3745. กำเนิดเพื่อนตาย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

กำเนิดเพื่อนตาย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ชีวิตของไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม จากเด็กบ้านนอกสู่อ้อมอกพ่อบุญธรรมผู้มีพระคุณที่ไพฑูรย์ไม่เคยเอ่ยนามจริงแม้แต่ครั้งเดียวโดยให้เหตุผลว่าเมื่อเป็นอาชญากรที่กฎหมายต้องการตัว การที่จะนำท่านผู้มีพระคุณและตระกูลของท่านมามัวหมองไปด้วย แม้ท่านผู้มีพระคุณจะส่งคนมาเยี่ยม ไพฑูรย์ได้กราบเท้าเรียนผ่านผู้มาเยี่ยมไปถึงท่านผู้มีพระคุณว่า

“พระคุณที่ได้อบรมเลี้ยงดูมาจนติดยศเป็นนายทหารกรมพระราชธรรมนูญ ชาตินี้อย่างไรก็ทดแทนไม่หมด อย่าให้ความมีเมตตาจิตของท่านผู้มีพระคุณนำความเสื่อมเสียมาถึงตัวท่านและวงศ์ตระกูลจากนี้จะไม่มีชื่อ “วัณ วิน” ในโลกนี้อีกต่อไป เพราะวัณวินตายจากโลกนี้ไปแล้ว มีแต่ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม อดีตนายทหารพระธรรมนูญที่ถูกถอดยศตามระเบียบของกระทรวงกลาโหม”

มันเป็นชีวิตที่พลิกผันจากความสว่างสดใสมาเป็นความมืดดำเหมือนอยู่ในยามสนธยาที่เรียกกันว่า “กลางวันกึ่งกลางคืน” หลังจากต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตในคดีสังหารขุนตระเวนฯ ถูกส่งเข้าบางขวาง ท่านผู้มีพระคุณยังใช้บารมีของท่านทำให้ได้รับความสะดวกสบายกว่านักโทษทั่วไป เพราะอธิบดีกรมราชทัณฑ์และ ผบ.คุก เกรงบารมีท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกเพิ่มโทษอีกเมื่อป้องกันตัวจากอันธพาลในคุก

ถูกตีด้วยกระบองครั้งแรกหนึ่งสลบเพราะเล่นงานขาใหญ่ที่เป็นคนสนิทของหัวหน้าผู้คุมเข้าให้ ความเป็นน้องใหม่ไฟแรงจึงได้รับบทเรียนดังกล่าว นักโทษชายขาวบอกกับไพฑูรย์ว่าอยู่ที่นี่ต้องดูทิศทางลมคือ ต้องดูว่าคนที่จะต่อสู้ด้วยนั้นแน่ขนาดไหน ส่วนร่มเงาไม้คือ ดูว่าเป็นคนของใครด้วย

นั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้พฑูรย์คิดหลบหนีจากคุกบางขวางเป็นครั้งแรก ดังที่เคยได้เขียนให้อ่านกันไปแล้วออกจากคุกมาก็ได้เพื่อน คือ เจ้าอำไพ เจ้าประจวบ เจ้าหม่อมหลวงลออ หรือหม่อมหลวงกำมะลอ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนน้ำสาบานกันมาก่อนที่ไพฑูรย์จะติดคุกไพฑูรย์เล่าว่า

นายทหารพระธรรมนูญหนุ่มแวะไปดื่มเหล้าที่วิสุทธิกษัตริย์บาร์ ซึ่งสมัยนั้นเป็นบาร์ที่ทันสมัย มีพาร์ทเนอร์ที่เต้นรำเก่งไว้ให้แขกที่มีระดับเต้นรำด้วย จึงมีบุคคลหลายชั้นวรรณะมาเที่ยวที่นี่กันเป็นประจำ พาร์ทเนอร์ประจำวิสุทธิกษัตริย์บาร์ส่วนหนึ่งเป็นคนมีการศึกษา แต่ด้วยเหตุทางครอบครัวทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดจึงมาเป็นพาร์ทเนอร์

พาร์ทเนอร์ที่วิสุทธิกษัตริย์บาร์ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเต้นรำเท่านั้นไม่มีการขายบริการใครชอบพออย่างไรก็แล้วแต่เจ้าตัวจะเห็นดีเห็นงามจะไปลวนลามไม่ได้ เป็นกฎที่ทุกคนต้องเข้าใจ เพราะพวกเธอมิใช่คุณตัวในซ่องที่ขายบริการลูกเดียว

ไพฑูรย์ชอบพออยู่คนหนึ่งชื่อวงเดือน วงเดือนเป็นคนมีการศึกษาแต่เนื่องจากครอบครัวแตกแยกคุณพ่อที่เป็นข้าราชการอยู่กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) มีเมียน้อยทำให้ผู้เป็นแม่คิดมากเพราะเป็นลูกสาวผู้ที่มีชื่อเสียงในวงสังคม

ทางผู้ใหญ่พยายามจะเจรจาแต่ไม่เป็นผล ในที่สุด จึงมีการหย่าเกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่โตแม่ของวงเดือนทนอับอายไม่ไหวเพราะในวงสังคมสมัยนั้น การหย่าร้างของคนที่มีฐานะทางสังคมสูงนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย จึงฆ่าตัวตายเป็นข่าวอีกครั้ง วงเดือนจึงต้องอยู่กะผู้เป็นตายาย เหมือนกรรมซ้ำ ตาและยายเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปเจรจาการค้า เครื่องบินตก เสียชีวิตทั้งคู่

วงเดือนกำลังเรียนจึงต้องอยู่ในความดูแลของพ่อในเวลาต่อมา เพราะตากับยายทำการค้ามีหนี้สินอยู่มากเมื่อเสียชีวิตเจ้าหนี้จึงฟ้องยึดทรัพย์ขายทอดตลาดจนหมด ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงก็เหมือนขมิ้นกับปูนก็ละครน้ำเน่าดีๆนี่เอง ถูกความบีบคั้นหนักเข้า พอเรียนจบ วงเดือนจึงเลือกวิธีการหนีออกจากบ้านที่กรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยา) มาหางานทำเป็นครู

เงินเดือนครูสมัยนั้นน้อยมากไม่พอใช้จ่าย วงเดือนจึงได้รับการชักนำให้มาทำงานหารายได้พิเศษที่วิสุทธิกษัตริย์บาร์เพราะแม้จะเป็นงานที่ต้อยต่ำในสายตาของคนทั่วไปในตอนนั้นสมัยที่จอม ป. พิบูลสงคราม ท่านกำลังใช้ลัทธิชาตินิยมที่พูดกันติดปากว่า

“เชื่อผู้นำทำให้ชาติเจริญ”

จอมพล ป. ท่านบอกว่าการทำให้ชาวสยามสามารถยืนชนบ่ากับชาวตะวันตกได้คือ การทำตัวให้ทันสมัยเริ่มด้วยการสวมหมวก ไม่ว่าชายหรือหญิง เรียกว่า “มาลานำไทย” มองไปทางไหนก็มีแต่คนสวมหมวก เดินผ่านกันก็เปิดหมวกให้กันเหมือนกับฝรั่ง ขั้นต่อมา ให้ชาวสยาม “เลิกกินหมาก” เพราะดูแล้วล้าสมัย แถมยังบ้วนน้ำหมากไม่เป็นที่ ก่อความสกปรกให้บ้านเมือง

การกินหมาก เป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวสยาม เมื่อมีกฎห้ามเรื่องมันก็ยุ่ง เพราะหากมองกันในอีกแง่หนึ่งมันก็คือ “ลัทธิเผด็จการ” ดีๆนี่เอง เมื่อห้ามไม่ได้จึงมีกฎเหล็กมาบังคับใช้ ใครบ้วนน้ำหมากไม่เป็นที่ถูกตำรวจจับปรับ ใครกินหมากถือว่าไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจนที่สุด ก็มีการระดมตัดต้นหมากกันขนานใหญ่ เพื่อตัดรากถอนโคนมิให้คนกินหมากจีนสวนพลูถูกบังคับให้เลิกปลูกพลูหันไปปลูกพืชผักสวนครัวแทน

หมากพลูในยุคก่อนสงครามโลกจึงหายากมีราคาแพงทำให้คนแก่และผู้ที่กินหมากได้รับความเดือดร้อนมันเหมือนกับการบังคับจิตใจกันเหลือแสน ต่อมาคือการปรับคนกินหมากทำอยู่ได้นานพอสมควรแต่ที่สุดก็ต้องเลิกเพราะมีเสียงต่อต้านมากจึงเพลาลงไป

ที่นับว่าดูตลกที่สุดนั้นไพฑูรย์เล่าว่าก่อนออกจากบ้านให้หอมแก้มภรรยากลับบ้านก็ให้หอมแก้มภรรยาเพราะตอนนั้นอเมริกันชนที่เป็นตำรวจโลกกระทำกันจนติดเป็นนิสัย จอมพล ป. ท่านคิดว่าหากคนไทยทำบ้างก็จะทำให้เกิดความศิวิไลซ์มิใช่น้อย แต่สำหรับคนไทยที่เป็นคนขี้อายการทำแบบนั้นมันฝืนความรู้สึก แต่เมื่อถือนโยบายเชื่อผู้นำชาติเจริญเลยทำกันไปแบบแกนๆเพราะสิ่งหลังนี่ไม่ได้เข้มงวดเอาเป็นเอาตาย

รำโทนหรือรำวงเป็นอีกสิ่งหนึ่งมี่ในสายตาของท่านผู้นำเห็นว่าเป็นสิ่งล้าสมัยเป็นอย่างยิ่งจึงพยายามให้มีการลีลาศเข้ามาแทนที่ ทำให้รำวงตกอันดับลงไปใครรำวงถือว่าเชย หากใครลีลาศได้ถือว่าเป็นคนทันสมัย ไพฑูรย์จึงสรุปว่า สถานลีลาศเช่น สวนลุมพินี ศาลาแดง บางปู จึงเป็นแหล่งบันเทิงของคนทันสมัย ไฮโซ ส่วนบาร์ต่างๆคือแหล่งสังสรรค์ของคนที่ทันสมัยแต่ไม่ไฮโซ เช่น วิสุทธิกษัตริย์บาร์

ไพฑูรย์มักไปเที่ยวเต้นรำกับวงเดือนเมื่อมีเวลาว่างเพราะนายทหารหนุ่มตอนนั้นเงินเดือนน้อยแต่อาศัยว่ารับปรึกษาความให้ลูกความตอนยังสอบเนติบัณฑิตไม่ได้ พอมีรายได้อยู่จำนวนหนึ่งโดยมีสำนักงานทนายความของคุณพระนิติกรบริรักษ์เป็นผู้รับว่าความให้ลูกความของไพฑูรย์

เมื่อไพฑูรย์สอบเนติบัณฑิตได้แล้วจึงเป็นทนายความในสำนักคุณพระนิติกรแบบไปๆมาๆเมื่อจะขึ้นศาลว่าความจึงลาหยุดราชการไปว่าความ

วงเดือน เป็นที่หมายตาของแขกที่มาเที่ยว ต่างหมายที่จะได้วงเดือนไปเป็นภรรยาน้อยแต่วงเดือนไม่เล่นด้วย แม้จะเอาเงินมากองเอาทองมาล่อแต่วงเดือนไม่เคยปรายตาดู พอบาร์ปิดเธอก็นั่งสามล้อถีบกลับไปบ้านเช่าที่เขตนางเลิ้ง

คืนหนึ่ง เมื่อวงเดือนเตรียมตัวกลับบ้านด้วยสามล้อ นายประสิทธิ์ิพ่อค้าไม้ซุงที่มาติดพันวงเดือนเอารถมาจอดรับแต่วงเดือนปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าหากขึ้นอาจมีอันตรายจึงปฏิเสธและเดินหนีไปจะขึ้นรถสามล้อของนายเถื่อนสารถีขาประจำ

เจ้าจำนำสมุนของนายประสิทธิ์จึงเข้าไปฉุดวงเดือน นายเถื่อนจะเข้าไปช่วยแต่ถูกอัดจนกองกับพื้น

ไพฑูรย์เห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปช่วยเหลือ แต่ต้องรับมือกับลูกน้องของนายประสิทธิ์ถึงสี่คนแม้จะเรียนการต่อสู้มาเป็นอย่างดีก็เถิดสี่รุมหนึ่งที่เป็นของจริงมิใช่ในหนังพระเอกจะได้ชนะ

ไพฑูรย์กำลังเพลี่ยงพล้ำก็พอดีมีหนุ่มแปลกหน้ามาจากไหนก็ไม่รู้สามคนตรงเข้ามาร่วมวงไพฑูรย์กลายเป็นสี่ต่อสี่อย่างนี้ก็สนุกแน่

ไม่นานนัก สมุนของนายประสิทธิ์วิ่งกันกระเจิงไปทางที่รถของนายประสิทธิ์จอดอยู่ นายประสิทธิ์ชักปืนยิงขึ้นฟ้าขู่แต่หนึ่งในสามชายฉกรรจ์ที่มาช่วยไพฑูรย์วิ่งเข้าหาพร้อมด้วยดิ้วในมือไพฑูรย์บอกว่าเห็นนายประสิทธิ์สับไกใส่เสียงดัง”แชะ แชะ” ปืนไม่ลั่นคนรถรีบใส่เกียร์แล่นออกไปทันที ส่วนสมุนสี่คนพากันใส่สี่ตีนหมาวิ่งเปิดแนบหายไป

ไพฑูรย์ยกมือไหว้ขอบคุณชายแปลกหน้าทั้งสามคนที่มาช่วยจึงได้รู้ว่าชื่อ อำไพ ,ประจวบ ,และหม่อมหลวงลออ ไพฑูรย์ได้ให้นามบัตรกับทุกคนและเอ่ยปากขอเลี้ยงขอบคุณ ชายทั้งสามไม่ปฏิเสธแต่ให้ไปที่ภัตตาคารอาหารจีนไพฑูรย์บอกว่าจำชื่อไม่ได้ แต่จำได้ว่าต่อมาหลังสงครามโลกสงบ กลายเป็นภัตาคารเป็ดย่างที่มีชื่อเสียง

จากการเลี้ยงขอบคุณจึงได้รู้ว่า ทั้งสามคนเป็นคนของพี่เสงี่ยม นักเลงเก้ายอด ที่มีอิทธิพลในย่านนางเลิ้ง ที่นายประสิทธิ์ยิงไม่ออกเพราะมียันต์เก้ายอดที่ หลวงพ่อหรุ่น วัดอัมพวัน สักให้ติดตัวอยู่

คืนที่เกิดเหตุ ทั้งสามคนไปเที่ยวซ่องที่บ้านพานถมแล้วเดินผ่านมาพอดีเห็นคนสี่คนรุมคนๆเดียวทนดูไม่ได้จึงเข้าช่วยเหลือ

นับแต่วันนั้นมาไพฑูรย์กับสามเกลอได้สาบานเป็นเพื่อนเกลอกันต่อหน้าพี่เสงี่ยมที่เป็นพยาน

สามเพื่อนตายของไพฑูรย์ใช้คาถาที่หลวงพ่อหรุ่นท่านมอบให้ภาวนาที่เรียกว่า “พระพุทธคุณเก้ายอด” มีอยู่9อักขระคือ

“ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ภะ พุ สะ ปุ โล สุ วิ สัง อะ”

วรรคแรกเป็นอักขระตัวตรง ส่วนวรรคหลังเป็นอักขระตัวกลับ หลวงพ่อหรุ่นท่านบอกไว้ว่า ให้ภาวนาไว้ให้มั่นใจคุ้มครองได้แบบครอบจักรวาลตั้งแต่มหาอุตไปจนถึงแคล้วคลาดจะสักยันต์เก้ายอดหรือไม่ก็ใช้ได้ผล เจ้าอำไพบอกว่า เลือกวันพฤหัสบดี ใส่บาตรพระหนึ่งองค์พร้อมดอกไม้ธูปเทียน อุทิศกุศลให้หลวงพ่อหรุ่นเก้ายอด จึงเริ่มเรียนจะขลังนัก

*เพิ่งเสร็จธุระว่าจะกลับมาลงกลับต้องมาติดช่วยงานศพตาแอดมินอีกสักพักต้องขออภัยที่เรื่องราวลงช้าด้วยนะครับเสร็จงานศพจะกลับมาพิมพ์ลงให้ครับ

บทนะโมคือบทนมัสการพระคาถาก่อนร่ายพระเวทย์ทุกอย่างควรขึ้นด้วยนะโมทุกครั้งครับ (เว้นแต่จวนตัวจริงๆก็อนุโลมได้ครับ) พระคาถาต่างๆบางที่เปลี่ยนท่องแบบ มคธ ไม่ต้องตกใจนะครับ เป็นพระคาถาเดียวกันนั้นแหละภาษามคธคร่าวนั้นจะเปลี่ยน (พ)เป็น(ป) * (ค)เป็น(ก) *
*(ท)เป็น(ด) * (ช)เป็น(จ) เช่น นะ มะ พะ ทะ ก็จะเป็น นะ มะ ปะ ดะ ประมาณนี้ครับ อันที่จริงจะเปลี่ยนก็ได้ไม่เปลี่ยนก็ได้ครับ เพราะพระคาถาคือเครื่องระลึกรู้ของจิต หากจิตเป็นสมาธิท่องอะไรก็ขลังเหมือนกันหมด

*หากว่าแฟนเพจท่านใดต้องการรับฟังเรื่องราวของอาจารย์ไพฑูรย์และตำนานต่างๆเป็นแบบฉบับเรื่องเล่าก็สามารถติดตามได้ทางเพจ สองยาม
ซึ่งทางแอดมินเพจเรื่องเล่าสองยามท่านได้ทำเผยแพร่เป็นวิทยาทานและทางแอดมินเพจ นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว ทุกท่านก็ขอร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยนะครับที่สละเวลาสร้างเรื่องเล่าดีๆให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก : สองยาม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: