3766. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 25 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 25 ภัยพ่อค้า (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

วันใหม่แล้ว ใกล้เที่ยงแสงแดดต้นฤดูหนาวแผดจ้าจนหอบเอาความร้อนระอุจ่ายไปทั่วหุบเขาปราณบุรี ผมนั่งทำงานบัญชีวัสดุที่ผู้กองมอบหมายให้ทำภายในห้องทำงานของท่านเสร็จ ก็ลุกจากเก้าอี้เดินไปชิดเท้าตรงหน้าโต๊ะทำงานท่านพลางค้อมร่างยื่นสมุดบัญชีให้ท่าน

“เสร็จหมดแล้วครับ”

เจ้านายรับ บช. ไปพร้อมกับยิ้มให้ จ่ากองร้อยขยับลุกจากเก้าอี้มาชิดเท้ารายงานบ้าง

“ผมขออนุญาตไปหังหินเบิกเงินที่ธนาคารและจะกลับราวบ่าย ๓ โมงครับ”

เจ้านายผงกศีรษะเชิงอนุญาต จ่ากองร้อยสนองคำนอบน้อม

“ขอบพระคุณครับ”

พอจ่าชั้วออกจากห้อง ผมละที่โต๊ะทำงานจัดการเก็บเอกสารบนโต๊ะเข้าแฟ้มพลางลอบชำเลืองดูว่าเจ้านายจะวางมือจากกิจบนโต๊ะเมื่อใด ครู่หนึ่งท่านเก็บบัญชีเล่มนั้นเข้าลิ้นชัก ไล่ๆกันเสียงแตรพักเที่ยงกังวานก้องหู ผมเห็นจังหวะงามเพราะอยู่กันลำพังท่านกับผมจึงเผยความในใจตนทีละขั้น

“ผมมีเรื่องอยากกราบเรียนท่านครับ”

ร.อ. อิทธิพล เจ้าของร่างเพรียวผิวคล้ำ ไหลกระตุกยึกฉวัดตาจ้องหน้าผมถามระคนยิ้ม

“บอกมาเลย”

“ผมอยากใช้เวลาตอนบ่ายไปช่วยคุณน้าขายข้าวต้มมัดครับผม”

“อ้าว…”

“เป็นความตั้งใจของผมเอง อีกทั้งช่วงบ่ายผมไม่มีงานอะไรครับผม”

สีหน้าเคลือบยิ้มของเจ้านายจางไป บอกเสียงเบาลง “ผู้กองเอาแรงงานหลวงมาทำประโยชน์ส่วนตัวคนหนึ่งแล้ว เปี๊ยกควรช่วยงานเหมือนเดิมดีกว่าช่วงบ่ายไม่มีงานทำก็นอนพักผ่อน จะไปตากแดดตากลมให้มันลำบากทำไม”

“ผมอยากช่วยคุณน้าครับ อยากเห็นคุณออดกับคุณเอกมีของเล่นสวยๆบ้าง ผมจะเก็บเงินส่วนแบ่งไว้ซื้อให้แกครับ”

นายทหารระดับผู้บังคับกองผินหน้าไปมองตรง ท่าทีคิดหนัก ผมเสริมความตั้งใจตนต่อ

“ผมขออนุญาตผู้กองไห้คิดว่าผมเป็นลูกหลานเถอะครับ ตัวผู้กองเองก็ยังทำงานเกินเวลาราชการนี่ครับ” ผมทำใจกล้าหาเหตุแย้ง

เจ้านายสงบคำนั่งเหยียดร่างพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบาย ๒ ดวงตาเบนกลับมองหน้าผมอึดใจ ท่านถามอีกประโยคสีหน้าเฉยเมย

“เปี๊ยกรู้จักครอบครัวของผู้กองดีแล้วหรือ”

“ครับ”

“บ้านผู้กองจนนะ”

“ผมจะเป็นสุขครับ ถ้าผู้กองอนุญาตให้ผมขายของให้คุณน้ามาลี”

“ไม่อายเพื่อนทหารด้วยกันหรือ”

“ไม่อายครับผม”

สิ้นคำยืนยันของผม ผู้กองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กล่าวเสียงดังขึ้น

“เอาละ ผู้กองจะไปคุยกับคุณมาลีเขาดู เปี๊ยกก็งดไปเอาปิ่นโต ๑ วัน”

“ครับผม”

เมื่อเจ้านายปั่นจักยานคู่ขาจากไป ผมลงจากกองร้อยไปบอกเล่าการรับงานใหม่กับสิทธิ์, ดอน และเกียรติ ๓ เณร เพื่อนซี้รั้ว ทบ. รับทราบโดยไม่บอกเหตุผลเพื่อมิให้เขาประหลาดใจกับงาน จ๊อบ ที่จะทำ

ตกบ่ายเจ้านายกลับมาผมคอยให้ท่านพักผ่อนอยู่ราว ๑๐ นาที จึงขึ้นไปพบได้รับยิ้มอันคุ้นตาพร้อมนำคำบอกของคุณน้ามาลี ซึ่งบอกฝากขอบใจในความมีน้ำใจของผม ทั้งยังพร้อมเพิ่มจำนวนผลผลิตข้าวต้มมัดให้เป็น ๑๐๐ มัด/มัดละ ๒ บาท หากผมจำหน่ายหมด ๑๐๐ มัดเป็นเงิน ๒๐๐ บาท จะรับทัพย์ทันที ๗๕ บาท นับว่าสูงพอควรกับค่าเงินบาทยุคจอมพลผ้าขาวม้าแดง

และสนนราคาข้างต้มมัดนั่นก็มิได้ขูดรีด ทั้งปริมาณและคุณภาพไม่ว่า ไส้กล้วย ไส้เผือก ล้วนรสเยี่ยมยังกับอุบัติจากปลายจวักคุณป้าย่านบางขุนนนท์ ส่วนปริมาณผมกล้าประชาสัมพันธ์ได้เต็มปากเช่นกันว่าใครที่ถูกยกย่อง กระเพาะหมู ซัดเข้าไป ๓ มัดเท่านั้นอยู่สบายทั้งวัน เมื่อรู้แน่แล้วว่า โผ ครั้งนี้ไม่พลิก ผมเลี่ยงลงจากกองร้อยไปคว้าจักรยานของผู้กองปั่นไปสำรวจชัยภูมิทำการค้า บริเวณโดยรอบสนามบินกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังเผาไอ้เณรนับพันกลางลานบินอย่างละเอียดอีกครั้ง ระหว่างจูงรถเดินโต้ตะวันบ่ายไปใกล้กลุ่มไอ้เณรรุ่นน้องที่กำลังพักการฝึก ร่างหนึ่งสูงใหญ่ผมสั้นเกรียนออกสีทองภายในชุดฝึกตะโกนเรียกพร้อมกวักมือ

“เปี๊ยก-เปี๊ยก”

ผมหยุดรถหยีตาสู้รังสีตะวันมองร่างนั้นอย่างพินิจวิบหนึ่งก็ร้อง อ๋อ ในอกที่พบอดีตวัยลำพองแสบ หรั่งสาธร อย่างไม่คาดฝันเลยจัดการเอารถนอนราบไว้กับพื้นสนามเพราะไม่มีที่พิง แล้วก้าวไปหาขณะเพื่อนวิ่งมาหาเช่นกัน

“หวัดดีหรั่ง” ผมทักทายก่อนพร้อมยื่นมือให้สัมผัส

“หวัดดีเปี๊ยก นายฝึกเสร็จแล้วหรือ” เขาซักกระชับมือผมแน่น ผิวขาวถูกเผาแดดก่ำ

“เสร็จแล้ว แยกเหล่าแล้ว”

“ตอนนี้ทำอะไร” หรั่งปล่อยมือจากผม ไม่วายหันไปมองกลุ่มพรรคพวก ผมรีบเตือนเพื่อนเพราะเคยเกือบพลาดมาก่อน

“หรั่ง นายออกมาพ้นเขตที่พักแล้วนะ ถอยหลังไปก่อน เดี๋ยวเราจะเข้าไปหาเอง”

“ไม่เป็นไร เราอยากรู้ว่านายอยู่ที่ไหน”

“ร้อยบริการ กรมฝึกเบื้อนต้น”

“คืนนี้เราจะไปหา”

“มันผิดนะเพื่อน”

“เราเหงาว่ะ นึกว่าจะไม่เจอใครแล้ว” หรั่งบอกและบ่น

ทันใดนั้นเสียงนกหวีดเรียกรวมระรัวลั่นสนาม หรั่งกับผมหันขวับไปมองราวนัดกันเบื้องหน้ากลุ่มทหารหมวดเดียวกับที่หรั่งสังกัดลุกขึ้นเข้าแถวพรึ่บพรั่บ

“ซวยแล้ว” ผมนึกในทรวงแากร้องบอกเพื่อน

“รีบไปซะ หรั่ง”

อดีตวัยคะนองย่านสาธรเซ็นต์หลุยส์ สบตาผมวับเดียวพลางวิ่งเหยาะๆกลับเข้าแถวดันเจอเสียงฟ้าผ่ากลางแดดจ้า

“หยุดที่นั่นแหละ”

คำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนประกาศิต หรั่งหยุดกึก ผู้หมู่ยศสิบเอกชื่อ วีระ ซึ่งทหารที่ผ่านลานบิน ต้องรู้จัก พาร่างดำทะมึนสูงใหญ่คล้ายคิงคองก้าวยาวๆ ไปหยุดเบื้องหน้า หรั่งคงยืนร่างตรงแน่วผมยืนนิ่งเหงื่อซึม เผลอกัดฟันตัวเองจนปวดหูหนึบ ลานบินอันระงมด้วยนกหวีดบัดนี้เงียบกริบยังกะมีคำสั่ง ผบ.ศูนย์ฯ ระงับการฝึก

“คลานกลับไปเข้าแถว”

นักบู๊ ๒ เลือดไทย-อเมริกันไม่ไหวติง ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างพยายามกักเก็บความไม่ชอบขี้หน้าหมู่วีระมาแต่สมัยฝึกมิให้ระเบิดในการที่ไม่ควร

“คลานไม่เป็นใช่ไหม…ถ้าคลานไม่ได้ จะให้ ว่ายบก แทน เร็ว!” หัวหมู่ตะคอก

ผมลุ้นใจขาดขอให้เพื่อนหันมามองสักครั้ง อึดใจอย่างไม่น่าเชื่อ หรั่งผินหน้ามาทางผมพอดีจึง ตีซิก ให้เขายอมปฏิบัติตามคำสั่งแรกซึ่งเขาก็หันกลับไปคลานเข้าแถวดังเดิม ขาปั่นรถกลับกองร้อยครั้งนี้ ผมชักเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายสภาพทหารที่ดำรงอยู่อย่างช่วยไม่ได้ ล่วงไปถึงหลังอาหารเย็นสีแสงสนธยาฉาบฟ้า ผมนั่งฟังเกียรติเป่าหีบเพลงปาก โดยมีดอนกับสิทธิ์ร้องเพลงคลออยู่บนระเบียงกองร้อยแก้เหงาทั้งคอยการมาเยือนของ หรั่งสาธร หวังประโลมใจเพื่อนที่ตนเหมือนต้นเหตุให้เกิดเรื่อง หักหน้า กันกลางล่นบิน

จวบฟ้ามืดสนิท บรรดาสรรพเครื่องมือของใช้ในงานโยธาถูกนำเก็บเข้าคลังเรียบร้อย ๓ เพื่อนชักชวนไปชมมวยประจำสัปดาห์และประจำค่ายธนะรัชต์ที่ตลาดปราณฯ ผมปฏิเสธอ้างมีนัดทั้ง ๓ จึงฝากให้เฝ้ากองร้อยตามฟอร์ม พักเดียวผมก็นั่งเป็น ผบ.ร้อย.จ่ากอ. ผู้หมู่และไอ้เณรรักษาการณ์ประจำร้อยบริการอยู่เพียงลำพัง สามทุ่มแล้วเสียงแตรนอนกังวานมาจากยอดเขาฉลักฉลาม คืนนี้ฟ้าเบื้องบนไร้จันทร์ บอกคืนแรม กระนั้นยังปรากฏหมู่ดาวระยับจักรวาล สายลมหนาวกรรโชกกรูมาเป็นครั้งคราว

พอสิ้นเสียงแตรนอนเสียงนกหวีดดังมาจากโรงเรือนตะคุ่มๆ ที่ปลูกเรียงเป็นตับฝั่งตรงข้ามคล้ายรับขานกัน จิ๊ปเล็กฝ่าย สห. วิ่งตรวจตราความสงบเรียบร้อยทั่วไปตามถนนรอบศูนย์เพิ่งผ่านตาผมไปเมื่อครู่ บริเวณใต้ถุนกองร้อยทั่วไปว่างโหรงเหรงเงียบเชียบราวร้างนักรบ ผมนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้อยู่หลายคราวจนนึกฉุนตัวเองที่จมปลักคิดไม่ไปหน้ามาหลังกับเรื่องของหรั่ง สาธร นับชั่วโมง พักหนึ่งผมเตร่ไปนั่งบนราวบันไดได้ไม่นานก็สามารถหยุดความคิดเดิมได้แต่กลับไพล่ไปคิดถึง ๒ เพื่อน แดงจอน และ แอ๊ดเสือเผ่น ที่สาบสูญไร่ร่องรอยทดแทนอีก จนเวลาผ่านมาถึง ๔ ทุ่ม เกียรติ ดอนและสิทธิ์กลับจากสนามมวย ผมจึงถือโอกาสพักผ่อนเอากำลังไว้สู้งานวันใหม่

ที่สุดวันสำคัญสำหรับผมได้มาถึงผู้กองอิทธิพลปั่นรถถึงกองร้อยขณะพวกผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่อ่างน้ำเช่นเคย

“เปี๊ยก วันนี้นายจะขี่รถขายข้างต้มมัดใช่ไหม” ดอนถามดั่งคิดอะไรขึ้นมาได้

“ใช่”

“เราขอจอง ๔ มัดไส้เผือกนะ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จเอาตังไปเลย”

ผมผงกหัวรับแทนตอบ และจัดการชำระเนื้อกายเพื่อไปรับยอดอาหารจำนวน ๔ นาย จากสูทกรรมมากินที่กองร้อยแทนโรงเลี้ยงพร้อมเบิกจ่ายวัสดุไปด้วย ๑๐.๐๐ น. เสร็จเรื่องงานเรื่องท้องผมปราดขึ้นบันไดเข้าพบเจ้านายหาข่าวคุณน้ามาลีจากท่าน ซึ่งพอพลักประตูห้องทำงานพาตัวเองเข้าไป ผู้กองแจ้งข่าวเหมือนใจนึก

“คุณน้ามาลีสั่งให้เปี๊ยกไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน อิ่มแล้วค่อยรับปิ่นโตมา”

“ครับผม”

“เออ…เดี๋ยวเปี๊ยกขี่รถไปให้ช่างเขาอ๊อกขาตั้งรถให้ด้วย ที่ตลาดปราณฯ นั่นแหละเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวที่บ้านเลย เอาเงินค่าอ๊อกขาตั้งไปด้วย”

จบคำท่านส่งเงินจำนวน ๑๐๐ บาทให้ผมขยับไปรับไว้ และถอยกลับมาชิดเท้าตรงพร้อมผละไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที การเดินทางโดยจักรยานระหว่างกองร้อยถึงศูนย์ซ่อมจักรยาน ๒ ล้อแห่งเดียวในค่ายธนะรัชน์ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาที แต่ใช้เวลานั่งกินโอเลี้ยงยังร้านตู้เพลงถัดไปประมาณชั่วโมงเศษ ช่างจึงเสร็จกิจการรถคันอื่นมาพ่นสารตะกั่วเชื่อมขาตั้งตรงข้อต่อทั้งสองข้างให้ด้วยเวลาไม่ถึง ๑๐ นาทีก็จ่ายทรัพย์ตามสนนราคาไป ๓๐ บาท ออกจากศูนย์ซ่อมจักรยานเอาใกล้เที่ยงผมปั่นยาวไปบ้านพักเจ้านายแล้วค่อยๆ จรดตีนเดินลอดซุ้มเฟื่องฟ้าผ่านประตูบ้านเข้าไปเบากริบ เมื่อหลุดเข้าไปถึงใต้ถุนบ้านเห็นหม้อนึ่งข้าวเหนียวขนาดใหญ่ ๕ เถาตั้งหราอยู่บนเตาไฟฟืนพ่นควันกรุ่นมีสาวรุ่นสวยคมแบบสาวภูธรคอยซุนฟืนเข้าเตาอยู่เหมือนเดิม ส่วนคุณน้ามาลีกำลังนั่งจัดใบตองรองก้นตะกร้าพลาสติกชนิดมีหูหิ้วขนาดใหญ่หันหลังให้ไม่เห็นการมาของผม ได้หันมาเจอโดยไม่ได้ตั้งใจถึงกับสะดุ้งเฮือกบอกยิ้มๆ ใบหน้าเยิ้มเป็นมัน

“ตกใจแน่ะ น้ากำลังนึกถึงอยู่พอดีว่าทำไมถึงยังไม่มากินข้าว นั่งสิที่โต๊ะอาหารนั่นแหละ เดี๋ยวน้าจะจัดการให้”

“ครับ” รับคำพลางก้าวไปนั่งที่เก้าอี้ว่าง และไม่วายชายตามองสาวตามวิสัย

ครู่หนึ่งแกงจืดวุ้นเส้นกับปลาสลิดทอด ๒ ตัวพร้อมข้าวสุกขาวสะอาด ๑ จานพูนกับน้ำปลาพริกขี้หนูบีบมะนาวพอเปรี้ยวลิ้นถูกนำมาเสิร์ฟ จึงเป็นอาหารมื้อเที่ยงที่ซัดได้สบายปากระคนขวยใจที่ตนสบายท้อง ส่วน ๒ หญิงยังหน้าตึงไม่ห่างเตาไฟ

“สุกหมดแล้วละ แจ๋วราไฟได้แล้ว” คุณน้าบอกน้องสาว

ผมขยับลุกจากเก้าอี้เป็นยืนหมายช่วยแรงด้านใดด้านหนึ่ง คุณน้าเบรกปนยิ้ม

“นั่งเถอะเปี๊ยก ที่มันแคบ เดี๋ยวชนกันเปล่าๆ”

ผมยิ้มให้ และแอบตอบในใจ “ก้อมันเขินนี่ครับ”

ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา ข้าวต้มมัดห่อด้วยใบตองมัดขนาดเท่าข้อแขนยาวครึ่งคืบ ราคามัดละ ๒ บาท ถูกลำเลียงลงตะกร้าพลาสติกที่ผมหมายตาไว้แต่แรก พร้อมสาธิต

“เปี๊ยกสังเกตดูลักษณะการมัดเอานะ มันมี ๒ ชนิด มีไส้กล้วยกับไส้เผือก ไส้กล้วยน้ามัดไว้ ๒ ปล้อง ไส้เผือกมัด ๓ ปล้อง…นี่ยังไง”

“ครับ”

ผมรับทราบพลางลุกขึ้นยืน สาวรุ่นที่ผมเพิ่งทราบนามว่า แจ๋ว สบตาแล้วยิ่มอายๆ ผมยิ้มตอบแต่มือขวาพาลไปหยิบหูตัวเอง เอาละหวา…วงจรธรรมชาติเปิดขั้วบวก-ลบ เพื่อผลิตกระแสจริงหรือเปล่าหนอ?

และแล้วตะกร้าพลาสติกขนาดใหญ่บรรจุข้าวต้มมัด ๑๐๐ มัดได้ถูกผมแบกไปวางบนแท่นเหล็กท้ายรถโดยมีคุณแจ๋วนำเชือกมาให้ผูกตะกร้าติดกับรถอีกทั้งช่วยจับรถไว้ให้จนจมูกสัมผัสกลิ่นหอมเนื้อสาว กระนั้นโอกาสงามๆ มักไม่เปิดให้ไอ้หนุ่มมากนัก เพราะคุณน้ามาลีเดินถือปิ่นโตไปวางไว้ในตะแกรงหน้ารถต้องสำรวมใจทำงาน

“ผมไปละครับ” ผมบอกลาเมื่อเสร็จกิจ

คุณน้ายิ้ม “ขอให้ขายหมดเกลี้ยงในพริบตาจ๊ะ”

ขาล่องเที่ยวนี้ผมบรรทุกมาเต็มพิกัดจึงพยายามบังคับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ แรกๆการขับขี่กับการบังคับแฮนด์ส่ายไปมาอยู่บ้าง แต่เมื่อปั่นพ้นระยะ ๕๐ เมตร ผมก็ปรับสถานะความพอดีระหว่างรถ-ของ และคนมห้สัมพันธ์กันได้ในระยะต่อไป จนผ่านไปถึงหน้ากองร้อยผมหยุดฝากปิ่นโตอาหารให้เกียรตินำไปให้เจ้านายพร้อมข้าวต้มมัดที่เพื่อนสั่งจองไว้ ๔ มัด แล้วปั่นรถมุ่งหน้าสู่สนามบินในบัดดล

นาฬิกาข้อมือซ้ายผมบอกเวลา ๑๓.๓๐ น. ผมตั้งรถไว้นอกเขตสนามบินจัดการหิ้วตะกร้าดิ่งไปยังด้านข้างโรงเก็บเครื่องบิน ซึ่งทหารกำลังพักฝึกหรือสถานที่เดียวกับที่เกิดเรื่องเมื่อวาน ก็เห็นหรั่งลุกขึ้นยืนกวักมือหยอยๆ จึงหิ้วตะกร้าเข้าไปหา

“นายขายอะไรนะ” หรั่งเปิดคำใบหน้าเจอแดดเผาแดงก่ำเหมือนเดิม

“ข้าวต้มมัด”

“เออดีว่ะ กำลังหิวทีเดียว วางลงสิ”

คำบอกเพื่อนพาให้วางตะกร้าลงตั้งร้านค้ามันกลางแดดนั่งเอง

“มีไส้เผือกกับไส้กล้วย นายจะเอาอย่างไหน”

“เอาไส้เผือก ๕ มัด ไส้กล้วย ๕ มัด”

ผมจัดการเลือกของที่ต้องการให้เขา และนับแต่นาทีนั้น ผมมิได้ย้ายร้านไปขายยังที่ใดอีกเลย เพราะขายดีจนหยิบทอนเงินกันวุ่นวายทีเดียว หรั่งนั่งกินไปคุยไปถึงเรื่องชาวยุทธ์

พลัน….เสียงนกหวีดระรัวลั่น ผมสะดุ้งโหยง สัญชาตญาณเตือนให้ตื่นตัวจ้องตาเขม็งที่ด้านหน้าโรงเก็บเครื่องบิน

“หมู่วีระอีกแล้ว” หรั่งบอก

ผมเห็นเหมือนกันกับเพื่อน และยังเห็นผู้หมู่ทรงคิงคองชี้มือไปที่ใบตองห่อข้าวต้มมัด ๒-๓ ชิ้น ๒ ดวงตาจี้มาที่ร้านค้าเร่ของผม ตะคอกถามเสียงดัง

“ใครทิ้งไว้ มาหยิบไปทิ้งถังขยะเสีย”

ผมลุกพรวดขึ้นยืน หรั่งดึงมือไว้ “ระวังมันหาเรื่อง”

หมู่วีระเห็นผมยืนโด่อยู่เดียวดาย แกก้าวอาดๆ มาหาหางตาเฉียงไปที่ หรั่งสาธร

“ใครขายข้าวต้มมัดนี่” คิงคองถาม

“ผมครับ”

“คาบไปทิ้งถังขยะโน่น” คำสั่งอธรรม

ผมไม่รอคิด ด้วยมีสัญญาณภัยอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นกระตุ้นให้จำนนจึงก้มลงคลานกระดืบๆ ไปคาบใบตองที่ถูกทิ้งเกลื่อนบริเวณหน้าโรงเก็บเครื่องบินโดยดุษณี อย่างไรขอขอบคุณเพื่อนทหารที่ไม่โห่ฮาเติมไฟฆาตกรให้ ณ บัดนั้น

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: