3765. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 24 อาชีพใหม่ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 24 อาชีพใหม่ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เมื่อ “โผพลิก” ให้ประจำร้อยบริการและเพื่อนร่วมรุ่นได้แยกย้ายไปประยังหน่วยอื่นของ ทบ. พร้อมทั้งทหารเก่ามีหน้าที่รับ-จ่ายวัสดุ ๔ นาย ปลดประจำการ เรา ๔ คนอันมีสิทธิ์, ดอน, เกียรติ และผมก็เข้ารับหน้าที่งานแทนสำหรับผมมีภาษีตรงที่วุฒิการศึกษาดีกว่า ๓ เพื่อนทหารจึงถูกให้ทำงานหนังสืออยู่บนกองร้อยภายในห้องทำงานของผู้กองอิทธิพลแทนพลฯ อุดม จึงได้ใกล้ชิดเจ้านายกว่าจ่ากองร้อยเสียอีก

ดังนั้นในเวลา ๓-๔ วันแรกที่ประเดิมงานเต็มตัวจึงทราบว่าสิ่งที่พลฯ อุดมกล่าวถึงผู้กองนั้นเป็นจริงทุกอย่าง และก็เห็นว่าคงมีเจ้านายผมท่านนี้เท่านั้นที่ท่านปั่นจักรยานมาถึงกองร้อยและทำงานเอาตอน ๐๗.๐๐ น. ประจำทุกวัน ส่วนเลิกงานจะเป็นเวลาหลังเชิญธงลงจากเสาทีเดียว มิหนำซ้ำยามกลางวันหากมีเวลาท่านจะลงมาตรวจเซ็กและซ่อมอุปกรณ์บางชิ้นที่พอซ่อมได้โดยไม่เคยออกปากชักชวนพวกผม ๔ คนเลย ถึงกระนั้นนับว่าโชคดียังมีอยู่ที่ สิทธิ์, ดอน และเกียรติเป็นทหารเอางานและไ่ม่ดูดาย คอยเอาใจใส่ต่อวัสดุทุกชิ้นที่รับผิดชอบอยู่น่าชมเชยยิ่ง

จนล่วงมาถึงเย็นวันศุกร์ก่อนเวลาเลิกงานเล็กน้อย ได้มีหนังสือคำสั่งจากท่าน ผบ. ศูนย์ให้ฝ่ายร้อยบริการจัดเตรียมจัดวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานโยธาตั้งแต่ปุ้งกี๋, พลั่ว, จอบ, อีเต้อให้พร้อมกับจำนวนทหาร ๒๐๐ นาย ซึ่งถูกเกณฑ์ไปเคลียร์สนามฟุตบอลหรือสนามกีฬาประจำค่ายธนะรัชต์ เพื่อจัดเตรียมการแข่งขันเค้นหาตัวนักกรีฑาเป็นตัวแทนเหล่าเข้าแข่งขันกรีฑา ทบ. และ ๓ เหล่าทับ

ดังกล่าว ส่งผลให้เรา ๔ คนพร้อมผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ผู้หมู่ขึ้นไปจรดท่านผู้กองออกเดินเรื่องขอเบิกวัสดุและอุปกรณ์จากฝ่ายพลาธิการขณะกำลังปิดทำการเล่นเอาเกือบวุ่น หากไม่ใช่คำสั่งท่าน ผบ. ศูนย์ พอลำเลียงวัสดุอุปกรณ์กลับถึงคลังกองร้อยแล้ว ยังต้องขลุกอยู่ในคลังจัดของเข้าที่จนผ่านอาหารมื้อเย็นไปอย่างไม่รู้ตัว มาเสร็จกิจปิดคลังเอาฟ้ามืดด้วยสภาพเหงื่อโชกกันทุกคน ต่อมาจ่าชั้ว จ่ากองร้อยได้เรียกผมขึ้นไปบนกองร้อยพบเจ้านาย จึงไม่รอช้า เมื่อปะท่านนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็ชิดเท้าตรงแสดงความเคารพเข้มแข็ง

“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลยใช่ไหม” ผู้กองถามทันที

“ครับผม”

“เดี๋ยวผู้กองขอแรงหน่อยนะ”

“ครับผม” ขานรับลูกเดียว

เจ้านายขยับร่างหยิบกระเป๋าเงินออกมาดึงแบงค์สิบ ๓ ใบยื่นส่งให้ด้วยยิ้มปกติ พร้อมบอกพอได้ยิน

“เปี๊ยกเอาเงินนี่ไปซื้อผักซื้อหมูหรือปลาที่ตลาดมาทอดมาทำกับข้าวกินกันที่กองร้อยนะ หม้อ กระทะ มีอยู่แล้ว ข้างสารก็มี หลังจากซื้อของเสร็จแล้วแวะไปที่บ้านพักผู้กอง บอกคุณมาลีให้จัดข้าวกับอาหารใส่ปิ่นโตให้ด้วย…เคยไปมาแล้วไม่ใช่หรือ”

“ครับผม” ขานรับ แต่คิด

“เอ้า รับเงินไปสิ”

ผมก้าวเข้าไปยืนที่หน้าโต๊ะทำงานผู้กอง พร้อมกับค้อมร่างยิ่นมือไปรับเงินจากท่านพินอบพิเทา

“เอาจักรยานผู้กองขี่ไปนะ รถของจ่าชั้วเขาโซ่หลุดบ่อยมันจะลำบากตอนขึ้นเนิน”

“ครับผม” รับคำพร้อมถอยไปกระทำชิดเท้าตรง

ออกจากห้องทำงานของเจ้านายกลับลงบันไดเที่ยงนี้ ผมมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจพอสมควรเมื่อลงไปคว้าจักรยานที่ใต้ถุนกองร้อยกลางแสงนีออนสว่างจ้าสิทธิ์ตะโกนจากด้านหลังดังลั่น

“เปี๊ยก คอยเดี๋ยว”

สิ้นเสียงเจ้าของร่างสันทัดวิ่งเหยาะๆมาหาถามเบากริบ

“นายกินข้างหรือยัง”

“ยัง”

“แล้วนายจะไปไหน” สิทธิ์ชัก

“ผู้กองใช้ไปซื้อกับข้าวมาทำกินกันแล้วเลยไปเอาปิ่นโตอาหารที่บ้านพักด้วย”

“มิน่าเล่า จ่าชั้วถึงให้ดอนไปตักข้าวสารในห้องมาหุง” สิทธิ์พึมพำ

ผมยิ้มให้เขาก่อนจูงจักรยานออกนอกถนนปั่นไปตามถนนลูกรังอันมีแสงไฟตามหัวมุมกองร้อยส่องทางให้เห็นสลัวๆ ตลอดรายทางราว ๑,๐๐๐ เมตรก็ถึงตลาดสดประจำค่าย ซึ่งขณะนี้ตามแผงลอยทั่วไปมีผักเหลือจากเลือกกองอยู่ไม่มากนัก จึงเลือกเอาผักคะน้ากับเนื้อหมูสีซีดมาอย่างละ ๑๐ บาท พร้อมไข่เป็ด ๗ ฟอง ราคา ๑๐ บาท ก็หมดเงินจำนวน ๓๐ บาท ที่ผู้กองให้มาแล้ว แต่เห็นว่าเรามิได้กินข้าวมื้อนี้เฉพาะไอ้เณร ๔ คน ยังมีจ่าชั้วกับหมูชัยอีก ๒ คน จึงควักกระเป่าอัก ๑๐ บาท ซื้อปลากระป๋อง ๒ กระป๋อง พร้อมหัวหอม พริก มะนาวติดไปด้วย

ละจากตลาดสด ผมปั่นจักรยานฝ่าม่านมืดโต้สายลมหนาวต้นฤดูไปที่บ้านพักเจ้านายอีกประมาณ ๕๐๐ เมตร ก็เห็นซุ้มเฟื่องฟ้าหน้าบ้านพุ่มใหญ่อันเป็นจุดเด่นกว่าบ้านพักหลังอื่น จึงเทียบรถจอดและพิงรถไว้กับเสาไฟฟ้าตามสไตล์รถไม่มีขาตั้ง หันกลับมาหมายขยับลอดซุ้มเฟื่องฟ้าเข้าบ้าน พลัน ๒ ดวงตาผมเหลือบเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งวางถาดอะลูมิเนียมไว้ บนถาดมีข้างต้มมัดอยู่ราว ๒๐ มัด ด้วยความสงสัยว่า คุณพี่มาลีแฟนของผู้กองเอาข้าวต้มมัดมาตั้งที่หน้าบ้านนี้เพื่อขายใครเพราะครอบครัวทหารแถวนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยออกจากบ้านเหมือนแถวบ้านพักนายสิบหรือจ่าที่เป็นห้องแถวเรือนไม้ทั้งสองฝั่งถนน

ครู่เดียว ผมก้าวลอดซุ้มเฟื่องฟ้าเข้าสู่ตัวบ้านพบครอบครัวเจ้านายกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่พอดี จึงกระทำชิดเท้าตรงแสดงความเคารพโดยไม่กล้าระบุคำสั่งเจ้านาย

“ผู้กองให้มาเอาอาหารใช่ไหมจ๊ะ”

นายผู้หญิงหรือคุณนายซึ่งสภาพฐานะและบุคลิกมิได้บอกแววคุณนายถามเสียงเอื้อความเป็นกันเองชัดเจน

“ครับผม…แต่คุณน้าทานข้าวก่อนก็ได้ครับ ผมคอยได้” ผมอาทรตามประสาไทยแท้

“น้าอิ่มพอดีจ๊ะ คอยเดี๋ยวนะ น้าตักใส่ปิ่นโตไว้แล้ว เอาใส่เถาครู่เดียวเท่านั้น”

ผมไม่กล่าวกระไร แต่เดินไปดูหลานชาย-หญิงนั่งทานอาหารร่วมกับสาวรุ่นแปลกหน้า สวยคมผมดำสลวยโดยมีหนูเอกกับหนูออด ๒ หนูน้อยเพศชายเฝ้าสอบถามถึงน้าดมทำไมไม่มา หรือน้าดมไปเป็นทหารที่อื่นแล้ว ซึ่งย่อมต้องเป็นหน้าที่ที่ผมต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ถูกว่าน้าดม หรือพลฯ อุดมของหนูน่ะเขาปลดประจำการไปแล้ว เพราะเขาเข้ามารับราชการทหาร ๒ ปีเท่านั้น ถึงน้าดมไม่อยู่น้าเปี๊ยกได้มาอยู่แทนแล้ว หนูจะให้น้าเปี๊ยกทำอะไรให้หนูเล่นล่ะก็บอกเถอะ คำประโลมดังกล่าวของผมเจอคำถามจากหนูออดวัย ๑๐ ปีถึงผวาเยือก

“แล้วน้าเปี๊ยกจะขายข้าวต้มมัดเหมือนน้าดมไหมฮะ”

ระหว่างอึกอักหาคำตอบมิให้ ๒ เด็กชายผิดหวังกับคำตอบมากนัก คุณน้ามาลีได้หิ้วปิ่นโตออกมาจากครัวช่วยคลี่คลายเฉพาะหน้าถูกจังหวะ บอกระคนยิ้ม

“เสร็จแล้วจ้า”

ผมชิดเท้าตรง รับปิ่นโต หันไปล่ำลาสมาชิกยังโต๊ะอาหารสั้นๆ

“น้าเปี๊ยกไปนะครับ”

จบคำผมหันหลังกลับเดินหิ้วปิ่นโตออกไปถึงรถ คุณน้ายังตามมาส่งถึงหน้าบ้านพร้อมกับถามสุ้มเสียงปรานี

“ที่กองร้อยมีทหารกี่คนจ๊ะ”

“๔ คนครับผม”

“หยั่งงั้น น้าฝากข้างต้มมัดนี่ไปให้เขาด้วยนะ”

วาจาคุณมาลีดั่งทรงอำนาจลึกลับมิให้ผมอ้าปากคัดค้าน กลับมองดูนายผู้หญิงเลือกข้างต้มมัดใส่ถุงให้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ มัด แล้วยื่นส่งให้

“เอาไปแบ่งกินนะ วันนี้น้าลองทำตั้งขายที่นี่ตอนโรงเรียนเลิกแล้ว ๕๐ มัดขายไปได้ทุนแล้วจ๊ะ”

ผมกัดฟันถาม “แล้วกำไรล่ะครับ”

“ที่เหลือนี่แหละ หากขายหมดก็ได้กำไรประมาณ ๒๕-๓๐ บาท นี่เกือบ ๒ ทุ่มแล้ว ไม่มีใครมาซื้อหรอกจ๊ะ”

“ขอบพระคุณครับ”

ผมลืมยกมือไหว้ทั้งเครื่องแบบพร้อมรับถุงใส่ข้าวต้มมัดไปใส่ไว้ยังตะแกรงหน้ารถแล้วจูงรถออกโดยไม่วายลอบมองคุณนายขณะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้ง

ขาปั่นรถกลับครั้งนี้ ผมจำทิศทางทุ่นแรงน่องจากพลฯ อุดมได้ จึงปั่นรถกลับยังเส้นทางนั้นท่ามกลางความเงียบบนถนนลูกรัง ซึ่งหารถวิ่งสวนมาสักคันแสนยาก พักใหญ่จึงฝ่าลมหนาวถึงกองร้อยโดยมีสิทธิ์, ดอน และเกียรติมารับอาหารไปจัดทำเร่งด่วน ส่วนผมรีบเอาปิ่นโตอาหารขึ้นไปให้ผู้กองยังห้องทำงาน เรียบร้อยก็ลงไปร่วมกับเพื่อนเป็นลูกมือให้เกะกะหมู่ชัยผู้ทำหน้าที่เถ้าชิ้วราวครึ่งชั่วโมงอาหาร ๓ อย่าง อันมี ผัดผักคะน้าใส่หมู ยำปลากระป๋องและไข่เจียวได้ถูกลำเลียงขึ้นตั้งบนโต๊ะหน้วคลังเก็บวัสดุ

ข้างสารหุงแล้วออกสีขาวน่ากินกว่าข้าวสารของสูทกรรมที่หุงแล้วออกสีเหลืองด้านๆ ถูกดอนตัดจากหม้อยกเสิร์ฟ หมู่ชัยฉากไปตามจ่ากองร้อยมาร่วมวงโดยไม่ต้องแยกวง ก็รู้สึกขอบคุณที่จ่าไม่เคร่งครัดเหมือนนายบางท่าน ดังนั้นการเดินทางของอาหารผสมความหิวต่างจึงชัดกันเต็มเหนี่ยว และพอหนังท้องตึง เสียงแตรนอนกังวานเยือกเย็นโหยก้องไปทั้งหุบเขาชวนนิทราอย่างรู้งาน สัปดาห์แรกในตำแหน่งงานใหม่ของพวกเรา ๔ ทหารผ่านไปด้วยดี จนล่วงไปถึงวันอังคารของสัปดาห์ที่ ๒ ผู้กองได้มอบหน้าที่ให้ผมปั่นจักรยานไปรับปิ่นโตอาหารมื้อเที่ยงที่บ้านพักท่านทุกวันก็เต็มใจรับใช้ เนื่องจากทราบว่าท่านไม่ได้รับประทานอาหารเช้ามาจากบ้าน เพราะต้องออกจากบ้านมาทำงานแต่เช้านั่นเอง

ที่สุดภารกิจที่ผู้กองมอบหมายให้ผมรับดำเนินการทุกเที่ยงวันได้ประสานความใกล้ชิดระหว่างผมกับครอบครัวของท่านยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันทุกๆ เที่ยงวันที่ปั่นจักรยานไปถึงบ้านพัก ผมจะพบคุณน้ามาลีภรรยาเจ้านายสาละวนอยู่หน้าเตาที่ตั้งหม้อนึ่งข้างเหนียวผลิตข้าวต้มมัดด้วยใบหน้าเยิ้มเหงื่อเป็นมันระยับโดยมีน้องสาววัยรุ่นคอยช่วยเป็นลูกมือซุนฟืนไม่ให้ไฟในเตารา นานวันเข้า ความสงสารที่มีต่อสภาพครอบครัวเจ้านายคนยากทวีขึ้นจนกร่อนเซาะทิฐิอันเคยลำพองตนในเรื่องศักดิ์ศรี ถูกแปรให้มองเห็นเป็นเรื่องที่ควรสงเคราะห์อย่างยิ่ง ทางด้านผู้กองเอง ขณะผมนั่งช่วยงานท่านที่กองร้อย ท่านก็มีน้ำใจเสมออาหารมื้อกลางวันทุกมื้อที่ผมปั่นรถไปรับมาให้ ท่านจะทานข้าวจนหมดปิ่นโต แต่อาหาร ๒ ชนิดในปิ่นโต โดยเฉพาะแกงท่านจะเหลือไว้ครึ่งปิ่นโตเพื่อให้ผมตักข้าวไปนั่งชัดร่วมกับ ๓ เพื่อน ก่อนล้างปิ่นโตประจำ

กระทั่งบ่ายวันหนึ่งหลังจัดล้างปิ่นโตอาหารไปคว่ำตากแดดไว้บนขอบอ่างน้ำตามปกติแล้ว ผมได้คว้าจักรยานของผู้กองปั่นไปที่สนามบินชมการฝึกของทหารใหม่ผลัดต่อๆ มากลางแสงแดดแผดจ้าเพื่อสำรวจชัยภูมิทำการค้าของ พลฯ อุดม อดีตพ่อค้าข้าวต้มมัดผู้ปลดประจำการไปแล้วราวกับจะมาเปิดศูนย์การค้าข้างๆ โรงเก็บเครื่องบินเสียเอง ครับ-ผมจะเป็นพ่อค้าขายข้าวต้มมัดไส้กล้วยกับไส้เผือกให้คุณนา

พอกลับจากสนามบิน ผมหลบไปนั่งมองภูเขาอยู่หลังกองร้อย ถามใจตนสารพัดกับความคิดที่จะไปอาสาคุณน้ามาลีขายข้าวต้มมัดเช่นเดียวกับพลฯ อุดมได้แน่หรือ? ทหารใหม่แต่ละรุ่นที่ส่งมาฝึก แน่ใจหรือว่าหากเพื่อนฝูงมาเห็นเราขายข้าวต้มมัดอยู่ข้างๆ สนามบินนั่นแล้ว พวกไม่เปลี่ยนฉายาผมให้เป็น เปี๊ยกข้าวต้มมัด!

ดังกล่าว จะขานว่า อัตตาฯ ของผมย่อมได้เพราะใจนั้นมันคอยจะคิดว่าสู้แอ่นอกรับลูกปืนช่วยเพื่อนเหมือนที่อู่ตะเภายังมีศักดิ์ศรีกว่าร้อยเท่า จนแล้วจนรอดกลางสายธารความคิดในอันที่จะตัดใจอย่างหนึ่งอย่างใดให้เด็ดขาดกลับทำไม่ได้

ที่สุดภาพของหนูออดกับหนูเอก ๒ ลูกชายเจ้านายพากันขี่ก้านกล้วยแทนม้าที่ผมทำให้เล่นแล้วร้อง กึบ-กับ-กึบ-กับ พลางวิ่งไปรอบบ้าน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาถูกฉายสู่สำนึกสว่างโชติ

ดูเถอะ…ทายาทนายทหารยศร้อยเอกระดับผู้บังคับกองช่างขี่ม้าน่าสนุกอะไรเช่นนั้น?

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: