3744. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 3 แดง ไบเล่ย์ ดำ เอสโซ่ กับ ปุ๊ ระเบิดขวด (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 3 แดง ไบเล่ย์ ดำ เอสโซ่ กับ ปุ๊ ระเบิดขวด (เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ดึกแล้ว ที่ตรอกสลักหิน หัวลำโพงมีผู้คนและยานพาหนะสวนกันเข้าออกบางตาในตรอกอันระเกะระกะด้วยเข่งเป็ด-ไก่ที่กองสุมกันอยู่หน้าตึกแถวชาวจีนทั้งสองฝั่ง มีไฟโคมบนเสาสูงทิ้งช่วงเอื้อความสว่างห่างกันมากแสงสว่างของถนนภายในตรอกจึงฉายให้เห็นสภาพความสกปรกบนถนนเลือนราง ถนนสายนี้ เพิ่งจะโรยคาวกลิ่นน้ำกาม

บริเวณกลางตรอกมีต้นหว้าใหญ่แผ่กิ่งก้านและใบร่มครึ้มคร่อมถนนจรดอีกฝั่ง ตรงโคนค้นหว้ามีกองศาลพระภูมิเล็ก ใหญ่ พร้อมตุ๊กตาปั้นตัวเล็กๆ ปรักหักพัง กลาดเกลื่อนอยู่ใกล้ๆ กับกองลังไม้ฉำฉาสูงจรดหัว

ที่กองลังไม้ฉำฉานี้ เด็กชายวัย ๑๐ ขวบได้ใช้เป็นที่นั่งคอยมารดาตนเพื่อกลับบ้านพร้อมกันทุกคืนโดยมีวันเวลา หมุนเวียนเปลี่ยนสภาพกองไม้นั่นด้วย เจ้าของสิทธิขนย้ายไปขาย แล้วไปเหมาซื้อจากท่าเรือคลองเตยมาใหม่ จนถึงคืนนี้เด็กชายอายุย่างเข้า ๑๓ ขวบ

เวลา ๓ ปี ใน ตรอกสลักหิน ดงโสเภณีไม่ใช่ห้องเรียน เพราะช่วงเวลาที่หนูน้อยคอยแม่อยู่บนลังไม้ใต้ต้นหว้า มีรีวิวชีวิตผู้คนเพศชายทุกสารบบให้นั่งมองพฤติกรรมก่อนเข้าเสพกามและกลับออกไป

ทุกคืนจะมีจักรยานสามล้อตีกระดิ่งกริ๊งกร๊างลั่นตรอกขณะบรรทุกชายร่างกำยำผ่านตาไปจอดที่หน้าประตูบ้านไม้ หลังใหญ่ติดไฟโคมสีเขียว บางคราวก็ใช้แท็กซี่นั่งอัดกันมา ยิ่งตรงกับวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์จะมีพวกกรรมกรคนงาน เช่ารถบรรทุกขนาดเล็กหรือขนาดกลางเข้าไปเสพสุขจนตรอกสลักหินคล้ายมีงานประจำปีเช่นวัดไตรมิตรฯ

นี่คือสูตรผสมของสังคมสู่เด็กชาย ต่อมาเวลารอคอยของเด็กชายสิ้นสุดลง หญิงวัยสาวใหญ่ใบหน้าสวยเข้มหลุดจากประตูบ้านโคมเขียวเดินไปหาท่าทีลุกลน

“คืนนี้แม่ผิดเวลาอีกแล้ว” เด็กชายบอก
“แขกมันตื้อแม่….” นางบอกลูกชายระคนหอบ “แม่ต้องหลบมันอยู่ พอมันออกไปแล้วแม่ถึงออกมาได้…ไปเหอะ”

จบคำ นางโอบรอบหลังลูกพาเดินออกไปปากตรอกอย่างรีบร้อน ไม่ถึงร้อยเมตร นางหยุดเดินส่องดวงตาเขม้นมอง ชายร่างยักษ์ที่กำลังปรี่เข้าหา “แดง อย่าวู่วามนะ” นางกระซิบเสียงพร่า สิ้นเสียง มือมารหยาบกร้านคว้าจับมือนาง ปากที่คลุ้งกลิ่นเหล้าระเบิดคำ

“อีสัตว์ โฉม”

คำปรามของมารดาเมื่อครู่ไม่ได้ผล เมื่อเห็นแม่ถูกกาลีชนลากราวทาส แดงกระชากโบวี่ขนาดกลางที่พกติดตัวอยู่ กระซวกมัน กระชากชีวิตชั่วทิ้งคาถนนแต่บัดนั้นนี่คือเขา แดง ไบเล่ย์ วัยคะนองผู้โด่งดังในเวลานี้ หลัง ๒ ยอดยุทธ์ เก๊า ม้าเก็ง เข้าคุกและ พัน หลังวัง ถูกเล็ก “ต่วน” ทะลวงอกดับที่ศูนย์การค้าวังบูรพาแล้ว บรรดาวัยคะนองดังเก็บตัวเงียบ ยิ่งผมเองระยะนี้เข้าห้องเรียนบ่อย

เหตุเพราะรุ่นใหญ่ออกสำแดงเดชตระเวนยึดครองทุกถิ่นทุกตำบล เพื่อเตรียมโกงการเลือกตั้งที่จะมีถึงข้างหน้านี้ พวกเราเป็นเด็กจึงหลีก แต่ที่ต้องหลบเพราะวัยกับประสบการณ์ยังบริสุทธิ์ต่อเชิงนักเลง คิดเพียงว่า “นักเลงจริง” ต้องไม่อาศัยปลอกคออยากดวล ท้าอยากฆ่า ตาม

มีเท่านี้ สำหรับ แดง ไบเล่ย์, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่ รวมไปถึงฝ่ายกุมารจีน สุมาอี้ และ เก๊าตี๋ กลุ่มวัยคะนองเก็บตัวเงียบจนการเลือกตั้งผ่านไปอย่างสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของประเทศไทยที่มีมา

ผมกับเพื่อนขนาดคลั่งอยู่กับเอลวิสและเจมส์ดีนเฮไปตามประสาวัยรุ่นไม่เคยสนใจบ้านเมืองว่าจะขึ้นช้างลงม้าอย่างไร กลับต้องมาจับตาดูเงี่ยหูฟังว่าหลวงท่านจะเอายังไงกับเจ้าสำนักหัวลำโพงที่พาสมุนบุกเข้าชิงกล้องถ่ายรูปพร้อมฟิล์ม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งต่อหน้าชาวบ้านนับร้อย

หลังเลือกตั้ง ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์โดย นายควง อภัยวงศ์ โวยรัฐบาลโกงการเลือกตั้งและเรียกร้องให้การเลือกตั้ง ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ ผล…จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกกระทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขับจอมอัศวินใหญ่ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ หลุดจากขวานทองตามวัฏจักร

พอคณะรัฐประหารตั้งคณะบุคคลบริหารงานแผ่นดินเรียบร้อย หนี้ค้างชำระของเจ้าสำนักหัวลำโพงที่กระทำต่อ สถาบันหนังสือพิมพ์ปูดขึ้นอีกครั้ง พักเดียวบรรดาชาวยุทธ์รุ่นอาวุโสก็ถูกคำสั่งกวาดล้างด้วยข้อหา ” ประพฤติตนเป็นบุคคลอันธพาล ”

ผู้อาวุโศถ้วนหน้าหนีกระเจิดกระเจิง ชาวยุทธ์วัยคะนองแฮปปี้ ครับ ผมก็ไปตามประสาผม เรียนมั่ง เที่ยวมั่งเกเรบ้าง จนวันหนึ่งตอนพักเที่ยง ผมออกจากวิทยาลัยไปยืนป้ออยู่หน้าตลาดเจริญผล ก็ถูกนักมวยดังเพื่อนร่วมวิทยาลัย อดุลย์ สุขสำราญ (ศรีโสธร) ตำแหน่งรองหัวหน้าใหญ่มาลาก ข้ามถนนไปยังฝั่งร้านกาแฟ “นายชำ” พบเฟืองดังรุ่นพี่ดนัย ตุลยพรรณ (สารวัตรกริช กำจร ในภาพยนตร์เรื่อง “เล็บครุฑ”) กับมาน เจริญผล และ มัด “ลีบ” นั่งอยู่ที่โต๊ะนั่นก่อนแล้วจึงร่วมเสวนา

พักเดียว เรื่องร้ายจากปากแชมป์ ” มงกุฏเพชร ” ถูกบอกแก่ทุกคน

“เรามารู้เรื่องว่าพวกเราไปรับท้าฝ่ายพระนครเหนือตอนเช้าที่นี่แหละ จึงพยายามติดต่อกับรัตนชัย ( ลูกชายนายกังวาน วีรนนท์ เจ้าพ่อบางนกแขวก ) มาตั้งแต่เช้า ถึงป่านนี้ยังหาตัวไม่เจอเลย”
“สาเหตุมันมาจากอะไร” ดนัยถามถึงเหตุ
“หญิง” อดุลย์ตอบเสียงขึ้นจมูก
“ฉิบหาย เรื่องนี้ปล่อยให้มันตีกันดีกว่า” บังมานร้อน

อดุลย์สบตาผมเหมือนจะบอกบางสิ่ง แต่ไม่กล้าผมเลยเปิดทาง

“ดุลย์มีเรื่องจะพูดหรือ”
“มี แต่เราคงให้พวกนายช่วยไม่ได้หรอก มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

ประโยคนี้ของแชมป์มงกุฏเพชรเร้าใจพวกเรามากกว่าล้า ดนัยจึงรุก

“ดุลย์ขยายความมาเลยว่ามันยังไงกัน เรื่องทั้งหมด”

ยอดนักชกบอกทันที ” ฝ่ายพระนครเหนือมันไม่ได้ท้าเจอแค่ ๑๐ – ๒๐ คน มัน ท้า ทั้งวิทยาลัย และมันจะมากันเป็นคันรถ เพราะบอลของมันเข้าชิงชนะเลิศ ที่แน่ๆ พวกนั้นมีพวกปุ๊กับดำคุ้มกันด้วย

“ช่างมันปะไร นายคุมเด็กของเราอย่าให้ก่อเรื่องก่อนก็แล้วกัน” ดนัยว่า
“คุมไม่อยู่แล้ววะ” อดุลย์ทำเสียงเพลีย

คำตอบเพื่อนพาให้งง พลอยซักบ้าง ” ทำไมถึงคุมไม่อยู่ล่ะใครดื้อหรือ”

“พวกนั้นมันหาหัวหน้าแทนเราแล้ว”
“ใคร…” มัด “ลีบ” แอะบ้าง
“แดง”
“ไม่ใช่”
“ไอ้แดง โบวี่” บังมานระบุแทน
อดุลย์หล่นคำขรึม “แดง ไบเล่ย์ว่ะ”

คำบอกเพื่อนเจ็บเหมือนหนังเนื้อถูกเฉือนจึงปรึกษาความนี้ ลงมติใจกันทำเท่าที่เวลายังมีอีก ๔ ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน ฟุตบอลอาชีวิะภายในสนามศุภชลาศัยจะเริ่มขึ้น พักใหญ่ต่างจึงลงมติให้แบ่งกำลังเราทั้งหมดออกเป็น ๒ สาย แยกกันระงับศึกนักศึกษาครั้งนี้ ผมกับบังมานถูกกำหนดให้เคลียร์ทาง แดง ไบเล่ย์ ส่วนอดุลย์, มัด “ลีบ” และดนัยเคลียร์ทางฝ่าย ปุ๊ ระเบิดขวด ดำ เอสโซ่

เฉียดบ่ายโมง ผมกับบังมานจับแท็กซี่จากเจริญผลมุ่งเข้าวังบูรพาเป็นจุดแรก พอเหยียบเข้าร้านหรดีด้านหลังโรงภาพยนตร์ควีนส์ พบ นิด กุหลาบ , หมู พรานนกและ หมู เจตน์ นั่งคั่วเด็กเรียนย่านถนนศรีอยุธยาอยู่ จึงปราดไปถามทว่า เจอค้นตัวกลางร้านอาหารจากสก็อต สน. พระราชวังทันควัน ค้นเสร็จไม่เจอของเถื่อนผู้หมวดหนุ่ม ซึ่งเกลียด ขี้หน้าพวกเราเข้ากระดูกตะคอกใส่

” สักวันอั้วจะลากคอไอ้พวกนักเรียน- นักเลงเข้าคุกให้ได้ ”

กลุ่มสก็อตไปแล้ว ผมกับบังมานยังยืนไม่ไปหน้ามาหลังอยู่กลางร้านจนนิด กุหลาบ ละจาก ” เด็ก ” มาอรรถเหตุทั้งหมดว่า ผมกับบังมานมาช่วงจังหวะ ” ซวย ” เพราะพวกร้านปืนแถววังบูรพาลอบขนอาวุธปืนสั้น ( เถื่อน ) เข้าร้านเป็นคันรถ จึงมีบรรดา
ลูกชายตัวดีนำออกมาขายแก่เพื่อนๆ วัยรุ่นวังบูรพาถึง ๑๐๐ กระบอก ส่วนใหญ่กลุ่มวัยรุ่นดังรับซื้อไป ที่เหลือขายให้นายบ่อน แต่บังเอิญ ข่าวนี้มี ” นิ้วเพชร ” บอกหมวดภมรฯ แกจึงยกกำลังมาคอยดักค้นตัวทุกคนที่ผ่านบริเวณนี้

ออกจากร้านหรดี ผมกับบังมานซึ่งกลายเป็น “คู่เหมือน” มาแล้ว ๒ งานออกเดินไปตลาดมิ่งเมือง พาหุรัด เฉลิมกรุง สอบถามหา แดง ก็ได้คำตอบว่า วันนี้ยังไม่มีใครพบหน้าเขาเลย

บ่ายสามโมง ผมกับบังมานนั่งกินโอเลี้ยงอยู่ปากตรอกโรงงานผลิตน้ำส้มไบเลย์ข้างคุก รวงรังของแดงอย่างหมดกะใจ ติดตามหา ที่สำคัญเงินในกระเป๋าเรา ๒ คนขณะนี้ไม่พร้อมใช้แท็กซี่เป็นพาหนะ ถ้าติดตามกันยันมืด จึงปักหลักที่นี่คอยสัก ครึ่งชั่วโมง พอน้ำโอเลี้ยงหมดเติมน้ำชาแทน แดงกับบริวารปรากฏตัวตามที่คาดเลยอาศัยร้านกาแฟเป็นที่เจรจา ความหว่านล้อมมิให้เขาไปตามที่นัดหมายไว้กับเพื่อนนักศึกษา แดงกลับย้อนถาม

“บอกเหตุผลหน่อยได้ไหม ที่ห้ามเรา ในเมื่อเราเพียงเข้าไปเชียร์บอล ไม่ได้ไปตีกะใคร”

บังมานผางก่อน “เราเห็นว่างานนี้พวกไอ้ปุ๊กับไอ้ดำมันจะไปเหมือนกัน”
“นายเลยกลัวว่าเราจะไปทำงานเขาพัง”

ผมออกโรงเพราะหน้าที่โดยตรง ” เราไม่กลัวงานพังหรอกเพื่อน เราเกรงรุ่นน้องมันจะยกทัพตีกันทั้งวิทยาลัยจนเสีย อนาคตมากกว่า ถ้าฝ่ายคุ้มครองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดลงมือก่อน ”

“หากเราไม่ตกลง” แดงถามยิ้ม ๆ
“เราห้ามนายไม่ได้” ผมบอกความจริง “ที่มานี่ เพราะมันเป็นวิทยาลัยที่เราเรียนอยู่ จะอย่างไรถ้านายจะไป เราขอร้อง ให้เห็นแก่อนาคตเด็กรุ่นน้องบ้างก็แล้วกัน”
“ถ้าเราจะไปดูบอลเฉยๆ ล่ะ” แดงซักอีก
“เพื่อนให้สัญญากับเราได้ไหมว่า จะไม่ยุ่งกะพวกไอ้ปุ๊ ไอ้ดำถ้าเจอกัน”
“เราจะไปกะนายเลยก็ได้ ถ้านายดูบอล”
“โอเค”

ราว ๑๖.๐๐ น. แดง, แหลมสิงห์, บังมานและผมมาถึงด้านหน้าสนามกีฬาแห่งชาติแล้ว แต่เดินเตร่สังเกตการณ์ เพื่อนนักศึกษาฝ่ายปทุมวันด้วยความเป็นห่วงช่วงหนึ่ง ขณะหยุดพักบริเวณปั๊มน้ำมัน แดงกล่าวลอยๆ “รู้สึกว่าทั้งพระนครเหนือทั้งปทุมวันจะแบ่งฝั่งกันยืน”

ผมเห็นเช่นที่เพื่อนบอกเหมือนกัน จึงบอกทุกคนให้คอยอยู่ก่อน แล้วลิ่วเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน รายงานพฤติการณ์ที่เห็นให้อาจารย์สมศักดิ์ (อาจารย์สอนยูโด) กับท่าน ผอ. อาจารย์ สิทธิผล รับทราบ ๒ อาจารย์ยืนมองนิ่งเฉย อึดใจอาจารย์สิทธิผลถามทีท่าไม่ใส่ใจ

“พวกที่จะตีกันนี่ มีพวกเธอด้วยใช่ไหม”

ผมไม่ฟังคำกระแหนะกระแหนท่าน รายงานต่อ “ขณะนี้ถ้าทั้งสองฝ่ายตีกัน อะไรจะเกิดขึ้นกระผมกราบอาจารย์ ลองออกไปดูกับตาก็ได้ครับ”

“ลองดู”

พออาจารย์สิทธิผลรับเรื่องและออกไปดูสภาพการณ์สองฝั่งถนนหน้าสนามกีฬาชัดตา ๒ อาจารย์ถึงกับลงแรงไล่ ศิษย์นับร้อยให้กลับบ้านด้วยตนเองโกลาหล ส่วนเรา ๔ คนเดินหลบไปหาเครื่องดื่มด้านหน้าตลาดเจริญผลกิน สมุนของ บังมานเข้ามารายงานให้รู้ว่า ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่ นั่งอยู่ที่ร้านนายชำ จึงข้ามฝั่งไปหาถึงได้รู้ว่าแชมป์มงกุฏเพชร

อดุลย์ ศรีโสธร, ดนัยและมัด “ลีบ” สามารถดึงปุ๊กับดำมานั่งที่นี่ได้พร้อมทั้งยังทำให้ทั้ง ๒ หัวหน้าสำนักสัมผัสมือกัน เป็นครั้งแรก นับแต่ศึก ” สิบสามห้าง ” บางลำพูปิดเกมอย่างไร ปุ๊และดำกับแดงและแหลมสิงห์แทบไม่ค่อยพูดจากัน จวบ ๕ โมงเย็น เราทั้งหมดจึงออกจากร้านนายชำสู่สนามศุภชลาศัยท่ามกลางนักศึกษาชายหญิงรั้วอาชีวะทุกแขนงแน่นอัฒจันทร์ศุภชลาศัย

เมื่อกลุ่มวัยคะนองดังขึ้นปรากฏตัว เสียงตะโกนเรียกชื่อพวกเขาพร้อมรอยยิ้มมีให้ตลอดทางที่เดินขึ้นบันไดซีเมนต์ อัฒจันทร์หาที่นั่งเหมาะ ผมเป็นคนช่างสังเกตรอบตัวทุกที่ที่มีตัวเองอยู่ พบกึ่งกลางอัฒจันทร์ศุภฯ อันเป็นแท่นที่ประทับในหลวงบัดนี้คล้ายถูกแบ่งสีน้ำเงินออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ (เครื่องแบบนักศึกษารั้วเฟือง) โดยมีแท่นประทับองค์พระประมุขดุจเส้นขนาน ผมลอบพรูลมหายใจยาว

ร้อนในทรวงเพราะ ๒ เฟือง (อาจารย์ใหญ่เดียวกัน) ฮึ่มฮั่มจะปะทะกันไม่เสร็จ พอโผล่ขึ้นถึงบริเวณแท่นที่ประทับ ยังปรากฏบ่อนเถื่อน (ปั่นแปะ) ราวๆ ๕ – ๖ วงแฝงอยู่ให้เพิ่มดีกรีความร้อนขึ้นอีก เลยผินหน้ากลับไปกลางสนามแทน กลับถูกบังมานสะกิดแขน และบอก

“ไปไล่ไอ้พวกห่านั้นดีกว่า”

ผมฉวัดตามองดาวดังทุกนามชนิดจากใจถึงใจ ต่างผงกหัวรับเห็นพ้องต้องกันจึงทำหน้าที่ตุลาการไล่บรรดานักพนัน วัยคะนองให้ละการพนันเข้าชมฟุตบอลแทน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือด้วยดีจากเพื่อนชาวอาชีวะที่ชมชอบการพนัน

เสร็จกิจการปรามนักพนัน สัญญาณนกหวีดระรัวลั่นมาจากสนามศุภฯ ทุกผู้ให้ความสนใจบอลคู่ชิงชนะเลิศสายอาชีวะที่กำลังลงสนาม ส่วนผมมองดวงอาทิตย์ลอยดวงเด่นอยู่เหนือหลังคาตึกกรมพละ คิดถึงพฤติกรรมของอดุลย์, ดนัย, แดง, แหลมสิงห์, ปุ๊, ดำ, บังมานและมัด “ลีบ” ว่า เพื่อนคิดอย่างไรถึงรวมใจกันรานน้ำใจรุ้นน้องทำลายศรัทธาที่ทุกคนมีให้ ?

(เขียนโดย สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: