3748. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 6 เสือ สิงห์ อินทรี มังกร ชีวิตคือการต่อสู้ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 6 เสือ สิงห์ อินทรี มังกร ชีวิตคือการต่อสู้ (เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ถ้อยคำนั่น ผมได้ฟังมาตั้งแต่เด็กทั้งยังจำมาขยายความหมายของมันด้วยพอรู้ความหมาย ความคิดในวัยเด็ก ก็ฝันใคร่ได้มีชีวิตพเนจรผจญภัย ได้ต่อสู้เพื่อการดำรงชีวิตทุกรูปแบบเยี่ยงชาติชาตรี ถึงวันนี้ พอเริ่มต้นคอยรถเพื่อบรรลุถึงความฝัน ผมชักลังเลไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอดไปได้แค่ไหน เข้าตำรา ปลาผิดน้ำ ทหารนั่งสภา กระนั้นข้อหาบุคคลอันธพาลขังไม่มีกำหนดเดือนปีอขงคณะปฏิวัติทรงอำนาจกว่า จึงยืนเดี่ยวสะพายถุงเป้ ใส่เสื้อผ้ารอรถ บ.ข.ส. สายระยอง-กรุงเทพฯ ตรงเชิงสะพานพระโขนงสืบไปสักครู่รถ บ.ข.ส. สายที่จะนำผมพเนจรเข้าเทียบ เด็กรถแหกปากทำกิจแจ้ว ๆ

“ชลฯ เตาถ่าน สัตหีบ กิโล ๑๐ สนามบิน นิวแลนด์ มาบตาพุด ระยองครับ”

เมื่อขึ้นรถได้ที่นั่งเบาะหลังเกือบสุดชิดหน้าต่างขวาและรถเคลื่อน ผมนั่งเป็นพระพุทธไปตลอดทาง ส่วนก้อนเนื้อในกะโหลก คิดเผื่อเหลือเผื่อขาดถึงงานที่มุ่งไปทำ หากบังเอิญหาไม่ได้แล้วจะทำประการใด อีกความรู้สึกหนึ่งกลับบอกว่า “เหอะน่า…ให้มันถึงที่สุดค่อยตัดสินใจ” ท่ามกลางความสับสนบนกบาลกับเรื่องของตัวเอง จู่ ๆ เรื่องพิสดารเกิดขึ้นกลางรถโดยสารที่กำลังตะบึงฝ่าความมืด เข้าตัวเมืองชลบุรี เก๊าตี๋ น่ะเอง ร่างเล็กเพรียวของเพื่อนเดินเอียงร่างแทรกช่องทางเดินแคบ ๆ กลางรถมาหา พลางยิ้มกริ่มทักทาย

“ไม่คิดว่าจะเจอนายบนรถนี่”

“เหมือนกัน”

ผมตามน้ำตามความจริงพร้อมส่ง “ซิก” ทางสายตาให้ระวังผู้โดยสารอื่นๆ กุมารจีน ม้าเก็งเอ๋า ผู้ใกล้จะเป็น มังกรจึงชักชวนให้ไปนั่งด้วยกันที่กลางรถ เลยตามไปนั่งด้วย เมื่อมีเพื่อน เก๊าตี๋เปิดปากทันที

“นายจะไปไหน เปี๊ยก”

“อู่ตะเภา”

“ใจเดียวกันเป๊ะ” เก๊าตี๋ดีดนิ้วเปาะ “นายคิดจะทำอะไรที่นั่น”

“อยากทำงานบาร์เพราะเที่ยวมามาก ตอนนี้ได้ข่าวว่าสนามบินใกล้เสร็จแล้ว ต่อไปพวกไอ้กันจะยกทัพไปอยู่ที่นั่น งานบาร์คงไปได้สวย” ผมเปิดใจ

“นายรู้จักใครที่นั่นหรือ” เพือนซัก

“ไม่รู้จักใครเลย”

“เหมือนกันว่ะ” กุมารจีนบอกปนหัวเราะเบา ๆ

ที่สุดเรา ๒ คน ซึ่งยังไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอนยุติการสนทนา ให้เวลาความคิดตรองหาทางไปบนเส้นทางที่เป็น ปรัศนีย์ สำหรับเก๊าตี๋ผมยังไม่รู้ว่าเขาจะเลือกทำ ” งาน ” ประเภทใด อายุเพียง ๑๙ – ๒๐ ปี ในสายตาคนเจนโลกทั้งเขา และผมตำแหน่งงานคงหนีไม่พ้นเป็นลูกน้องคน ซึ่งมันคงแปลกถ้าเราประพฤติได้ โดยเฉพาะกุมารจีนเก๊าตี๋จะแปลกมากถ้ายอมเป็นลูกน้องหรือแม้แต่จะเสียเปรียบคน

นิสัยเช่นนี้เหมือนกันเกือบทั้งตระกูล ยกเว้นเจ๊หลั่นกับน้องชายคนสุดท้ายชื่อ #เกโง่ ที่ไม่สนใจเรื่องราวของชาวยุทธ์ เท่าใดนัก

สนามบินอู่ตะเภา เกือบ ๕ ทุ่ม ผมกับเก๊าตี๋พากันลงจากรถ บ.ข.ส. สะพายถุงเป้เดินสังเกตบริเวณด้านหน้าแคมป์ อันมีอาคารบ้านเรือนปลูกขึ้นหนาแน่น แต่เงียบเหงาผู้คน ตลาดกลางคืนหน้าแคมป์ มีคนไทยชาย-หญิง แต่งตัวฉูดฉาด มาใช้บริการน้อยมาก หลังจากแวะกินอาหารบำรุงกระเพาะแล้ว ผมลองถามเด็กส่งก๋วยเตี๋ยวดูว่าของที่อยู่ในตู้เต็มตู้

จะขายคืนนี้หมดหรือ นี่ปาเข้าเกือบครึ่งคืนแล้ว ได้รับคำตอบว่า ตี ๓ บาร์ที่นิวแลนด์เลิกนักท่องราตรีทั้งไทย-เทศ เพศหญิงและชายจะเฮมาที่นี่ อาหารทุกชนิดทุกร้านในตู้ที่ผมกังขาสามารถจำหน่ายหมดก่อนฟ้าสาง ซึ่งในเวลาต่อมาผมต้องเชื่อ ๕ ทุ่มของที่นี่เพิ่งหัวค่ำอยู่ครับ

ออกจากร้านอาหารเดินทอดน่องใต้ฟ้าประดับดาว อัดบุหรี่แก้เปรี้ยวปากเป็นครังแรกนัยแต่ออกจากกรุงเทพฯ เก๊าตี๋ซึ่ง ไม่เคยเสพของมึนเมาทุกประเภทเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ กราดตามองคิวรถสองแถวเล็กเกือบร้อยคันที่จอดอยู่ข้างลานกว้าง หน้าสนามบิน พูดลอยๆ

“ถ้าเราอยู่ที่นี่นานๆ เราควรจะมีรถสองแถวเล็กสักคัน”

“นายจะเอามาวิ่งรับฝรั่งหรือ”

“ทำสารพัดประโยชน์ ที่นี่ขุมทองนะเพื่อน”

ผมสะกิดใจกับคำว่า “ทำสารพัดประโยชน์” ของกุมารจีนม้าเก็งเอ๋า เลยเก็บค้างไว้ในใจ จากนั้นต่างสะพายถุงเป้ไปขึ้นรถสองแถว สายสนามบิน-นิวแลนด์ สู่อาณาจักรบันเทิงนักรบต่างแดน สำรวจทิศทางจรกับอาชีพที่จะทำ ๒๐ นาทีโดยประมาณ สองแถวโดยสารหมุนวงล้อผ่านม่านกลางคืน สองข้างทางไปหยุดจอดตรงปากทางนิวแลนด์ ซึ่งประดับไฟหลากสีสว่างโพลงตลอดแนวแถว พอจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย เรายังไม่ดิ่งเข้าถนนเริงเมืองที่กำลังคึกคักผู้คนเฉพาะอย่างยิ่งนักรบ ขาว-ดำ จึงพากันเดินชมวิมานราตรียังถนนฝั่งตรงข้ามไปจนถึงบาร์รำวง “ธาราทอง” เก๊าตี๋ชวนหมับ

“เข้าไปที่บาร์นั่นสักพักนะ”

“เผื่อเจอพวกเราใช่ไหม”

“ไม่แน่นะ เผลอๆ มันอาจเผ่นมาก่อนเราก็ได้” กุมารจีนวิเคราะห์

พอหลุดตัวผ่านประตูบาร์มีม่านสีเลือดนกกั้นอีกชั้นเข้าไป เสียงดนตรีกับนักร้องที่แว่วๆ ตอนอยู่ภายนอกดังซ่าอึงไปทั้งหู ขณะยืนกวาดตาหาโต๊ะมุมเหมาะกลางดวงไฟสีเขียวเรืองอวลด้วยหมอกควันเชื้อมะเร็งที่คับคั่งผู้ใช้บริการอยู่ บริการสาวเรียกด้วยแสงไฟ
ฉายให้เดินตามไปนั่งยังโต๊ะว่างไมไกลฟลอร์ นั่งดื่มเครื่องดื่มชมนางรำถูกไอ้หนุ่มต้อนคลายล้าพักใหญ่ สาวบริการเข้ามาถามว่าจะซื้อบัตรรำวงขึ้นไปดิ้นบ้างไหม

เก๊าตี๋คงเห็นว่าเรา ๒ คน นั่งซัดน้ำส้มคนละขวด แต่ใช้ก้นนั่งบนเก้าอี้ร่วมชั่วโมงจนถูกเตือนโดยอ้อม เพื่อดึง “ช้างแดง” (๑๐๐บาท) ซื้อบัตรซื้อเวลานางรำให้มาดิ้นมารำอยู่ข้างหน้าโต๊ะเราเพียงนางเดียวตามสมัยนิยมแต่อู่ตะเภาไม่ใช่ “นเรศวรบาร์” กวาดตามองถ้วนหน้าแล้วล้วนร้อยพ่อพันแม่ พอนางรำวัยไล่ๆ กับพวกเราออกมาเต้นกับรำ เบื้องหน้าได้ ๓ – ๔ เพลง นัยน์ตาที่บ่งถึงความไม่สบอารมณ์นัก เริ่มเกิดจากวัยคะนองโต๊ะใกล้เคียงนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไร ?

ไอ้เรื่องจะรอจนพวกมาบอกให้ปล่อยผู้หญิงให้ผู้อื่นครองสิทธิบ้าง ผมไม่ยอมรอถึงเวลานั้นแน่ จึงหาช่องทางแก้เลยหมดอารมณ์ เริงใจกับของสวยงามภายในฟลอร์สิ้นเชิง พลัน หนทางออกจุดแวบทางปัญญา

“เก๊าตี๋ ออกไปดูที่อื่น ๆ บ้างดีกว่า”

“เดี๋ยวให้บัตรหมดก่อน” เก๊าตี๋บอกเรื่อยๆ

ผมเหลือบตามองบัตรซื้อเวลานางรำพลางบอกต่อ “ผู้หญิงที่เต้นอยู่นั่น ๕ เพลงแล้วนะ ขืนให้เต้นอีก ๔๕ เพลง เธอตายสนิท”

เก๊าตี๋เงียบไป ผมตามเรื่องต่อ “บัตรที่เหลืออยู่นี่เราจะลองพูดขอเปลี่ยนเป็นพวงมาลัยให้รางวัลผู้หญิงนะ”

“นายกลัวมีเรื่องหรือ”

“แล้วนายว่าสมควรมีไหม” ผมย้อน

เขายิ้ม ผงกหัวหงึกๆ ผมไม่รอทอดเวลาให้เกิดเรื่อง จัดการมอบบัตรทั้งหมดให้สาวบริการนำไปเปลี่ยนเป็นพวงมาลัยมาให้เพื่อนคล้องคอนางรำแทน ซึ่งก็สามารถลดความเกรี้ยวกราดทางสายตาได้โข ครู่หนึ่ง จึงชวนเขาออกจากบาร์รำวงเดินข้ามถนนสุขุมวิทที่พาดกลางเข้าอาณาจักรบันเทิงอย่างไม่รีบร้อนนัก ต่อมาผมเหวี่ยงถุงเป้ เปลี่ยนไหล่เพราะชาหนึบไปทั้งแถบ หลายครั้งที่ไฟหน้ารถสองแถวโดยสารพุ่งไฟจี้หน้าเราจนต้องยกมือป้องหน้า

รถทุกคันที่วิ่งสวนออกไป ล้วนบรรทุกจีไอกับเมียเช่าเต็มรถ ระหว่างเดินไปถึงสถานเริงรมย์ “อเมเจอร์คลับ” บริเวณซอกแคบๆ ติดกับไนต์คลับมีร้านอาหารพื้นเมือง กับรถเข็นจำหน่ายลูกชิ้นปิ้งตั้งบริการอยู่ ข้างๆ รถเข็นปรากฏสาวสวย ๒ นาง วัย ๒๐ ปีเศษ นุ่งยีนรัดรูป สวมเสื้อยืดสีชมพูกับสีเหลือง แลทรวง ๒ เต้าตั้งตระหง่าน กำลังคอยแม่ค้าบรรจุอาหารใส่ถุงอยู่ ได้ผินหน้ามาทางเรา จึงเห็นโฉมหน้ากันชัดเจน แม่คุณอุทานมากกว่าเรียก

“พี่-เฮีย”

เราเบรกตัวเองราวนัดกัน เก๊าตี๋ขยับก้าวเข้าไปหา ถามทั้งๆที่ตัวเองอายุ ๑๙ ปี

“เจอพวกๆ เฮียบ้างไหม”

“เคยเห็นระยะนี้ ๒ คนค่ะ” ๑ ในอดีตกินรีโคมเขียวพะเนียงทองบอกชัดเจน

“แหม่มเห็นใคร”

“หมู่เชียรกับพี่แดง”

“แดงไหน”

“พี่แดง ไบเล่ย์ กับหมู่เชียรหัวหยิกค่ะ”

สิ้นคำบอกเธอ เก๊าตี๋หันมามองหน้าผมเช่นเคย ส่วน ๒ สาวมองถึงเป้บรรจุผ้าห่มเนื้อบนไหล่เรา อึกใจอีกนางหนึ่งเว้าบ้าง หลังรับถุงบรรจุลูกชิ้นปิ้ง

“พวกพี่จะไปไหนกันนี่”

“ยังไม่รู้…” เพื่อนตอบ และเสริมหาข้อมูลคำบอกของสาวเมื่อครู่ “แหม่มรู้จักที่พัก ๒ คนนั่นหรือเปล่า”

“แหม่มคิดว่าคงอยู่แถวๆ บ้านฉางค่ะ วันหลังถ้าเฮียอยากเจอแหม่มจะลองไปถามเพื่อนๆ แถวนั้นดู”

“แล้วต่อไปเฮียจะพบแหม่มได้ที่ไหน”

“คืนนี้พักบ้านแหม่มก่อนก็ได้ แหม่มอยู่กับซูซี่ ๒ คน ผัวไม่มีค่ะ”

ผมลอบกระหยิ่มข่มใจระคนคิดถึงถ้อยคำเปิดเผยของแหม่ม เพราะภาษาเช่นนี้หญิงไทยไม่นิยมพูดกับเพื่อนต่างเพศ ส่วนกับแหม่มอดีตสาว รุ่นอายุ ๑๔ ปี จากแดนดอกเอื้องเมืองฝาง ซึ่งใข้ร่างแลกกับเงินมาเกือบ ๑๐ ปี (ก่อนผมเที่ยว) กลางเมืองหลวง เธอพูดกับเราวันนี้ จึงได้แต่ลองนึกๆ ดูตามประสบการณ์ที่มีกับซ่องและโรงแรมพอสรุปได้ว่า ทั้งซูซี่และแหม่มถ้าเป็นเพศชายก็คงลายยันหางเหมือนเรา

“เปี๊ยกจะเอายังไง จะพักโรงแรมสัตหีบ หรือที่บ้านแหม่มชั่วคราว” เก๊าตี๋เกิดลังเล

“พักบ้านพวกเราเหอะพี่” ซูซี่สาวผิวขาวว่าบ้าง

“เธอ ๒ คนกำลังทำงานอยู่ไม่ใช่หรือ” ผมแอะ

“ส่งแขกแล้ว คืนนี้ได้ ๑๐ เหรียญ ไม่ได้ออฟ”

ผมเหวี่ยงสายตาไปทางเพื่อน เก๊าตี๋พยักหน้าเห็นงามจึงแห่ตามด้วย แต่พอขึ้นไปนั่งอัดกันบนรถสองแถวเล็กไม่เลือกชาติ วรรณะ ก็ฟังแต่ฝรั่งพ่น พร้อมกับกอดหญิงไทยตัวเล็กๆ ขลุกขลักสนองอารมณ์มือไม้ตลอดทาง ชักพาลใคร่กรีดหน้านักรบขาว-ดำมาเทียบเลือดอันธพาลไทยนัก

ถึงกิโลสิบ รวงรัง ๒ สกุณายามรัตติกาลผมนึกถึงย่านเสวนีย์แหล่งเสื่อมโทรมของกรุงเทพฯ ขึ้นมาทันที บัดนี้บรรดาเรือนหอ รอไล่ได้ผุดขึ้นบนแผ่นดินที่ลุ่มอันเคยเห็นว่างเปล่าเมื่อ ๔ – ๕ ปีก่อน แน่นขนัดไปด้วยบ้านเรือนรูปทรงพิสดาร จากแสงไฟร้านอาหาร
นับสิบที่ตั้งอยู่ด้านหน้าหมู่บ้านช่วยให้มองเห็นส่วนประกอบตัวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว ใช้หลังคาสังกะสี ฝาบ้านใช้ไม้อัด สูงจากพื้นน้ำเน่าราวศอกเศษ

๒ สาวเดินนำหน้าเราลงจากไหล่ถนนผ่านร้านค้าซ่าหริ่ม บัวลอยไข่หวานที่มีแม่ค้าหน้าหวาน ๒ – ๓ นางบริการลูกค้าอยู่ เสียงหนึ่งดังมาจากร้านซ่าหริ่ม

“เฮ้ย…อีซูซี่ เดี๋ยว”

๒ สาวหยุดกึก “อีนิ่ม” จาก “พะเนียงทอง” ย่านนางเลิ้ง หรือซูซี่หันขวับมองเข้าไปในร้านค้าซ่าหริ่มฟาสต์ฟู้ด หนุ่มหนึ่งตัดผมทรง ลานบินหุ่นทรงเตี้ยล่ำวัยรุ่นพี่ แต่งตัวเปรี้ยว ลิ่วออกจากร้านมาหา ๒ สาวพลางเหล่ตามองผมกับเก๊าตี๋ ก่อนเบนสายตาไปทางซูซี่ ถามห้วนๆ

“ของมีแล้ว จะเอาหรือเปล่าวะ”

ซูซี่หันไปปรึกษาแหม่ม สาวงามแดนดอกเอื้องถามสุ้มเสียงพอกัน

“เม็ดละเท่าไหร่”
“๓ เม็ด ๑๐๐ ขาดตัว”
“ส้นตีน…แต่ก่อนเม็ดละ ๑๐ ของขาดวันเดียวมึงขาย ๓ เม็ด ๑๐๐”
“หยั่งงั้น กูขายกันเอง ๔ เม็ด ๑๐๐ เอาไหม…นี่บาร์เลิกแล้ว ถ้าไม่เอา แล้วอย่ามาด่ากันล่ะ” พ่อค้าหนุ่มเปิดโอกาส

๒ สาวอึ้งเหมือนจำเลยจำนนพยานกลางศาลอึดใจ ทั้งคู่ดึงเงินออกมาคนละร้อยส่งให้พ่อค้าสินค้าที่ผมยังไม่เห็นหน้าตาสินค้า ต่อมามันชี้มือและบอกให้เราไปยืนคอยที่ใต้ต้นตะขบห่างจากร้านค้าประมาณ ๒๐ เมตร เก๊าตี๋ถามขึ้นระหว่างรอคอยสินค้า

“แหม่มกับนิ่มซื้ออะไรจากมัน”
“ไฮโซน็อกค่ะ”

เก๊าตี๋สงบปาก ผมดันอาทร “แหม่มกับนิ่มควรจะเลิกได้แล้ว กินมากจนติดมันทำให้เพี้ยนได้นะ”

“ก็มันติดแล้วนี่พี่” เธอตัดปัญหา

เมื่อได้ยามอมมึนประสาทเรียบร้อย ๒ สาวพาเดินข้าไปบนสะพานไม้ ๒ แผ่น ซึ่งทอดยาวจรดบ้านอื่นๆ ไม่ลึกนักก็ถึงรวงรังอยู่ขุดทอง อเมริกันหลังเล็กๆ ของเธอที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ประดับนอกจากปกนิตยสารต่างๆ ปะติดข้างฝาไว้รอบ

“อาบน้ำก่อนเลยเฮีย พี่เปี๊ยกด้วย” ซูซี่อมยิ้ม

ที่สุดค่อนคืนนั้น เก๊าตี๋กับผมก็ได้รับการปรนนิบัติจาก ๒ สาวรุ่นพี่ทั้งเลี้ยงดูทั้งปูเสื่อจนหลับผล็อยไม่ผิดทารกรู้สึกตัวอีกทีเพราะเพื่อนปลุก แต่เสียงที่ได้ยินครั้งแรกเป็นเสียงเด็กน้อยร้องไห้ ตามด้วยเสียงดุด่าทุบตี ต่อมาเป็นเสียงของกุมารจีนม้าเก็งเอ๋า

“เปี๊ยก อี ๒ ตัวนั่นยกเค้าเราเกลี้ยงเลยว่ะ”
“เฮ้ย…” ผมร้องได้คำเดียว

เป็นความเจ็บปวดที่น่าอัปยศไม่น้อย ถ้าเรา ๒ คนประเมินตนเหนือคน แต่ถ้าปลงด้วยใจที่เที่ยงธรรม เก๊าตี๋กับผมได้ชำระหนี้กรรม ไปบ้างแล้ว อย่างน้อยบนถนนของพวกเธอ เราเคยสมประสงค์จากน้ำเงินอันเจ็บปวดนั่นดุจเดียวกันเหล่านี้เป็นความรู้สึกของผมที่สูญสมบัติในกระเป๋าเทียบราคาเงินไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนของเพื่อนมีเงินสดเกือบ ๕๐,๐๐๐ บาท ปืนพกขนาด .๓๘ ๑ กระบอกพร้อมกระสุน

“นายคงฉุนขาด ” ผมเดาใจเพื่อน
“ช่างมัน สมบัติควรผลัดกันชมว่ะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่กุมารจีนม้าเก็งเอ๋า พกพาการเสียสละ เจือเมตตาโดยมิได้สำแดงอาการอื่นใด
เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: