส้มคล้อยดวงไปทางทิศตะวันตกบอกเวลาเย็นมากแล้วก็ลุกจากที่นอนดันประตูเปิด เสียงสดใสอุทานคล้ายตระหนกพร้อมเสียงถ้วยแตก

“อุ้ย”

ผมผวาดึงประตูปิดเนื้อตัวร้อนฉ่าทั้งๆที่มิได้เห็นโฉมเจ้าของคำอุทานสักนิด

“ใครน่ะ พี่แอ๊ดหรือ”

“เอาล่ะหวา…ผมเริ่มใจเต้นตึ้กตั้ก รีบหาคำตอบหากบังเอิญมีคำถามด่วนจี๋จึงค่อยๆ ดันประตูเปิดออกไปอีกครั้ง และพอประโฉมหน้าเจ้าของเสียงใสกังวานคำบอกเสือเผ่นเร้าหูขณะพูดถึงน้องสาวหมู่ด้องว่า ดุแบบแม่แก้วกลางสลัม นั้นจริงแล้ว

“คุณ…” สาวรุ่นน้องทำหน้าเหรอ

“ผมชื่อเปี๊ยก เป็นเพื่อนกับหมู่ด้อง บังเอิญหลับไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงครับ”

นัยน์ตากลมโตดำขลับลอบสำรวจสารรูป ผมแก้เขินอีกประโยคพร้อมกับพยายามตีหน้ายื่นไมตรีไว้

“หมู่ด้องไปไหนครับ”

สาวรุ่นผิวเหลืองสล้างด้วยสรีระอวบตึงผมดำยาวสลวยสวยกว่าผู้หญิงที่ผ่านตามานักต่อนัก แย้มมากกว่ายิ้มนิดเดียว ทว่านัยน์ตาเหยี่ยวจับพบรอยบุ๋มสองข้างแก้มดรุณี จึงค่อยกล้าฉีกยิ้มเต็มหน้า อึดใจริมฝีปากบางแดงระเรื่อวัยกำดัดเปิดขึ้นกล่าวชัดหูยิ่ง

“อ๋อ…พี่เป็นเพื่อนกับพี่ด้องหรือคะ หยั้งงั้นขอแรงหน่อยได้ไหม”

“บอกเถอะ” ด้วยน้ำเสียงมั่นคงควบคู่มาดสุภาพบุรุษ

สิ้นคำผม สาวรุ่นขยับถอยห่างออกไปอีกผมก้าวออกไปจากห้อง สาวน้อยชี้ยังพื้นเรือนหน้าห้องซึ่งมีถ้วยใส่แกงตกแตกอยู่ น้ำแกงกระเซ็นไปทั่วก็จ๋อยทันที

“ผมขอโทษครับ”

“ก้อยไม่ได้โทษคุณนี่ เพียงแต่อยากให้ช่วยเช็ดน้ำแกงให้หน่อย ก้อยจะรีบไปเก็บของกลับบ้าน รังเกียจไหมคะ”

“ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” แม้ “หน้าแหก” แล้วยังตอบรับเธอเหมือนปกติ

“แหม…พี่เล่นกัดฟันพูดนี่” สาวเจ้าเย้าพลางยิ้มจนแก้มบุ๋มก่อนจาก

ตกลงผมซึ่งเป็นต้นเหตุให้สาวรุ่นเสียขวัญก็จัดหาผ้าเช็ดถูบ้านมาจัดการเช็ดล้างน้ำแกงที่กระเซ็นอยู่ทั่งห้องตามบาปที่ก่อ สะอาดดีแล้วจึงเตรียมอาบน้ำ แม่ก้อยโผล่หน้าตื่นเข้ามาถามใบหน้าสวยคมสลดลง

“ยังไม่มีใครกลับมาอีกเหรอพี่”

“มีเรื่องหรือ”

“พ่อขับรถชนกับรถเมล์ จ่าเอี่ยมเพื่อนพ่อเขาอยู่โรงพยาบาลตำรวจ โทร.มาบอกหมู่ฉัตรที่โรงพักท่าเรือ แล้วหมู่ฉัตรถึงมาบอกก้อยอีกต่อหนึ่ง…ดูเหอะแม่ก็ไปจ่ายกับข้าว พี่ไก่กับพี่กุ้งก็ไปดูหนังแล้วโรงพยาบาลตำรวจน่ะก้อยรู้จักเสียเมื่อไหร่ล่ะ”

“ผมพาไปเอาไหม” ผมกลั้นใจเสนอตัว

“แล้วใครจะดูบ้านล่ะ”

“ปิดประตูหน้าต่างซะ แล้วฝากลูกกุญแจไว้กับเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้”

“เออ จริงสิ” สาวรุ่นเพิ่งฉุกคิด ช้อนตาขึ้นมอง “พี่ไม่โกรธก้อยหรือที่ใช้ถูบ้าน”

“ให้พี่ถามคำหนึ่งเท่านั้น” ผมเขยิบฐานะอีกนิด

“อะไรคะ”

“คุณก้อยแกล้งปล่อยถ้วยหลุดจากมือเองใช่ไหม”

“ค่ะ”

ยิ่มอายๆ ขณะเศร้ายังสวย ผมแอบคิดตามประสาหนุ่ม ทว่าคำสอนหลวงพ่อแทรกมากระตุ้นให้คิดถึงวิสัยคนไทยเกลียดคนอกตัญญู #กินบนเรือนแล้วขี่รถหลังคา ก็จำข่มธรรมชาติคน ช่วยกันปิดประตูหน้าต่างกลางสายตาเพื่อนบ้านที่รู้เรื่องแล้วมองด้วยความเห็นใจถ้วนหน้า

“ก้อยเอ๊ย…พ่อเอ็งน่ะเป็นคนดี พระเจ้าท่านคงคุ้มครองหรอก”

วาจาคุณลุงเพื่อนบ้านวัย ๕๐ ปีกล่าวแก่สาวน้อยชวนคิดสำหรับผมในแง่ตัวตายตัวแทนบังเอิญที่สุด โอ…ขออย่าได้เกิดการสูญเสียพลัดพรากภายในครอบครัวของเพื่อนผู้อารีเลย

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: