3751. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 10 มังกรเมืองใต้ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 10 มังกรเมืองใต้ (เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ที่สุด การพบปะกันครั้งแรกโดยตรงระหว่างพวกเรา ๖ คน อันมี เชียร รถถัง, แดง, เก๊าตี๋, พล, เริงและผม กับชาวยุทธ์แดนใต้ บนดาดฟ้าห้องอาหาร #ระเริงชล ท่าเรือเพเขตระยองเมื่อเวลา ๑๘.๐๐ น. ตรงตามเวลานักที่หัวหมู่รถถังบอกไว้พอดี

กระนั้น กลับล่าช้ากว่าชายศรีษะเถิก ติดหนวดเล็กเรียวผิวขาวแต่กร้าน สูง ๑๗๐ ซ.ม. หุ่นลงพุงเล็กน้อย เลื้อสายมังกรยี่ห้อเต๊ก นั่งคอยอยู่พร้อมบริวาร ๓ นายที่นั่งโต๊ะถัดไป จึงมีการคารวะตามอาวุโสก่อนนั่งร่วมโต๊ะท่ามกลางสายตา ๓ การ์ดคุ้มกันจ้องตามองเหมือนไม่ใช่คนต่อไป พนักงานบริการเพิ่มเติมสุราอาหารชั้นดี ซึ่งมีแดง,เก๊าตี๋และผมปฏิเสธสุราจนเจ้าภาพฉงน

“แปลกนะ…ใครจะเชื่อว่าแดงไบเล่ย์กับเก๊าตี๋ไม่กินเหล้า”

วาจาผู้ใหญ่เต็กพาให้ทั้ง ๒ เพื่อนที่ถูกเอ่ยนามฉวัดตาไปทางหัวหมู่รถถังวิบเดียวก็เปลี่ยนเป็นปกติจากนั้น การปรึกษางานร่วมหุ้นขยายคาเฟ่อีตัวเริ่มจากปากอดีตผู้ใหญ่บ้านคนดัง ให้พวกเราชี้แจงนโยบายการทำงาน การขยายสถานที่บริการและงบประมาณที่จะใช้การนี้ ซึ่งเก๊าตี๋อาสาเป็นตัวแทนพวกชี้แจงไปได้เหมาะมากทั้งยังสรุปบอกผู้ถือหุ้นไว้คมคาย

“เมื่อการเพิ่มทุนคราวนี้ตกลงกันได้ ผมกับเพื่อนใคร่ขอความกรุณาให้พวกเราทำงานกันอย่างอิสระนะครับ ไหนๆ ผู้ใหญ่ก็รู้จักชีวิตจิตใจพวกผมแล้ว”

“รับรอง ผมไม่ยุ่งเด็ดขาด มีแต่จะสนับสนุนพวกน้อง เถอะน่า อยู่นานไปจะรู้ว่าผมเป็นคนประเภทไหน เอาล่ะเสร็จงานแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้กินเหล้ากินข้าวดีกว่าน้อง”

ผู้ใหญ่เต๊กรับปากรับคำง่ายดาย พร้อมชวนเชิญพวกเราลิ้มสุราอาหารบนโต๊ะราวกับเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทที่แกจะถมให้พวกเราเป็นเงินกีบหรือเป็นเพราะแกเห็นตัวเลยกำไรตามสายตานักลงทุน หรือแกเห็นว่าเรา ๖ คน อาจทำประโยชน์ได้เกินค่ากว่าเงินนั่นซึ่งเราต้องดูกันไป ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ดังนั้น การพาทีในวงสุราจึงเป็นไปด้วยอัธายาศัยอันดี

ราวทุ่มครึ่ง พวกเราห่วงกิจการทางคาเฟ่ โดยเฉพาะพอกับเริงอันเป็นตัวหลักของงาน ขืนอิดออดปล่อยให้นั่งซัดของชอบ จนสะใจจะพาลเสียงาน จึงขอตัวรุ่นใหญ่กลับสำนัก ก็ได้ยินคำพูดจากแกขัดหู

“ผมมีดัทสันปิกอัพอยู่คันหนึ่ง ให้เด็กๆ ขับตามหลังมาจอดไว้โคนสนด้านทางออก พวกน้องเอาๆ ไว้ใช้ จนกว่าจะหารถใหม่ได้ อย่าเกรงใจ ไหนๆ เราจะคบกันแล้ว”

จบคำ แกยื่นกุญแจรถให้ เปิดยิ้มกว้างใต้หนวดเรียว ดาวดังไบเล่ย์รับกุญแจรถไว้คล้ายไม่ได้คิดพร้อมทั้งคารวะผู้อาวุโส ตามธรรมเนียม จึงพากันละจากดาดฟ้าห้องอาหารไปหยุดยืนชมดัทสันปิกอัพสีเขียวใต้เงาสน ทุกสายตามองไปที่รถคันนั้นจริงแต่ไม่มีใครรู้ว่าใครคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น อึดใจ เราทั้งหกจึงก้าวไปใช้รถของบุคคลที่ผมมั่นใจว่า มังกร เป็นพาหนะอำลาบ้านเพเอาเฉียด ๒ ทุ่ม

สัปดาห์ต่อมา หลังพบกับหุ้นส่วนคนดังเมืองใต้ และพวกเรากำลังหาช่วงเหมาะปิดกิจการชั่วคราว เพื่อปรับปรุงคาเฟ่ ที่มีแต่ตู้เพลงกับเครื่องดื่มพร้อมโต๊ะเก้าอี้ ให้คลาสสิกขึ้นนั้น เที่ยงวันนี้แดงกลับนำข่าวร้ายมาบอก ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารมื้อแรกของวันตอนกลับจากธุระนอกบ้าน

“พี่เชียรถูกยิงที่มาบตาพุด”

“อ้าว…” กุมารจีนม้าเก็งเอ๋าเผลอใจ

“แล้วอาการเป็นยังไง” พลร้อนทรวง

“ผู้ใหญ่เต๊กบอกว่าอาการสาหัส ถูกประกบยิงขณะขับรถเข้าระยอง จนรถแฉลบตกถนน” แดงว่า

“แปลกว่ะ ผู้ใหญ่แกรู้ข่าวเร็วจัง” เริงข้องจิต

“ก็รถนั่นมันติดสติ๊กเกอร์ตรงประตูรูปมังกรไม่ใช่หรือ นี่แหละสัญญลักษณ์มันจะมีติดอยู่ตรงประตูรถสองแถวทุกคันที่ขึ้นกับแก”

คำบอกเพื่อนที่ผ่านการสังเกตไปจากสายตาผมจำต้องจำนนและรับฟังเรื่องราวจากปากดาวดังไบเล่ย์ร่ายต่อ

“ขณะนี้พวกเราไม่ต้องโผล่ไปเยี่ยมพี่เชียรจะปลอดภัยที่สุด เพราะถ้าไประยะนี้ ศัตรูหมายหัวพวกเราได้ครบแน่ ทางที่ดีที่สุด รีบไปดูที่คาเฟ่ก่อน เด็กๆ รู้ข่าวพี่เชียรถูกยิงอาจพากันตกใจเสียขวัญได้”

ไม่มีใครคัดค้านความเห็นเพื่อน ต่างละอาหารมื้อกลางวันเปลี่ยนอาภรณ์ตรวจความพร้อมของ “นิ้ว” ที่หัวหมู๋เชียร ผู้ป่วยด้วยใช้ปืนหามาให้แล้วลิ่วออกจากบ้านฉาง จับแท็กซี่ฝ่ากระไอร้อนอาทิตย์ยามเที่ยงสู่นิวแลนด์ทันควัน

ครู่ใหญ่ ราว ๑๐ นาทีเรา ๕ คน นั่งแท็กซี่ผ่านไปบนถนนอันเป็นที่ตั้งไนต์คลับ บาร์ และคาเฟ่แน่นขนัดทั้งสองฝั่ง ไปจนถึงหน้าคาเฟ่ ไม่ทันลงจากรถบรรดาสาวๆ ที่ยืนออกันอยู่ด้านหน้าประตู ๕-๖ นางกรูกันมาที่รถ สีหน้า แววตา ส่อความสับสน โก๋ ๒ นายลูกน้องพล ตรอกทวาย แหวกกลุ่มสาวมายืนต่อหน้าเราขณะลงจากรถ ผมกวาดตามองรอบตัวเห็นพนักงานบาร์ใกล้เคียงจับตาดูอยู่ พอชำระค่าบริการ แท็กซี่เคลื่อนรถ จาก ๑ ใน ๒ โก๋ แจงเหตุกลางแสงแดดจ้า

“ตำรวจเขาสั่งปิดกิจการเราครับ ยังแขวนป้ายไว้ที่หน้าประตูด้วย”

“เขาพูดอะไรบ้างหรือเปล่า” เก๊าตี๋ถามห้วน ๆ

“เขาบอกว่า หากข้องใจให้ไปที่กองกำกับฯ ครับ”

สิ้นคำโก๋ดูแลเด็ก กลางแสงแดดเปรี้ยงว่าร้อนผมกลับไม่ระคายผิว แดงตัดบทเลี่ยงแสงตะวันกล้าและสายตาคนดุจเดียวกับกุมารจีนม้าเก็งเอ๋า

“เข้าไปคุยข้างใน”

เมื่อรูปการณ์ส่อชัดว่า เราไม่เอาจเปิดกิจการต่อไปได้ มันก็ต้องปิดเพื่อหยุด ภัย ที่เรายังไม่รู้ว่าจากน้ำมือใคร และจุดประสงค์อะไรนั่นด้วย อย่างไรที่แน่ๆ ฝ่ายกฏหมายตกเป็นเครื่องมือกลุ่มอิทธิพลในจังหวะที่หมู่เชียรถูกลอบยิงนี้ ทำให้เรา ๕ คนมึนตื้อกับความคิด นั่งหน้าตึง ในอกกรุ่นไฟแค้นที่ถูกหักหาญจากศัตรูเร่า ๆ

“เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะรู้ว่าใครสั่งเก็บพี่เชียร” แดงลั่นมติใจ

“เราด้วย” เก๊าตี๋เสนอตัว

ด้านพล ตรอกทวาย กับเริง สวนมะลิ และผมในชีวิตไม่เคยพบเหลี่ยมเล่ห์กับชั้นเชิงทางอาชญากรรมที่มีการวางงานวางแผนกันครบวงจรเช่นนี้ จึงไม่อิดออดแม้แต่นิดเดียวต่อการที่จะปักหลักซดกับ #เซียน ที่ลอบถล่มเรา

ต่อมา เมื่อมีความเห็นสอดคล้องกัน ป้ายประกาศเลหลังอุปกรณ์ประดามีตลอดไปถึงโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง สารพัดในคาเฟ่ ได้ถูกยกขึ้นติดตั้งไว้หน้าคาเฟ่และมอบหมายให้ ๒ ดาราดังแม้นศรีดำเนินการรวบรวมเงินก้อนสุดท้ายไว้ ส่วนเรา ๓ คน ตกลงใจเข้าเยี่ยมเชียร รถถัง ในเย็นวันนี้ ดังนี้ เวลาช่วงบ่ายจึงช่วยกันเคลียร์เงินค่า ประตู ของเด็ก ๆ ตามสิทธิจนเงินสด
เกือบเกลี้ยงลิ้นชัก

ครับ-เวลาเกือบ ๒ เดือน ด้วยเงินทุน ๗๐,๐๐๐ บาท ที่แลกด้วยชีวิตคน เราดำเนินกิจการมีกำไร ขณะนี้มี “อ้อย กับ เงาะ” ที่เป็นคนและเพศหญิงวัยไล่ๆ กับพวกเรา ซึ่งเริงซื้อต่อไปจากเสี่ยปิ่นคนดังท่าฉลอม ๒ นาง แต่ละนางเพิ่งทำประตูไถ่ตัวเองได้ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาท ยังติดค้างอีกคนละเกือบหมื่นบาทจะทำประการใด

กลางห้องกว้าง แต่เดิมใช้เป็นที่ตั้งโต๊ะรับแขกนั่งดื่มเครื่องดื่มเลือกเด็ก บัดนี้ มีคนกันเองนั่งกระจายล้อมพวกเราอยู่ ล้วนสงบคำ พัดลมตั้ง ๓-๔ ตัว ที่สาวๆ นำมาตั้งไล่ร้อนในตัวมนุษย์ชายหญิงเกือบ ๓๐ นายและนาง แม้บรรเทาร้อนธรรมชาติได้กลับคงไม่มากนัก ในบรรยากาศยามนี้

ครู่เดียว การตัดสินใจที่จะหาทางออกของพวกเรา สาวหนึ่ง ผิวเหลือง วัยเบญจเพส ตัดผมหยิกหยอยไปทั้งตัว แต้มสีริมฝีปากแดงแจ๊ดทะลุขึ้นกลางวง

“ให้อ้อยกับเงาะอยู่ทำงานซักเสื้อผ้า หุงหาอาหารช่วยพวกพี่ที่บ้านสักครึ่งปีก็ได้นี่คะ พวกพี่เป็นชายโสดทุกคน”

ข้อเสนอกินรีสาวดีมาก ไม่เสียเปรียบด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย อีกทั้งจะอำนวยประโยชน์แก่เราหลายด้าน เนื่องจากที่อยู่กันมา บ้านช่องหาระเบียบไม่ได้ ถ้ามีผู้หญิงเป็นศรีบ้าน อาจลดการเพ่งเล็งจากฝ่ายกฏหมายโดยอ้อมด้วย จึงบอกกับเพื่อน

“เราว่าเหมาะที่สุด อ้อยกับเงาะควรทำงานใช้หนี้”

งานนี้ ผมเป็นพระเอก เพราะไม่มีเสียงคัดค้านจากสหาย พอเรื่องภายในเรียบร้อย พลกับเริงทำบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องเลมาให้ทุกคนดูกับตา เห็นตัวเลขที่ประเมินไว้ขั้นสูงว่า อาจเลได้ ๓๐,๐๐๐ บาท แล้วใจหาย วัสดุทุกชิ้นขายได้ในราคา ๔๐% ต่อมา ทุกคนยิ้มให้กัน แรงแค้นโชติวาวกลางแก้วตาดาวดังทุกนาม ขณะนั่งให้สาวงามนับสิบนางสะพายหรือ หิ้วกระเป๋าเดินทางทยอยกันล่ำลาไปตามทิศทางที่ตนกำหนด จนเหลือ ๒ สาวอ้อยกับเงาะที่นั่งอยู่ไม่ไกลตัวเอง เก๊าตี๋ถามขึ้นลอย ๆ

“อยากไปบ้างไหม”

๒ สาวผินหน้ามามองพวกเรา ยิ้มเต็มหน้า ก่อนส่ายหน้าไปมา

“ทำไมล่ะ”

“มันไม่ยุติธรรมค่ะ” เงาะตอบเสียงกังวานระคนยิ้มดุจเดิม

ผมสะกิดใจถ้อยคำนั่นชะมัด อยากรู้นักว่าเธอเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดสรีระกับใจตน แต่ก็เป็นความคิดแวบเดียว ที่โซนอยู่ก้นถ้ำของปัญญาตะวันรอนแสงลง แดง เก๊าตี๋ และผมพร้อม ๒ แม่บ้านยืนรอแท็กซี่ที่จะผ่านอยู่หน้าคาเฟ่ได้พักเดียว เก๋งบีเอ็มดับบลิว สีแดงตัดดำใหม่เอี่ยมเคลื่อนช้าๆ เข้ามาจอด กระจกติดฟิล์มกรองแสงหนาเตอะถูกหมุนลง

“ผู้ใหญ่เต๊ก” ผมบอกตัวเองในทรวง

จากนั้น มังกรเมืองใต้กวักมือเรียก เรา ๓ ขยับไปที่รถขณะประตูเก๋งด้านเปิดกว้าง พร้อมคำถาม

“พวกน้องจะไปไหนกันนี่”

“เยี่ยมพี่เชียรครับ” เก๊าตี๋บอก

“อ้าว…” มังกรเมืองใต้ร้อง ตีหน้าเหรอ “พวกน้องยังไม่รู้เรื่องหมู่เชียรหรือนี่”

“เรื่องอะไรครับ” แดงถาม

“หมู่เชียรตายแล้ว ผมกำลังให้คนไปรับศพที่โรงพยาบาลไปไว้ที่วัด และจะทำพิธีทางศาสนาร่วมกับทางญาติๆ เขาเต็มที่เลย”

น้ำคำอันไม่ต่างน้ำกรด ผมได้ยินชัดหูเพียงประโยคแรก นอกนั้นพร่าเลือน เพราะไม่อาจต้านความรู้สึกในสายเลือดที่เร้าแรงแค้น

“เป็นอันว่าจบเรื่องพี่เชียร” แดงกัดฟันพูด

“แต่เรื่องของเราไม่จบ” กุมารลำพอง ฉุนขาด

ช่วงนี้ ผู้ใหญ่เต็กดับโทสะ ๒ ดาวดัง ด้วยการชวนให้ขึ้นรถ และอาสาส่งถึงที่ที่จะไป เวลานั้นไม่มีใครทันคิดอะไร อยากไปให้พ้นจากคาเฟ่ จึงมอบกุญแจบ้านให้ ๒ สาวจับแท็กซี่กลับไปรอที่บ้านก่อน ส่วนเรา ๓ คนนั่งเก๋งบีเอ็มดับบลิว ไปกับมังกรเมืองใต้โดยปราศจากจากจุดหมาย พัทยาราตรีคืนนี้ เรา ๓ คนท่องไปกับรุ่นใหญ่พักอารมณ์ร้ายด้วยสิ่งบันเทิงเริงรมย์ทุกรูป ผู้ใหญ่เต๊กกลับเป็นชาวยุทธ์ที่นิยม ” ต้มกระเรียนเผาพิณ ” กล่าวทำลายบรรยากาศขึ้นลอย ๆ

“กระเรียน ” เป็นนกที่หลวงจีนนักพรตนิยมเลี้ยงและเซียนผู้วิเศษใช้เป็นพาหนะ จึงถือเป็นสัตว์สูง ส่วน “พิณ” เป็นเครื่องดนตรีที่ปราชญ์บัณฑิตบรรเลงผ่อนคลายอารมณ์ “ต้มกระเรียนเผาพิณ” ถือเป็นการกระทำที่อำมหิตสำนวนแปลของเฮีย (ว.ณ. เมืองลุงจากเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น)

“ขณะนี้ในวงการนักเลงที่นี่เขารู้กันแล้วว่า พวกน้องเป็นใคร”

“ผู้ใหญ่เป็นคนบอกหรือครับ” เก๊าตี๋สวนคำสุ้มเสียงไม่ค่อยดีนัก

“ตัวหมู่เชียรเองน่ะแหละพูด ซึ่งเขาก็บอกจุดประสงค์ว่า จำเป็นต้องบอกเพราะพวกน้องหน้าตาอ่อน ๆ กันทั้งนั้น แกไม่ต้องการให้ใครมาข่มขู่ระหว่างทำงาน”

“ทีนี้พวกเราก็เป็นเป้ามันสบายไป” กุมารจีนม้าเก็งเอ๋าไม่วายป่น

“มังกรเมืองใต้หัวเราะร่า บอกเสียงดัง” ผมมีทางเหมาะที่น้องๆ ควรรับทำระดับงานก็ดีกว่าคาเฟ่ ซ้ำยังเป็นงาน ที่ทุกคนเคยผ่านมาแล้วด้วย”

“งานอะไร ไม่ใช่ฆ่าคนน่ะครับ” ผมลองเชิง

“เปิดบาร์ค้าผู้หญิงกับเปิดบ่อนชั้นดีที่กิโลสิบ”

“โอ้โฮ…” เก๊าตี๋คราง และเสริม “ผู้ใหญ่พูดยังกะว่าพวกผมมีเงินล้าน”

“เปล่า พวกน้องไม่ได้ต้องลงทุนเลย คอยแต่คุมเกมให้เป็นไปตามกติกาเท่านั้น ซึ่งถ้าเกมดำเนินได้สวย จะมีรายได้ ๓๐% จากกำไร ตอบแทนทุกเดือน”

“ใครเป็นเจ้าของโดยตรงครับ”

“ท่านรองฯ คม ขณะนี้สถานที่ยังปล่อยว่างอยู่ หากน้องตกลง ผมจะได้นัดหมายเวลาไปพบท่าน”

“เราคงต้องปรึกษากันก่อนครับ” แดงขัดขึ้นเกรงเก๊าตี๋ตามใจตน

“นานไหม”

“ขอให้เผาหมู่เชียรเสร็จก่อนครับ”

“คิดจะล้างแค้นให้หมู่เชียรหรือเปล่าล่ะ” มังกรใหญ่เล่นลูกติดพัน

“อาจบอกวันเดียวกันครับ” แดงปิดสำนวนทันที

คืนนั้น รอยตีนปลายหาดที่เราประคองเงือกสาวท่องฉิมพลีคงลบเลือนด้วยแรงคลื่นใหญ่น้อย แต่น้ำคำผู้ใหญ่เต๊กคืนนั้น จนป่านนี้ผมยังจำมันได้ดี วาจาทุกประโยคของมังกรเมืองใต้ผมกรองมาคิดไม่รู้กี่ตลบ ก็พบสิ่งที่ควรจะถามแกบ้างว่ากิจการดังกล่าว ทำไมแกไม่รับทำเสียเอง ทั้งที่มีความพร้อมกว่าพวกผมทุกประการ หรือเนื่องมาแต่ คนมีชื่อเพราะกระบี่ กระบี่เกรียงไกรเพราะคน

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: