3757.เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 16 เหล็กสีเหล็ก (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 16 เหล็กสีเหล็ก (เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เหตุจากที่ สุมาอี้ ดำ เอสโช่ และ ปุ๊ ระเบิดขวด ไม่ไปร่วมในวันเปิดบริการค็อกเทลเลานจ์และบ่อน ซึ่งผู้ใหญ่เต๊กเป็นหุ้นและนายทุนใหญ่วันก่อนซึ่งผมได้ตั้งใจไว้ว่าจะขอเคลียร์เรื่องนี้ให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันดุจเดิมก็ชักท้อที่เก๋าตี๋ทำเฉยเคืองเรื่องดังกล่าว

ล่วงมาถึงบ่ายวันนี้อันเป็นวันที่ ๓ นับแต่บ่อนเปิด เก๊าตี๋กับเด็กของเขาดิ่งจากบ้านพักมาขอใช้รถเพราะท่านรองฯ คมจะเป็นสะพานแนะนำให้รู้จักกับหลงจู๊เกียงและเสี่ยกังที่โอตานี่ โฮเต็ล จึงถือโอกาสถามขณะเดิรคู่กันไปที่รถ

“นายมีความเห็นอย่างไรถ้าเราจะเป็นคนไกล่เกลี่ยให้นายกับฝ่ายปุ๊จับมือกัน”

“ตอนนี้ เราโกรธพวกมันที่ไหน” เพื่อนทำไขสือ

ผมอ้างอิง “แต่ก่อนนายเคยไปนั่งที่คิวรถ ๒-๓ วันนี้นายไม่ไปเลย”

“อาจเป็นเพราะเบื่อคนพลุกพล่าน”

“แล้วจะไม่ไปตลอดไปใช่ไหม” ผมป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตู

เก๊าตี๋กล่าวระคมยิ้ม “เราไม่อยากริเป็นนักเลงคุมคิวว่ะ”

ครับ-ดังกล่าวเป็นคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องถามอีกแล้ว

ราง ๔ โมงเย็น ระหว่างทำกิจให้ลูกน้ำแก่ปลากัดภายในโหลอยู่ ๒ ดาราดังย่านแม้นศรีโผล่มาบ้านฉางทักทายลั่น ในมือเพื่อนถือขวดใส่ปลากัดมาด้วยจึงนึกไปถึงคำบอกขอลพลวันวาน

“เปี้ยก พรุ่งเราเอาปลาของเราไปชิงแชมป์กับของนาย”

อา…สนุกละชี เพราะยามว่างหรือเหงาผมมักเพลิดเพลินอยู่กับปลามาตลอด วันไหนมีอารมณ์แรงเบื่อมองทรวดทรงสีสันคลายเหงาผมก็เอาเวลาว่านช้อนตักมันขึ้นมาประลองฝีปาก เชิงชั้นแห่งความเป็น “ลูกหม้อ” เพื่อ “คัด” หรือจัดอันดับพร้อมตั้งชื่อไว้ แล้วยามแดดร่มลมตกเยี่ยงนี้ ๒ เพื่อนพาแชมป์ของตนมาสู้ถึงสนาม

ผมถามทันทีว่าจะประกบตัวไหนเพราะมีดาราที่พร้อมโชว์อยู่ ๓ ยี่ห้อ ๑.ฉลามขาว ๒.ปิรันย่า ๓.ทับทิมสยาม ทางด้านนักสู้จรสีเขียวปนสีครามของเริงยี่ห้อ “ไอ้หนึ่ง” และเมื่อนำขวดใส่ปลามาเทียบพิกัด ผู้จัดการคนดังตรอกทวายขอเอาไอ้หนึ่งประกบฉลามขาว สำหรับไอ้เก่ง เมื่อแรกเริงคิดประกบกับปิรันย่า ทว่าคงเห็นชื่อดุเดือดจึงส่งเทียบฟอร์มกับทับทิมสยาม ซึ่งหากทัศนาผิวเผิน อีกทั้งไม่ใช่คนเจนปลา อาจคิดว่าเป็นปลากัดจีนสีแดงเพลิง อันหุ่นนั้นสะคราญตายิ่ง แต่ไร้น้ำอดน้ำทนและยุทธวิธีการต่อสู้

เมื่อประกบตัวกันเรียบร้อย ต่างเทนักสู้ของตนออกจากขวดใส่กาละมังก่อนช้อนใส่โหลใสแจ๋ว ๒ ใบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ พอนักสู้จรทิ้งตัวลงสู่สังเวียนแห่งละตัว ทั้งไอ้หนึ่ง-ไอ้เก่ง ต่างแหวกว่ายโชว์โฉมไปรอบๆ โหลครู่หนึ่ง ผมก็ส่งฉลามขาวกับทับทิมสยามลงประกบไอ้หนึ่งและไอ้เก่งทันที

บัดดล…ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่กลางเลนส์แก้วตาผม กลับหาใช่การประจัญบานใต้ผิวน้ำของสัตว์ ๔ ตัว แต่เป็นภาพยุทธการมืดสนิททางปัญญาของผมกับพวกแต่ละยุทธภูมิ เช่น ที่สนามกีฬา กทม. โรงกษาปณ์ วังบูรพา กรุงเกษม สิบสางห้าง โคลีเสียม สวนลุมพินี งานศิลปหัตถกรรม (จัดที่ ร.ร. สวนกุหลาบฯเพาะช่าง) และสนามกีใาแห่งชาตินั่นเอง

ขณะใจกับเลือดลมพลุ่งพล่านเต้นเร่ากับเกมส์การต่อสู้ที่ไม่ใช่ปลา เสียงเรียกชื่อพวกเราจากดาวดังไบเล่ย์หยุดภวังค์ความคิดกะทันหัน และเมื่อเรา ๓ คนละสายตามองก็ถึงกับอุทานราวนัดกันไว้

“แหลมสิงห์”

ใช่แล้ว…เขาละ แหลมสิงห์ เจ้าของร่างสูงเพรียวผิวสีมะขาม ตัดผมรองทรงอดีตวัยลำพอง “คู่ชี้” แดง ไบเล่ย์ ซึ่งบัดนี้แดงคงไปตามตัวมาจากกรุงเทพฯ เป็นแน่แท้ หลังทักทายกันด้วยอาการปีติพอสมควร แดงได้ชวนเชิญทุกคนขึ้นไปนั่งยังห้องโถงชั้นบนโดยไม่มีผู้ใดขัดข้อง

จาการพูดคุยกันกับผู้ที่เพิ่งสดไปจากเมืองหลวง ผมได้รับรู้เรื่องราวชาวยุทธ์แต่ละอาชีพกำลังเข้าตาจน โดยเฉพาะธุรกิจเถื่อน ถูกปรามอย่างต่อเนื่องจนมีผลให้ วี โบสถ์พราหมณ์ กนก แจ่มใส่, หรั่ง ตรอกหม้อ (จมูกแดง), ล้อ วงเวียน, เต็ง โก้, พา วัดใต้, มาน เจริญผล, โอ เหล่, ตุ๊ ตลาดสมเด็จ, และชาติ เป๋ ล่องเข้า “ลาดยาว” เป็นแถว

คำบอกจากปากแหลมสิงห์ยังเสริมอีกว่า ก่อนสิ้นปีนี้ ตั้งแต่เดือนกันยาฯ ถึงตุลาฯ จะมีการกวาดล้างผู้ที่ประพฤติตนเข้าข่ายบุคคลอันธพาลทั่วประเทศครั้งใหญ่ เขาจึงจำเป็นต้องเผ่นมารวมพลที่นี่อีกทั้งยังมีชาวยุทธ์อีกจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าพวกเราปักหลักที่นี่ กำลังจะตามมาอีก ก็ชักไม่ร่าเริงเสียแล้ว เพราะลำพัง แดง ไบเล่ย์, สุมาอี้, ดำ เอสโซ่, เริง สวนมะลิ, พล ตรอกทวาย, ปุ๊ ระเบิดขวด อีกทั้ง แหลมสิงห์ นักบู๊รายล่า และผมร่วม ๘ ชีวิตแค่นี้ สังคมชาวประชาฐานบินนรกก็วุ่นอยู่แล้วหากพวกยกทีมมากันจริงๆ ตามที่แหลมบอก แดนหลวงพ่ออี๋ กับเมืองกวีเอกมิวุ่นกว่ายุคที่ “เซิ้ง” อยู่หลังวังบูรพาหรือ นึกแล้วอายผีบรรพชน

การสนทนาและดื่มเบาๆ คลายเครียดการมาของแหลมเรื่อยไปจนทุ่มเศษๆ ผมก็สะดุ้งโหยง เผลออุทาน

“เฮ้ย…ปลา”

และอย่างรีบด่วน ผมลุกพรวดลงจากชั้นบนไปหลังบ้านที่ตั้งบ่อนปลากัดจัดการเปิดไฟ พร้อมทรุดลงนั่งข้างหน้าโต๊ะที่ตั้งขวดโหล ๒ ใบ ส่วนดวงตาจี้ดิ่งทะลุโหลเข้าไปมอง ๔ นักสู้

โอ…ไอ้หนึ่ง ไอ้เก่ง ฉลามขาวและทับทิมสยาม ต่างลอยหงายท้องสิ้นชีพแล้ว ตั้งแต่หัวจรดหางเหว่อแหว่ง แผลเปื้อนไปทั้งตัว ครีบ-แพนหางของแต่ละตัวลอยเกลื่อนน้ำ ส่วน ๕ สหายที่ตามลงมาชมปิดปากสนิท

“ไอ้ห่า ตายหมดเลย” พลพึมพำ

กระนั้นวาจาเพื่อน มีคำถามในใจจากผม “พวกเราเหมือนปลาในโหลไหม”

ทว่ากลับคล้ายมีคำตอบที่คล้ายเสียงโอดครวญจากภูตบาปที่มีต่อพระโพธิสัตว์ว่า ทุกวันนี้พวกตนต้องถูกผี้งยักษ์กลุ้มรุมกัดต่อย เจ็บปวดสุดทน อันกรรมชั่วที่ก่อขึ้นขณะยังมีชีวิตดุจตีมีดปักเต็มร่างตนก็ยังไม่รู้สึกตัว บัดนี้ถูกเหล้กในของผึ้งนรกกานต์ทิ่มแทงเพียงเล่มเดียว กลับปวดร้าวถึวขั้วหัวใจ กระนั้นความผิดแต่หนหลังมาคิดได้เมื่อสายแล้ว จึงขอเตือนเพื่อนร่วมทางทั้งหลายให้คงในกติกา อย่าได้ละเมิดศีลจนได้รับทุกขเวทนดั่งเรานี้เลย

ที่สุด ทีมงานของเราได้เพิ่มแหลมสิงห์เข้าไปมีบทบาทอยู่กับบ่อนในฐานะหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยโดยความยินยอมจากผู้ใหญ่เต๊กและเก๋าตี๋ สำหรับผมซึ่งไม่ได้รับมอบหมายงานให้รับผิดชอบโดยตรงเช่นเพื่อนๆ ตำแหน่งเพียงที่ปรึกษาจึงมีเวลามากกว่าใครก็ร่อนไปเยี่ยมเยียน ดำ ปุ๊ และอี้เพื่อประสานรอยร้าวในกลุ่มเพื่อนถึง ๓ ครั้งในสัปดาห์เดียว พบแต่อี้ซึ้งเสมือนต้นเหตุเรื่องร้าวฉานซึ่งเขาก็บอกไม่ผิดกับกุมารจีนผู้น้อง

“เราไม่มีปัญหากับใครหรอก ลืมแล้วด้วยเรื่องในวันนั้น”

จวบถึงวันนี้ อันตรงกับวันอาทิตย์ราว ๔ ทุ่มเศษขณะนั่งชมดาวอยู่ข้างๆ สวนหย่อมด้านหน้าอาคาร อันด้านขวามือเป็นที่ตั้งศาลพระภูมิประดับไฟดวงเล็กๆ ไว้พราว สักครู่มังกรเมืองใต้ ผู้ใหญ่เต๊กซึ่งขับรถเข้าไปเมื่อครู่ให้เด็กมาตามขึ้นไปคุยบนชั้น ๔ อันเป็นดาดฟ้าจึงขึ้นไปหา และพอปะหน้าผู้อาวุโสเมืองใต้นั่งอยู่หน้าโต๊ะเหล้าเล็กๆ พร้อมเก้าอี้ ๒ ตัว เดียวดาย ผมทักทายก่อน

“สวัสดีครับ”

“หวัดดี เปี้ยก นั่งสิ…บนนี้เย็นดี ลมแรง กินเหล้าเพลิน”

“ครับ” ผมรับทราบ และทรุดลงนั่ง

ผู้ใหญ่เต๊กยิ้มกริ่ม พลางรินเฮนเนสซี่ลงแก้วประมาณ ๑ เป๊ก ผมกล่าวสนองคุณแกแล้วจัดการรับมาปรุงด้วยด้วยตนเอง พอเสร็จกิจ นายทุนยื่นแก้วท้าชนเลยชนด้วยจิบบางเบา ลมทะเลยาวใกล้ครึ่งคืนโกรกกรูไม่ขาดระยะ ผมจุดบุหรี่สูบนักบู๊แดนใต้กล่าวเสียงต่ำ

“ผมเรียกพวกน้องๆ มาพูดซี้แจงถึงเรื่องบ่อนกับบาร์แล้วว่ากำลังดีวันดีคืนและจะปันกำไรแก่พวกน้องๆ ไว้ใช้สอยในวันศุกร์หน้า ตอนนี้ทุกคนคงเหน็ดเหนื่อยบ้าง พอคนติดแล้ว เราก็เสือนนอนกินดีๆ นี่เอง อดทนหน่อยนะ”

“แหลมสิงห์น่ะรู้สึกว่าจะเป็นคนขรึม” แกเปลี่ยนเรื่องไปหาบุคคล

“เหมือนพลกับเริงแหละครับ” ผมแฉ

“พวกน้องๆ นี่แจ๋วทุกคน รองฯ คมยังชมว่าหาคนหนุ่มๆ ทำงานจริงจังเด็ดขาดอย่างพวกน้องยากมาก อายุขนาดนี้ส่วนใหญ่เอาแต่เที่ยว ปุ๊กับดำก็เหมือนกัน ทุกวันนี้พวกตัวดังๆ หน้าสนามบินขยาดกันหลายคนทีเดียว”

สิ้นคำมังกรยกย่องสรรพคุณเพื่อนพ้อง ต้อย ดาลิ่ง โผล่ขึ้นมา ทีท่าร้อนรนจึงถาม

“มีอะไรหรือครับ”

วัยคะนองขยับเข้ามาใกล้เหลือบตามองนายทุนบอกแทบไม่ได้ยิน

“พี่ปุ๊กับพี่ดำขึ้นมาเล่นกำถั่วครับ”

“อ้าว…” ผู้อาวุโสอุทาน คิ้วย่น

“แล้วเกิดอะไรขึ้น” ผมชักต่อ

“เฮียเก๊าให้เด็กเชิญไปคุยที่ห้องทำงาน แต่เขาไม่ไปครับ”

“แทงถั่วอยู่ใช่หม”

“เปล่าครับ…พี่ปุ๊กับพี่ดำ ยัก ลูกเดียว ติดรอบวง”

ผมอ่อนใจชักถามเอาความแล้ว คำบอกวัยคะนองบ่งชัดว่าเก๊าตี๋ แหลมสิงห์และแดงคงไม่อาจตัดสินใจอะไรได้จึงให้เด็กบอกผู้อาวุโสลงไปดูเหตุการณ์โดยด่วน ก็พบว่าที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์มีนักเล่นยืนอออยู่กลุ่มใหญ่ และเมื่อเห็นสภาพบ่อนหยุดการเคลื่อนไหว นายทุนใหญ่ก้าวนำลิ่วเข้ากลางกลุ่ม ทักถามไม่เจาะจงเสียงดัง

“อะไรกันพรรคพวก”

เก๊าตี๋หน้าแดงก่ำ บอกเสียงเข้ม “ปุ๊เอาปืนมาแลกชิป”

ผมฉวัดตามองปืนสั้นขนาด .๓๘ สีดำมะเมื่อมบนโต๊ะแคชเชียร์ ผู้ใหญ่เต๊กคิ้วย่น เบนสายตาไปทางนักเลง ๔-๕ คนที่เป็นเจ้าหนี้วับเดียว แกสั่งแคชเชียร์สาวห้วนๆ

“จ่ายชิปไป แล้วลงบัญชีผมไว้”

“ค่ะ” เสมียนสาวรับคำ มือสั่นระริกขณะส่งปืนคืนให้ดาวระเบิด

“บ้าชะมัด!” กุมารจีนม้าเก็งเอ๋าฉุนขาด

ฉับพลัน…ปืนในมือดาวระเบิดที่เพิ่งรับคืนจากแคชเชียร์ถูกกระดกปลายกระบอกแวบขึ้นจ้องกลางหน้าผากเก๊าตี๋เขม็ง นกปืนเจอง้างดังกริ๊ก

วิบตา ตีนซ้ายของแหลมสิงห์เตะเปรี้ยงเข้าบริเวณข้อมือปุ๊จนปืนหลุดร่วงหล่นพื้นพร้อมระเบิดสนั่นหู นักพนันฮือกันถอยไปติดผนัง ดำ เอสโซ่ กระชากปืนออกจากซอกเอวซ้าย แดงโจนเข้าประชิดจ่อปากกระบอกปืนเข้าขมับ สำทับกร้าว

“ดำ…เราจำเป็นนะ”

เสือเอสโซ่ยืนนิ่งขึง นัยนืตาวาวทื้งปืนร่วงลงพื้นอย่างจำใจจำนน มังกรเมืองใต้เห็นรูปการพอแก้ไข แกชะโงกหน้าบอกกับ ๒ เพื่อนแผ่วเบา

“ปุ๊กับดำกลับกับผมเถอะ”

ดาวระเบิดกราดตามองทั่วห้องกาสิโนครู่เดียวก็หันไปเผชิญหน้าแดง แหลมสิงห์ และเก๊าตี๋ฝากคำระคนยิ้ม

“ลาก่อนเพื่อน แผลนี้เราไม่ลืมหรอก”

“ปุ๊…นายทำผิดนะ” แหลมโต้

ดำไม่ไยดี ย่ำตีนหนักๆ เดินนำเพื่อนและนายทุนออกจากห้องทันควัน ลับร่าง ๒ ดางดัง เกมพนันคืนสู่สภาพปกติดังเดิม แดงเก็บปืน ๒ กระบอกให้แคชเชียรืเก็บรักษา เก๊าตี๋กับแหลมสิงห์เข้าปลอบขวัญนักพนันด้วยคำชี้แจงทุกเหตุเป็นข้ออ้าง สำหรับผมลงไปซุกตัวเองนั่งซัดเบียร์ให้แอร์และกลิ่นโคโลญจน์อบเนื้อกายภายในค็อกเทลเลานจ์ท่ามกลางคำถามของ ๒ ดาราย่านแม้งศรี ซักจนกระจ่างใจกับเรื่องที่เกิดในบ่อน

“คงมองหน้ากันยากแล้วว่ะ งานนี้” พลกล่าวลอยๆ

“สุดแต่ดวงดีกว่า ใช่ไหมเปี้ยก” เริงทำท่าบรรลุ

ผมผงกหัวรับ เพราะไม่มีฤทธานุภาพลิขิตชีวิตใครรวมถึงตนเอง

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: