3761. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 20 วางปืนขึ้นธรรมาสน์ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 20 วางปืนขึ้นธรรมาสน์ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ทุ่มเศษขบวนรถไฟพิเศษขนไอ้เณรจากเมืองฟ้าถึงบ้านป่าสถานี วังพงก์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จุดหมายปลายทางจึงโดดลงไปรับแสงสว่างจากดวงไฟบนชานชาลาเล็กๆ ซึ่งถูกโอบด้วยความมืดคล้ายสถานีตั้งโดดเดี่ยวริมทางรถไฟ (พ.ศ.๒๕๐๔) ด้านหลังสถานีเป็นที่ลุ่มว่างเปล่า ขณะนี้บรรดาทหารใหม่ลงจากรถไฟไปยืนออกันแลหัวดำพรืดไปหมด

ไกลออกไปในความมืดราว ๓๐๐ เมตร มีถนนลูกรังยกสูงระดับรางรถไฟขณะนี้ปรากฏ ยี.เอ็ม.ซี. เปิดไฟหน้าจอดเรียงเป็นตับ เสียงประกาศปาวๆ ทางเครื่องขยายออกลำโพงที่ติดตั้งอยู่บนชื่อหลังสถานีให้ทหารใหม่รีบไปขึ้นรถเข้าค่าย

อึดใจหัวขบวนทหารใหม่เริ่มออกวิ่งเหยาะๆ ผมเองพอหลุดร่างจากสถานีวิ่งลงถนนขรุขระซึ่งแต่เดิมคงเป็นพื้นนาอันมีแสงไฟจากไฟหน้ารถยักษ์ส่องทางให้อย่างทุลักทุเล และตลอดรายทางมีปิศาจสุราที่ชัดกันยาวนับแต่รถไฟเครื่องขบวนร่วงกองอยู่เรี่ยราด ส่วนใหญ่เป็นประเภทเพื่อนเหลือระอาลาก อีกทั้งเห็นรถจอดอยู่ไกล ถนนหรือก็ขรุขระพวกเลยทิ้งเสียอย่างลูกผู้ชายใจเหี้ยมหาญ

ด้านตัวเองหามีภาระใดต้องห่วงนอกจากถุงเป้ของแดง จอนกับแอ๊ด เสือเผ่น ๒ เพื่อนที่หายตัวไปตั้งแต่พักรออยู่ที่ ช. พัน ๔ เลยวิ่งเหยาะๆ หลบหลุมบ่อและเพื่อนทหารข้างเคียงกับที่ตามมาเป็นร้อย ถึงกับใจเต้นที่เสียงย่ำคอมแบตหุ้มตีนไอ้เณรกัมปนาทฝุ่นตลบราวแผ่นดินถล่ม ฟังแล้วน่าขามเกรงและภูมิใจตนอยู่เงียบกริบ

ครู่หนึ่งระยะทางการวิ่งไปยังที่รถจอด ๒๐๐ เมตรแรกเกิดประสิทธิภาพส่อประสิทธิผลให้เกิดเสียงบ่นเสียงด่าระคนเสียงหอบหายใจฟืดฟาดที่รถดันไปจอดเสียไกลลิบ ยิ่งรถที่จอดอยู่หัวขบวนห่างออกไปอีกราว ๑๐ ช่วงรถยักษ์แทบไม่มีใครถ่อไปจึงพากันอัดอยู่ที่รถ ๖-๗ คันแรกราวยัดทะยาน ส่วนผมกับพวกอีกราว ๒๐๐-๓๐๐ คน สู้ยอมเหนื่อยถ่อไปจนถึงรถคันที่ว่างโหรงรองจากหัวขบวน ๓ คัน

เวลาล่วงไปประมาณ ๑๕ นาทีเสียงเครื่องยนต์รถยักษ์กระหึ่มลั่นฟ้าราตรีรถนำขบวนเริ่มเคลื่อน คันที่ ๒ ที่ ๓ และคันต่อไปตามทิ้งช่วงด้วยความเร็วปกติไปบนถนนลูกรังอันมากด้วยหลุมบ่อและฝุ่นดินที่คลุ้มตลบจนมองไม่เห็นท้ายรถคันหน้า การวิ่งของรถก็เคี้ยวคดหลบหลีกหลุมใหญ่ไปเจอหลุมเล็ก มีอาการเด้งขึ้นเดิ้งลงโยกซ้ายย้ายขวาเป็นที่เฮฮาอยู่ไม่นานจึงไม่ปรากฏเสียงมนุษย์สนุกกับงานโต้คลื่นบนถนนพร้อมฝุ่นลูกรังหนาทึบอีกเลย บนถนนอันทรมานและมาราธอนยาว ๕ ก.ม. สุดสิ้นตรงทางออกตรงข้ามกับค่ายธนะรัชต์ซึ่งมีถนนเพชรเกษมตัดผ่าน มีแผงซีเมนต์หน้าประตูค่ายติดสัญลักษณ์ผุ้ยิ่งใหญ่ รูปหนุมานหาวเป็นดาวเดือนยี่ห้อศูนย์ฝึกกำลังทดแทนค่ายธนะรัชต์ ส่วนอำเภอปราณบุรีนั้นขณะนี้เพื่อนทหารด้านหลังเปลี่ยนให้แล้วตามสภาพระยะทาง ๕ ก.ม. ว่า อำเภอแทบวายปนาณ

หลุดผ่านประตูค่ายฝึกยุทธวิถีฆ่าคนถูกต้องตามกฏหมายเข้าไปปะด่านกองรักษาการณ์กับฝ่าย สห. บนถนนลูกรังเช่นเดิมแต่สภาพดีอีกราว ๑ ก.ม. จึงได้เห็นโรงเรียนเป็นแถวยาวเหยียดแน่นขนัดภายในอ่างยักษ์ที่ถูกโอบด้วยขุนเขาทอดยาวเป็นทิวจนไปหยุดขบวนอยู่ด้านหน้าอาคารเรือนไม้ติดอักษรศูนย์กำลังพล ที่สุด ที่แห่งนี้เองที่ไอ้เณรร้อยพ่อพันแม่ได้เข้าไปนั่งเป็นแถวหน้ากระดานด้วยสารรูปฝรั่งหัวแดงซึ่งทั่วใบหน้าเนื้อตัวแต้มฝุ่นลูกรังหนาเตอะ ครู่ใหญ่นายทหารร่าใหญ่ ผิวคล้ำ ติดยศนายพันโทเดินเดี่ยวขึ้นไปบนแท่นที่ตั้งไมโครโฟนสรรพเสียงสงบเงียบ ลมภูเขาพัดฮือมาเป็นระยะๆ

ท่านนายพันโทใช้ไม้ตายข่มป่าสยบเสือ สิงห์ กระทิง อินทรี ฟังได้ว่าที่นี่เรียกศูนย์ฝึกกำลังทดแทน เป็นศูนย์ฝึกกองกำลังจากทุกเหล่า มีทหารทุกหน่วยเหล่านับหมื่นคน ทุกท่านตั้งแต่ไอ้เณรยันท่านนายพลล้วนรักษากติกาทหารเคร่งครัด ทุกท่านที่เข้ามาใหม่จึงควรสลัดสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเสีย ใครที่เคยเป็นนักเลงสุรานารี นักเลงคุมคิว คุมตลาด คุมบอนหรือโรงแรม ตลอดไปถึงเสือสางดังโด่งมาจากไหนก็ตาม ขอให้นึกว่าได้ถอดวางเขี้ยวเล็บความเป็นคนเก่งทิ้งไว้ที่หน้าค่ายแล้วอย่าได้นำติดตัวเข้ามาเด็ดขาดจนกว่าจะปลดประจำการ

ต่อมามีการคัดกลุ่มส่งตัวแยกไปตามกองร้อยฝึกจนเวลาล่วงเข้า ๓ ทุ่ม เสียงแตรนอนคล้ายกังวานมาจากยอดเขาในความมืด ผมถูกคัดตัวไปประจำกองร้อยที่ ๔ กรมฝึกเบื้องต้นที่ ๑ มีผู้บังคับกองชื่อ ร.อ. อิทธิพล และจ่าสิบเอกชั้วเป็นจ่ากองร้อย นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้พบกับชีวิตทหารที่ต่างรสชาติไปกว่าชีวิตที่ผ่านๆมาอีกมากมาย แต่ก็มิได้ถูกกำหนดตารางการฝึกจนครบคอร์ส เพราะผ่านการเรียน รด. (นศ. รักษาดินแดน) มา ๒ ปีเต็ม จึงไปหนักเอาตอนส่งเข้ากรมราบฯ ฝึกการใช้อาวุธจริงนี่แหละที่ล่อกันยันฟ้ามืดค่อยกลับถึงกองร้อย

จวบกระทั่ง หลวงพ่อมี จม. มาถึงพร้อม จม. ของ แดง ไบเลย์ แนบมาด้วยก็ทราบว่าเพื่อนจะอุปสมบทในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่จะถึงนี้ จึงทำหนังสือขอลากิจกับผู้กองว่าไปงานศพป้าตั้งแต่วันศุกร์ซึ่งท่านก็อนุญาต เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรมราบฯ ผมไม่เคยลาไปเยี่ยมถิ่นให้ตำรวจท่านเขม่นเลย

*(ถึงตรงนี้-ผู้เขียนต้องขอออฟไซด์ แจงความหนักอกสักเล็กน้อย เพื่อทำความเข้าใจกับแฟนๆ เกี่ยวกับ เส้นทางมาเฟีย ว่าสารนิยายนี้มิได้บรรเลงเพื่อเผยอดีตตนเป็นเป้า แต่เป็นตัวตนเดินดลเข้าไปพบปะดาวดังหรือเพื่อนพ้องผ่านมาพบเป็นเป้า ครั้งถึงบททหารที่ไม่มี ดารา ชูโรงตามข้อเท็จจริง ว่าจะไม่กล่าวถึงกลับไม่สามารถผ่านอักษรไปได้ เพราะการสมัครทหารเป็น สัจจะ ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อท่าน ขอทว่าผู้เขียนกลับเจอไฟอธรรมลนก้นจนต้องหักด่านสารวัตรทหารหนีออกจากค่ายกลางดึกดั่งอกตัญญูต่อพระคุณหลวงพ่อ ดังนั้น จึงจำต้องกล่าวถึงข้อหารุนแรงกว่าประหารชีวิตในฐานะบุตร หลังงานอุปสมบทดาวดัง แดงไบเล่ย์ ครับผม)

วันศุกร์แล้ว ราวเที่ยงเศษแสงแดดที่แผดจ้ามาครึ่งวันแลอึมครึม กระแสลมพัดแรงทำท่าจะถล่มเมฆสั่งฝนอาบดิน ฝุ่นลูกรังถนนหน้าคิวรถปากน้ำปราณฯ ปลิวคลุ้งจนต้องหลับตาปิดปากอุดจมูกกันเป็นแถว ส่วนตัวผมแต่งกายชุดพลเรือนมีถุงเป้ติดไหล่อยู่ใบหนึ่ง แม้อยู่ในร้านกาแฟก็ไม่วายถูกฝุ่นที่ลมหอบมาให้จนปฏิทินติดผนังหล่นเกือบถูกหัว พักเดียวสายฝนพร่างพรายดับความร้อนธรรมชาติ บอกฤกษ์เดินทางเย็นฉ่ำ จึงจ่ายค่าเครื่องดื่มลุกออกไปขึ้นรถซึ่งติดเครื่องกระหึ่มเรียกผู้โดยสารแล้ว พักเดียว บ.ข.ส. สายกรุงเทพฯ-ปราณบุรี พาหนะของผมก็เคลื่อนฝ่าสายฝนออกจากคิวรถสู่เส้นทางเพชรเกษมล่องเข้าเมืองหลวงแต่บัดนั้น

บ่ายจัดฝนหยุดเม็ดตั้งแต่รถเข้าเขตนครปฐม ผมลงรถที่สามแยกไฟฉายใช้บริการแท็กซี่มุ่งไปวัดเป็นจุดแรก แต่ยังไม่ทันย่างตีนเข้าธรณีสงฆ์ ผองเพื่อนย่านวิสุทธิกษัตริย์ บ้านพานถมให้ข่าวเอา #งง และพลอยให้ต้องไปตามเรื่องในโรงบิลเลียดศูนย์รวมดาราระดับตำบลข้างวัด ได้รับคำยืนยันว่าอาจเกิดสงกรานต์เลือดภายในงานอุปสมบท แดงไบเล่ย์ จากคู่รักคู่แค้นเก่า ปุระเบิดขวด และ ดำเอสโซ ด้วยสาเหตุต่างๆ อันล้วนเป็นหนี้เก่าที่ไม่น่าเกิดขึ้นระหว่างนี้ก็ร้อนทรวงจึงรุดเข้าวัดกราบเท้าพระคุณเจ้าหลวงพ่ออย่างองอาจเอาเมื่อตะวันรอน จากนั้นผมใช้เวลาเล่าขานชีวิตทหารภายในกรมกองให้ท่านรับทราบ พบรอยยิ้มสดชื่นและแววอาทรจากดวงตาท่านจางไป ทั้งยังพูดคุยถึงแดงซึ่งมากราบขอลาบวชกับท่านอย่างยกย่อง ที่เพื่อนหันหน้าเข้าหาธรรมโดยมิรู้ว่า ผู้ที่เตรียมทอดกายใจเข้าเป็นสาวกองค์ศาสดากำลังถูกมารผจญ

ตกย่ำสนธยา ผมจัดการต้มน้ำร้อนชงชาตั้งท่ากราบลา หลวงพ่อคงเห็นรอย พระคุณเจ้าเลยเย้าด้วยภาษาชาวยุทธ์ที่ผมติดปากเหน็บเอากับรุ่นน้อง

“เอ็งจะออไป ‘ส่าย’ อีกละสิ”

ผมกะล่อนกะหลิบกราบเรียน “ผมจะไปบ้านงานครับ”

“ตามใจ แต่อย่าห่ามล่ะ”

“ครับผม” รับคำแต่ไม่ขยับลุก

พระคุณเจ้าไหวร่าง มองหน้าอย่างแปลกใจที่คราวนี้ผมมาในมาดขรึมสงบเสงี่ยม ไม่รีบปรู๊ดปร๊าดลุกไปเหมือนกิจวัตรที่เคยปฏิบัติ

“ทำไมไม่ไปละ” ท่านข้องใจ

“ผมอยากเอาปืนไปคืน ‘เจ้าของ’ เขาครับ”

พระคุณเจ้าองค์กระตุกยึกหนังคิ้วย่น “เอ็งจะไปงานบวชหรือไปปล้นเขา”

“ปืนของเพื่อน ผมต้องไปคืนเขาครับ” ผมยืนยันประโยคเดิม

“เออ…” ท่านส่ายหน้า พร้อมขยับลุกขึ้นเดินไปหยิบถุงเป้ภายในห้องส่งให้ “รับเอาไปคืนเจ้ากรรมนายเวรของเอ็งซะ”

“ครับผม”

ค่ำแล้ว ผมอาศัยมอเตอร์ไซค์พรรคพวกร่อนไปส่งยังบ้านพักหลังเรือนจำกลางคลองเปรม (ลหุโทษ) ของแดง ขณะวัยรุ่นนับสิบกำลังช่วยกันเคลียร์ลานบ้านเป็นโกลาหล บ้านเรือนตลอดจนพื้นที่ของเพื่อนบ้านถูกเจ้าบ้านอนุโลมให้ใช้เป็นที่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ได้เต็มที่ อาณาบริเวณงานจึงกว้างขวางพอบรรจุแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ นาย ผมใช้เวลาเดินทักทายหมู่คณะที่แยกย้ายกันทำงานจนทั่วไม่พบเพื่อนก็ปราดไปที่บ้านถือวิสาสะว่าเคยซุกหัวนอนกินมาหลายเพลา พบแดง, แหลมสิงห์, หมึก พระเจนฯ, ตาล สุทธิสารฯ, พร้อมน้าโฉม มารดาของเขานั่งหน้าตึงภายในห้องรับแขก ซึ่งเปิดไฟสว่างจ้า เลยพลอยร้อน ขณะคารวะท่าน

“นั่งสิเปี๊ยก” แดงบอก และเสริม “เรากำลังเจอปัญหาอยู่พอดี ขอแม่เลื่อนไปบวชปีหน้าก็ไม่ได้”

“แดง แม่ขอลูกเรื่องนี้เท่านั้นนะ” น้ำเสียงนางแลเศร้า ดวงตาคลอกยาดน้ำใส “เราเป็นพระเป็นเจ้าแล้วเขาจะกล้ามารังควานหรือ แดงไม่บวชนั่นแหละที่จะทำให้มีเรื่อง บวชเถอะนะ…รู้ก็รู้อยู่ว่าดวงลูกไม่ดี ครั้งนี้ท่านว่ามันถึงกับเลือดตกยางออกกับติดคุกติดตะรางเทียวนะ”

น้ำคำนางพาเอาความชื่นมื่นที่พบพลพรรคมาร่วมงานกันแข็งขันก่อนขึ้นบ้านสลายสิ้น บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบ แหลมสิงห์, ตาล และหมึก คล้ายอึดอัด เสียงอึกทึกหยอกเย้าจากวัยรุ่นเบื้องนอกดังเข้ามาไม่ขาดระยะ แดงลุงไปเปิดตู้เย็นยกน้ำดื่มมาให้ ผมรับไว้ยิ้มให้กำลังใจเพื่อนที่ “งาน” นี้หมดสิทธิให้คำปรึกษา

“การ์ดเป็นร้อยๆ ใบเราก็แจกเขาไปหมดแล้วนะลูก” นางกล่าวเสียงซึมเสริม “เอาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าแดงไม่แน่ใจ แม่จะไป #ขอร้อง พวกนั้นด้วยตัวเองเอาไหม”

“อย่านะครับ” แดงหลุดปากเสียงดังหน้าตาถมึงทึง

“ทำไมล่ะ…” น้าโฉมทำหน้าเหลอไม่เข้าใจกับสิ่งที่นางเลือกแล้วว่าเหมาะ “มันจะได้หมดเรื่องหมดราวกันเสียทีนะ”

“เรื่องอะไรผมจะยอมให้แม่ไปหามัน”

“แม่จะไป ดูซิว่าใครมันจะมาฆ่า” เสียงชักดังขึ้น

แดงเตร่ไปยืนเกาะขอบหน้าต่าง น้าโฉมเบนสายตามาทางพวกเรา ยิ้มเศร้าซึมขณะลุกขึ้นมองหลังลูกชายวิบหนึ่ง กล่าวหนักแน่น

“แหลม เดี๋ยวลูกไปบ้านดำกับปุ๊กะแม่นะ ไปมันคืนนี้แหละพรุ่งนี้ก็วันสุกดิบแล้ว”

“แม่!” แดงร้องลั่น

“อย่ามาห้ามเลย” นางโต้ ท่าทีเด็ดเดี่ยว

“เอาครับ ตกลง บวชก็บวช” เพื่อนตัดใจ

และเพียงแระโยคเดียวจากปากเขา บรรยากาศในห้องเปลี่ยนราวพลิกฝ่ามือ มารดาขยับเดินไปวางมือบนไหล่ ปากป้อนคำโลมนุ่มหู

“เพียงเท่านี้แม่ก็ตายตาหลับแล้วลูก”

เมื่อขจัดปัญหาส่วนตัวเรียบร้อย น้าโฉมปราดลงจากเรือนไปเดินเรื่องต่อส่วนเรา ๔ คน นั่งวางแผนจัดกำลังคนเตรียมรับศึกในวันเสาร์-อาทิตย์ อย่างไม่ประมาทศัตรูผู้เคยประลองคมกันมาหลายสนาม สำหรับสิ่งบันเทิงที่มีประดับงานจากปากคำของเพื่อนบอกว่าจะมีนักร้องนักดนตรีตามบาร์และไนต์คลับหลายวงอาสามาช่วยเต็มเหนี่ยว ทั้งเผลอๆ หาก โดด ได้วง ยุวศิลป์ ของอรรณพ อนัฆมนตรีผู้โด่งฟ้าวัยรุ่นไม่ต่าง วาทินี ก็จะมาสำแดงเดชเติมรสให้อีก ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแรงศรัทธาผองเพื่อน

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: