3753. ว่านพญาพิชัยดาบหัก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ว่านพญาพิชัยดาบหัก

ประวัติเดิมของว่านพระยาพิชัยดาบหัก ว่านทุกชนิดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยเกิดมาเพื่ออนุกูลช่วยเหลือแห่งนักรบไทยไปสู่จุดมุ่งหมายแห่งความมีชัย เป็นเครื่องป้องกันนำหลักชัยมาสู่ประเทศมาตุภูมิแผ่นดินแหลมทองตั้งแต่ครั้งโบราณกาลทั้งนี้เพราะตามบรรดาหลวงปู่ หลวงพ่อและเกจิอาจารย์ต่างๆสำนัก นำพวกพญาว่านต่างๆนำมาทำพิธีปลุกเสก นำมาสร้างเป็นพระเครื่องรางชนิดผงมีชื่อต่างๆกันมาตลอดจนกระทั่งพระกริ่งก็มีว่านที่ผสมแล้วอย่างดี เหล่าปรมาจารย์ผสมเอาไว้ข้างในมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารเป็นเครื่องรางของขลังที่เชิดหน้าชูตาเป็นเพชรแท้นำเข้าพิธีปลุกเสก

ว่านทุกชนิดใช่ว่าจะพึ่งเกิดเเต่เกิดมานานแล้วชาวบ้านและข้าราชการทั้งหลายตลอดจนทหารพลตำรวจได้เสาะแสวงหากำแพงแก้วกำแพงเพชรป้องกันตัว ทั้งแม่ทัพนายกองมีประจำตัวทุกคน

ก่อนจะเข้าศึกสงคราม ทหารเอก โท ตรี ทั้งหลายบ้างก็กินว่าน บ้างก็อาบว่าน บ้างก็มีเครื่องรางของขลัง เข้าสู่สงครามเป็นนับเป็นสิบๆปีจนเกียรติยศกระเดื่องดังไปทั่วทุกประเทศ อาทิเช่น เขมรพม่า มอญ ครั้นครามเข็ดขยาดอภินิหารของทหารไทยประเทศเพื่อนบ้านนอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศอื่น
ที่มีพันธะผูกพันดัง เช่นเขมรเป็นต้น ซื่อตรงต่อหน้าและลับหลังก็คิดกบฏทรยศต่อชาติไทย

สมัยโน้นแม้แต่คนไทยชาติเดียวกันก็ยังไม่ซื่อคิดทรยศ ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านตามประวัติศาสตร์ปรากฏอย่างมีหลักฐานมาแล้วหลายขุนหลายพระยาที่คิดทรยศต่อประเทศชาติตายไปแล้ววิญญาณอันเลวร้ายไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ตรงห้วงดิ่งลงสู่ก้นอเวจีแต่ก็ยังมีคนไทยที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อประเทศชาติซึ่งเป็นมาตุภูมิเป็นที่อยู่ของคนไทยอำมาตย์ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ก็ช่วยกันประกอบกู้ชาติประเทศชาติ ปราบอริราชคนทรยศย่อยยับเป็นผุยผง ทหารไทยเลือดสีแดงเข้มข้น

ทหารไทยมีมากพอดู แต่เข้าสงครามแต่ละครั้งก็สิ้นเปลืองชีวิตจนเหลือน้อยเข้าน้อยเข้าก็อาศัยเครื่องรางของขลังเข้าโรมรันต่อสู้กับศัตรูทำให้กำลังใจมั่นคงโดยอาศัยคุณพระศรีรัตนตรัยและเครื่องรางของขลังที่ติดกายอยู่คุ้มครองป้องกันอันตรายจากศัตรูทั้งอาวุธมีดและอาวุธปืนแม้ว่ากำลังคนจะน้อยแต่ก็ไล่ฆ่าศัตรูฝ่ายเดียว ศัตรูจะฆ่าแทงฟันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตรายย่อมเป็นหลักธรรมดาไทยจะต้องชนะในที่สุด

พูดถึงว่านพระยาพิชัยดาบหักเป็นว่านที่มีอำนาจแปรจิตใจกินเข้าไปแล้วออกฤทธิ์ซาบซ่าจะทำให้ผู้กินมีน้ำใจฮึกเหิม อยากจะเข้าบุกตะลุยทำลายล้างศัตรูให้เป็นผุยผงไปแต่จิตใจให้อารมณ์ร้อนจนถึงกับลืมตัวว่าตัวเองเป็นทหารเอก มีสติปัญญาคิดกลอุบายอันสึกซึ้งๆ แม้ว่ารู้ว่าทางฝ่ายศัตรูมีมากกว่าไม่ทำให้ขยาดหวาดกลัวเพราะเชื่อกำลังใจเชื่อในฝีมือทหารข้าศึกเป็นพันๆหมื่นหลับตาคาดคะเนด้วยฝีมือแล้วจะต้องฆ่าให้หมดความประมาทเป็นหนนำมาแห่งความตาย ”กล้านัก มักบิ่น”เป็นคติอันหนึ่งที่เหล่าทหารเอกจะต้องจารึกและจดจำไว้ด้วยกำลังพลรบเท่ากันไม่มีชาติไหนที่จะสู้ประเทศไทยได้เพราะอาศัยสิ่งต่างๆที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว

เมื่อราว พ.ศ. 2400 ข้าพเจ้าได้หลบหนีคดีอาญาเป็นฆาตกรที่ตำรวจติดตามจับตัวเพื่อนำมาลงโทษตามกฎหมายข้าพเจ้าได้หลบหนีอยู่ในที่ปลอดภัยข้าพเจ้าได้ถือโอกาสไปทางตากถึงสุโขทัย เมืองตรอน เมืองอุตรดิตถ์ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปเที่ยวอุตรดิตถ์ไปดูความแปลกความพิสดารความมหัศจรรย์ของเมืองลับแลจนได้รู้สิ่งที่ซ่อนเร้นในเมืองลับแล เมื่อข้าพเจ้าไปเที่ยวพักรอนแรมอยู่ตามวัดที่มีหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่มีความเชี่ยวชาญทางพระเวท ก็รู้แหล่งที่สำคัญว่า วัดหนองน้ำใส มีหลวงพ่อที่มีพระเวทย์อาถรรพ์ต่างๆ หลวงปู่บุญ อุตโม เป็นพระภิกษุชราชอบสร้างเครื่องรางของขลังข้าพเจ้าจึงได้จัดการนำอาหารคาวหวานมาถวายหลวงพ่อจนเป็นที่อิ่มหนำสำราญแล้วข้าพเจ้าก็คุยกับหลวงพ่อถึงเรื่องว่านเครื่องรางของขลัง

ท่านก็คุยให้ข้าพเจ้าฟังวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่ได้ขออะไรจากท่านหลังจากข้าพเจ้ามา 3-4 ครั้งข้าพเจ้าจึงได้เอ๋ยปากขอต้นว่านท่านก็หยิบว่านมาให้ข้าพเจ้า 1 ต้นและบอกว่าเป็นว่านที่มีประสิทธิภาพเคยพาทหารไทยเข้าบุกทำสงครามกับต่างชาติมีอภินิหารอยู่นงคงกระพันชาตรี มีฤทธิ์ทั้งอาบและกิน ช่วยเหลือแผ่นดินไทยให้อยู่เป็นเอกราชจนทุกวันนี้ว่านี้มี 2 ชื่อแรกชื่อว่าว่านพิชัยโลดทรนง มาตอนหลังได้ถูกเปลี่ยนจากชื่อเดิมเป็นชื่อว่านพระยาพิชัยดาบหัก

ในเมืองพิชัยชาวประชาหากินกันโดยสุจริตแต่ก็ได้รับการรบกวนจากพวกศัตรูต่างๆ มีพม่า เขมร มอญและลาวตอนนั้นต่างปกครองมีอำนาจกันคนละภาคมันมาข่มเหงรังแกไทยอยู่เสมอคนไทยก็ต่อสู้จนตัวตายคนเก่งคนจริงตายแล้วก็มีคนดีมาเกิดแทนถ้าเป็นเด็กผู้ชายอายุ 5ขวบ จนถึง 20 เวลาว่างงานก็ฝึกซ้อมวิชาเพลงอาวุธและฝึกหัดวิชามวย ปู่ฝึกให้หลาน พ่อฝึกให้ลูก บางคนก็ฝึกจากพระภิกษุสงฆ์ที่มีวิชาตามวัดเตรียมไว้ต่อสู้กับข้าศึกวิชามวยเป็นวิชาที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุด พระเวทต่างๆ มีธนูมือ ธนูเท้า พรหมสี่หน้า วิชาคงกระพันชาตรี มีหนุมานคลุกฝุ่น วิชาปัทมืด ต่างก็แสวงหาร่ำเรียนจนมีความรู้ความสามารถ

เมื่อก่อนวัดนี้เป็นวัดหลวงปู่มงคลเป็นผู้สร้างโดยอาศัยเงินชาวบ้านที่มีใจบุญช่วยเหลือกันสร้างหลวงปู่เองชอบปลูกต้นว่านต้นสมุนไพรเอาไว้แจกจ่ายชาวบ้านและสร้างพิธีสร้างของขลังเพื่อปกป้องคมมีด คมดาบ นายทองดีฟันขาวหรือนายจ้อย สมัยโน้นเป็นลูกศิษย์วัดอยู่กับหลวงปู่จนได้เข้ารับราชการทหารได้ต่อสู้กับพวกพม่าจนดาบหัก ชัยชนะศัตรูจึงขนานนามตามยศว่านตามชื่อว่าว่านพระยาพิชัยดาบหัก

เมื่อก่อนนี้นายทองดี เป็นนักมวยไปชกต่างจังหวัดหลวงปู่ก็ให้เครื่องรางของขลังมีวิชาธนูมือ พรหมสีหน้าได้รับชัยชนะตลอดทั่ว 4-5 จังหวัดนายทองดีอยู่กับหลวงปู่เวลาว่างก็ช่วยปรนนิบัติหลวงปู่ และฝึกหัดวิชาเพลงอาวุธให้มีความชำนาญยอดเยี่ยมเมื่อนายทองดีฝึกหัดจนเก่ง มีเพื่อนฝูงที่มีใจเดียวกันหลายคนซึ่งเป็นสานุศิษย์หลวงปู่ไปไหนก็ไปด้วย

เย็นวันหนึ่งนายทองดีถูกหลวงปู่ใช้ให้ไปหาสารนกแก้วต้นไม้ชนิดหนึ่ง หลวงปู่แกเป็นคนชอบเล่นแร่แปรธาตุ นายทองดีก็ไปหากินว่านและนำอาวุธหอบติดไปด้วยเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย เมื่อนายทองดีมาถึงกลางป่าก็เสาะแสวงหาสารนกแก้วที่หลวงปู่สั่งหาป่าตื่นจนกระทั่งเข้าถึงป่าลึกไปถึงพุ่มไม้เห็นหมีกับลูก 2 ตัวกำลังใช้เคี้ยวกุดกินหัวกลอยมัน

นายทองดีเดินมาเห็นพอดีหมีได้ยินเสียงก็เหลียวหน้ามาเห็นนายทองดี ก็ทิ้งจากการกินหัวมันโดยพลัน ตรงเข้าใช้เขี้ยวและอุ้งเท้าข้างหน้าตบนายทองดี นายทองดีแทงสวนด้วยหอกใส่หมีเเต่ไม่เข้า หมีเข้าฟัดต่อสู้กับนายทองดีจนหอกหักก็ไม่สามารถที่จะฝังหอกเข้าไปในร่างของหมีได้ตามร่างกายของนายทองดีมีรอยเล็บหมี

เมื่อจวนตัวก็นึกถึงพระเวทพรหมสี่หน้าและพระเวทธนูมือธนูเท้าต่อสู้กับหมีใช้กำปั้นชกต่อยหน้าหมี
อภินิหารพระเวททำให้มีเจ็บตัวเลยเห็นนายทองดีเป็นคนหลายหน้าและหลายคนก็โดนกัดแต่ร่างลวงเป็นด้วยอำนาจพระเวท แม้นายทองดีจะเป็นผู้มีฝีมือมีเครื่องรางของขลังป้องกันก็ไม่อาจที่จะสู้มิได้จึงล่าถอยกลับวัด

นายทองดีก็มาเล่าเรื่องให้หลวงปู่ฟังหลวงปู่สงสัยว่าทำไมถึงแทงหมีไม่เข้าจึงให้นายทองดีไปขุดหัวมันก็ลอยหัวมันและต้นไม้ทุกชนิดที่ขึ้นบริเวณนั้นมาให้หลวงปู่นายทองดีก็เอามาให้ หลวงปู่ได้ทดลองทุกชนิดตั้งแต่หัวกลอยขาวหัวกลอยเหลืองและหัวต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อทดลอง พอทดลองหัวที่ไม่รู้จักชื่อเอามาให้เด็กวัดหลายคนกิน

เด็กวัดกินแล้วก็กระโดดโลดเต้นต่างพากันวิ่งไปหามีดพร้าหรือมาท้าทายเพื่อนฝูงหลวงปู่เห็นฤทธิ์แปลกมหัศจรรย์เอาหินขว้างหัวเด็กดูก็ไม่มีบาดแผล หลวงปู่จึงเอาหัวต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อมาปลูกและตั้งชื่อว่าว่านพิชัยโลดทรนง เพราะกินเข้าไปแล้วกล้าหาญกำแหงทระนงไม่รู้จักกลัวตาย ใครไม่ฟันเเทงก็ฟันเเทงตัวเองเล่นทั้งนี้เป็นเพราะฤทธิ์ว่าน

นายทองดีเป็นผู้พบหลวงปู่จึงให้นายทองดีนำว่านพิชัยโลดทรนงนี้ติดตัวประจำไปชกมวยต่างจังหวัดและต่อสู้กับศัตรูจนเป็นที่เกริกก้องกระเดื่องดังถึงฤทธิ์และอำนาจของว่านดังกล่าว

นายทองดีก็เอามาแจกจ่ายให้กับมิตรสหายเพื่อนฝูงจนนายทองดีเข้ารับราชการทหารก็นำหัวไปให้พวกทหารพวกด้วยกันไปปลูกและแบ่งกันกินจึงเป็นว่านพิเศษถูกเปลี่ยนชื่อจากพิชัยโลดทรนง
เป็นว่านพระยาพิชัยดาบหัก โดยยึดเอาชื่อที่พระยาพิชัยได้ขนานนามไว้โดยได้รับบำเหน็จความดีความชอบจนได้เป็นพญา และได้รับพระราชทานนามสกุลในวงศ์ตระกูลของนายทองดีว่า (ขัตคะ)

อำนาจของพญาว่านและเครื่องรางของขลังครั้งหนึ่งพระยาสีหราชเดโชไชยเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชฝ่าฝืนคำสั่งของแม่ทัพระหว่างนั้นมีชาติพม่ายกกองทัพมาโดยพระเจ้าจเรราชบุตร ลูกพระเจ้ากรุงอังวะเป็นแม่ทัพยกพวกมาตั้งค่าย

พระยาสีหราชเดโชจะยกพวกทหารจำนวน 500 คนเข้าโจมตีค่ายพม่าโดยใช้คำสั่งแม่ทัพ แต่แม่ทัพสั่งไม่ให้โจมตี เกรงจะเป็นอุบายของพม่าแต่พระยาสีหราชเดโชขัดขืนคำสั่งแม่ทัพเพราะใจร้อนและเชื่อในฝีมือถือว่าเป็นผู้ชนะเลิศและมีเครื่องรางของขลังกันครบถ้วนทั้ง๕๐๐ คน เข้าโจมตีค่ายพม่าฝ่ายพม่ารอจังหวะและรู้ใจคนไทยเมื่อเห็นพระยาสีหราชเดชโช ยกพลเข้าโจมตีค่าย จึงหลงกลฝ่ายพม่าซึ่งตั้งซุ้มกองกำลังพิเศษเอาไว้มีจำนวนรบหลายพันคนมากมายกว่าทางฝ่ายไทยหลายเท่าพม่าก็ตรงเข้าตะลุมบอนบุกทะลวง

กองทัพของไทยซึ่งมีเพียง 500 คนต่อสู้อย่างถวายชีวิต พระยาสีหราชเดโช ก็ต่อสู้สุดฝีมือและรู้ว่าต้องเป็นฝ่ายพ่ายเพราะหลงกลอุบายของพม่าเพราะมีทหารคู่ใจเพียง 500 คน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใดทหารไทยมีน้อย อาการเช่นเดียวกับดังกล่าวพระยาสีหราชเดโชต่อสู้ด้วยทวนอาวุธคู่มือ โลหิตเกาะกรังทั่วไปเมื่อโลหิตเกาะติดตามตัวทำให้ร่างกายผิวหนังตึงเพราะโลหิตเมื่อเกาะนานไม่มีโอกาสได้ชำระล้างทำให้ข้อมือที่ตวัดเพลงทวนฆ่าฟันพวกพม่าข้อมือล้าเพราะฆ่าฟันมาเป็นพันๆ ครั้งเมื่อทวนหลุดจากมือแล้วก็ไม่มีปัญญาทำอะไรจึงถูกฝ่ายพม่าจับตัวได้นำซ้ำทหารคู่ใจอีก 500 คนก็ตกเป็นเชลยของพม่าด้วย

ตัวพระยาสีหราชเดโชถูกจองจำด้วยเครื่องพันธนาการอย่างแข็งแรงและท้าทายให้พม่าฆ่า พลรบทั้ง 500 คน ไม่มีเสียเลือดเนื้อเลยในการศึกครั้งนี้เลย ทหารพม่าจับได้แล้วก็ฟันคอเพื่อประหารชีวิตแต่คมอาวุธไม่อาจที่จะทำให้ระคายผิวหนังได้ ดังนั้นมังจเรราชบุตร เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจก็ไปกราบทูลต่อพระเจ้าอังวะ พระเจ้ากรุงอังวะ

พระเจ้ากรุงอังวะจึงให้นำพวกเชลยทั้งหมดมายังกรุงอังวะพระเจ้ากรุงอังวะเห็นว่าเป็นผู้มีฝีมือ จะเกลี้ยกล่อมเลี้ยงเอาไว้เป็นพรรคพวก พระยาสีหเดโชกับพวกจึงรอดตาย

หลวงพ่อได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเป็นที่ทราบซึ้งและหลังจากข้าพเจ้านมัสการหลวงพ่อแล้วข้าพเจ้าได้นำผ้าป่ามาทอดที่วัดนี้หลายครั้งและทุกครั้งได้ของดีครั้งละอย่างสองอย่างและได้ร่วมสร้างศาลาธรรม ศาลาธรรมนั้นจารึกชื่อข้าพเจ้าเป็นผู้สร้างและต่อมาอีกหลายปีจนได้มีโอกาส พบท่าน บ.ก.ราช เลอสลวง บ.ก.แปลกมหัศจรรย์คู่ฝาแฝด

ได้มีโอกาสมาเขียนเรื่องจริงที่มีทั้งสารคดีที่มีประโยชน์ถึงเรื่องว่านที่มีกี่ชนิดต่างๆและเครื่องราง หลังลงในนิตยสารมหัศจรรย์ท่านผู้อ่านอยากทราบเรื่องว่าน

ข้าพเจ้าเขียนมอบให้ท่าน บ.ก.ว่านพญาเสือดำ ว่านสบู่เลือด ว่านไอ้เฒ่าหนังแห้ง ว่านแล้งทองคำ ว่านกระชายดำ ว่านเปราะดำ ว่านผีกองกอย ว่านผีปอบ ว่านดังกล่าวยกเว้นว่าผีกองกอยและว่านผีปอบนอกนั้นเป็นว่านที่มีอิทธิฤทธิ์อานุภาพอยู่ยงคงกระพันชาตรีเพราะข้าพเจ้าได้รู้จักและได้ทดลองมาแล้วด้วยตนเองจำพวกว่ามีถึงร้อยแปดชนิดส่วนว่านทางมหาเสน่ห์ทางพละกำลังทางสมุนไพรข้าพเจ้าจะเขียนหลังจากได้เขียนเรื่องว่านที่มีอานุภาพอยู่ยงคงกระพันชาตรีแล้ว

แอดมินฝากอีกนิดครับว่านผีปอบ หรือว่านกองกอย บางก็เรียกชื่อกันเเตกต่างไปเเต่ละภาคของไทยบางก็ว่า ว่านโพรง ว่านกระสือ ว่านนางพิม ส่วนรูปเดียวจะลงให้ดูในโพส ความเป็นมาของว่านอาถรรพ์ชนิดนี้เป็นยังไงลองอ่านดูครับ

ว่านผีกระสือ , ว่านผีปอบ , ว่านผีโพง

ต้นและหัวของว่านชนิดนี้มีลักษณะคล้ายขมิ้นอ้อย สีขาว รสฉุนร้อน เมื่อหัวแก่มีธาตุปรอทลงกิน มีพรายเป็นแสงแมงคาเรืองในเวลากลางคืน มีสรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน แต่บางตำราก็ว่าผีโพงนั้น เกิดกับคนที่มีว่านหรือเลี้ยงว่านยาอันมีฤทธิ์แรงกล้า ไม่ใช้เฉพาะว่านผีกระสือ และไม่ได้บอกด้วยว่าว่านยาที่ว่านั้นมีว่าน อะไรบ้างในเวลากลางคืนตอนดึก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกพรำ ๆ ว่านชนิดนี้ จะออกหากินแบบเดียวกับผีกระสือ จะมีดวงไฟเล็กๆสว่างเรืองๆ อยู่ที่ปลายจมูก และหยดลงเป็นหยดๆ เหมือนหยดน้ำ ผีโพงจะออกหากินตามหนองน้ำ หรือทุ่งนาหลังฝนตก อาหารของผีโพงคือกบ และเขียด ซึ่งผีโพงจะกินด้วยการจับมาดูดเอาเมือกกินทีละตัวๆ โดยปกติ ผีโพงจะกลัวคน แต่ถ้าหากใครทำให้เจ็บใจ ผีโพงจะเอาไม้คานของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน แล้วในทีสุดคนนั้นก็จะพบกับความพินาศวอดวาย ที่น่าสังเกตก็คือ ผีโพงนั้นจะมีหน้าตาคล้ายกับเจ้าของหรือผู้ปลูกว่าน แต่เดี๋ยวนี้ว่านชนิดนี้ไม่ค่อยมีใครนิยมแล้ว แทบจะสาปสูญจากวงการว่าน เพราะถือว่าเป็นอัปมงคล

ว่านผมผีพราย

มีลักษณะเป็นเส้นสีดำกับสีน้ำตาลเข้มเหมือนเส้นผมคน แต่เส้นใหญ่และหยาบกว่า ขึ้นอยู่ตามป่าลึก ไม่มีลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ แต่จะพันอยู่กับกิ่งไม้จากต้นอื่นๆ และห้อยย้อยลงมา มีภูติที่สูงด้วยอิทธิฤทธิ์เฝ้ารักษาอยู่ ยามค่ำคืนจะเห็นเป็นดวงไฟลอยวูบวาบอยู่บริเวณชุมว่าน ต้องผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้นจึงจะเข้าไปเอามาได้ หากไม่เก่งจริงเป็นอันต้องวิ่งป่าราบเป็นบ้าเป็นบอไปเลยทีเดียว มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัยได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้น ไม่สามารถนำมาปลูกเพาะพันธุ์ได้

ว่านเหม่ดอยี

เป็นว่านจากพม่า ข้ามาในเมืองไทยหลายสิบปีแล้ว พ่อค้าหัวใสโฆษณาว่าเป็นว่านวิเศษเป็นมงคล ตั้งชื่อกันว่า “ว่านนางพญาหงสาวดี” แต่โดยความเป็นจริง สรรพคุณของว่านชนิดนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ว่าปลูกเลี้ยงไว้แล้วจะให้โชคลาภ ทำให้มีผู้หลงเชื่อแย่งกันซื้อมาเลี้ยงเอาไว้ตามบ้านเรือน แต่ ทางพม่าเขาถือว่าเป็นว่านสะเดาะเคราะห์ ใช้ทางไสยศาสตร์บางแขนง จะไม่นำเข้าบ้านหรือร้านค้าเด็ดขาด อย่างดีก็ปล่อยเอาไว้ตามวัดวาอาราม ลักษณะ ของต้นมีใบหนาแข็ง สีเขียวสด มีดอกสีเหลือง เช่นเดียวกับต้นยางลำต้นเป็นปล้องๆ ชอบขึ้นตามเชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่าน และตามพื้นที่ชุ่มชื่นทั่วไป ปลูกง่าย ตัดปล้องมาเพาะก็จะงอกออกมาเหมือนกับพวกขิง ข่า ตะไคร้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร นิยมปลูกในกระถาง มีกลิ่นเหม็นซากเน่า ประวัติของว่านต้นนี้ ภาษาพม่าคำว่า “เหม่ดอยี” แปลเป็นไทยว่า “นางพญาผีดิบ” หรือ “แม่มด” ทางพม่าเขาถือกันว่าเป็นว่านที่มีอำนาจอาถรรพณ์ลี้ลับ เหมือนกับพวก “นางกล้วยตานี” หรือ “นางไม้ – นางตะเคียน” ในวันนักขัตฤกษ์ สุนัขจะเห่าหอนตลอดทั้งคืน เด็กพากันร้องไห้จ้าสะดุ้งผวาเพราะภูตในว่านจะปรากฏร่างออกมาให้เห็น เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม นุ่งขาวห่มขาว ผมยาวประบ่า หากผู้ใดนำมาปลูกเลี้ยงไว้ในบ้านจะต้องเซ่นไหว้บูชา มิฉะนั้นจะถึงกาลวิบัติ อับโชคลาภและเกิดอาเภทต่างๆ มีเรื่องเล่าว่า เจ้าของบ้านรายหนึ่งปลูกว่านี้ แล้วภรรยาล้มป่วยหนักและตายในที่สุด ต้องยกกระถางว่าน “นางพญาหงษาวดี” ไปให้คนอื่นเลี้ยง อีกราย ที่ อ. หนองเบน จ.นครสวรรค์ เล่าว่า นับตั้งแต่ได้ว่านต้นนี้มาเลี้ยงไว้ในบ้าน ตกกลางคืนจะมีเสียงผู้หญิงร้องไห้อย่างโหยหวนในยามดึกสงัดทุกคืน พยายามฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหนแน่ แล้วก็จับได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากว่าน “เหม่ดอยี” นั่นเอง เจ้าของเกิดความกลัวขนหัวลุก เลยตัดสินใจยกกระถางทุ่มทิ้ง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องประหลาดนั้นอีกเลย

…จบตอน

สำหรับตอนนี้ขอมอบ◎พระคาถากันสัตว์ร้าย◎

ขัตฉะ อมุมฺหิ โอกาเส ติตฺถาหิ) บริกรรม ช้าง ควาย ตะเข้ สารพัดสัตว์ ได้หมด (ไม่ทำร้าย) ได้เชื่อมาแล้วอย่ากลัวเลยฯ

กายยะภันทนํ จิตทะภันทนํ คาถานี้ผูกปากตะเข้ (จระเข้)

โอม จิตมะพิสมัย นโมจิตฺตํ สารพัดจิต ฺ ตํ ส . วาหะฯ เสกขี้ผึ้ง ขมิ้น หมากก็ได้ฯ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก : สองยาม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: