3728. ประหารนางทองเลื่อน (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

◎ประหารนางทองเลื่อน◎ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เรื่อง นี้ไพฑูรย์ได้ย้อนหลังกลับไปเมื่อครั้งสมัยยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม ได้มีโอกาสไปดูการประหารชีวิตนางทองเลื่อน ที่หนังสือพิมพ์สมัยนั้นให้ฉายาว่า (นางทองเลื่อนใจยักษ์) ไพฑูรย์ได้เล่าเรื่องของนางทองเลื่อนใจยักษ์นักโทษประหารว่า เป็นนักโทษประหารที่ถูกประหารก่อนนายบุญเพ็ง หีบเหล็ก คือราย นางทองเลื่อนใจยักษ์ รายต่อมาคือนาย ลอง จึงมาถึงนายบุญเพ็ง หีบเหล็ก

เมื่อประหารนายบุญเพ็ง หีบเหล็ก แล้ว พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 จึงมีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวในแดนประหารกลาง แจ้ง มาเป็นการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในโรงยิงเป้าแทน เพื่อให้ทันสมัยแบบเดียวกันกับนานาอารยประเทศ การประหารนักโทษด้วยดาบจึงยุติลง ดาบเพชฌฆาตปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ตำรวจเป็นผู้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เดิมทีอยู่ที่วังปารุสกวันแต่เดี๋ยวนี้จะยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ ไม่ยืนยัน

นาง ทองเลื่อนเป็นชาวสุพรรณบุรี เป็นลูกสาวคนสวยของนางทองทมแม่ม่ายผัวถูกงูเห่ากัดตาย มีนายทองจบเป็นน้องชายคนสุดทอง ชาวนาสมัยนั้นทำนาตามฝนปีไหนฝนตกดีน้ำท่าไม่ท่วม ก็สามารถเก็บเกี่ยวข้าวไปขายได้เงินมาซื้อเสื้อผ้า มาไว้ใช้จ่ายนอกนาและเก็บข้าวส่วนหนึ่งไว้ทำพันธุ์ปีต่อไป ปีไหนฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลฝนทิ้งช่วง มีแมลงศัตรูพืชมากน้ำท่วมหนัก ปีนั้นข้าวเสียหายก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แพง ปีหน้าฟ้าใหม่ทำนาได้ดีก็ต้องใช้หนี้เจ้าหนี้อดมื้อกินมื้อเที่ยวขุดหัวกลอย มันนก มันมือเสือ มันป่ามากินแทนข้าวเพื่อประทังชีวิต

ปีนี้นางทองทม ได้รับการทาบทามจากผู้ใหญ่อุ่ม ให้นางสาวทองเลื่อนแต่งเนื้อแต่งตัวให้สะสวย เพื่อเป็นเทพีนั่งเสลี่ยงคานหามทำพิธีแห่นางแมวขอฝน เพราะในตำบลนี้นางสาวทองเลื่อนรูปร่างสะสวยกว่าเพื่อน นางสาวทองเลื่อนก็แต่งตัวด้วยชุดผ้าโจงกระเบนคาดแถบสไบ ทัดดอกไม้ ทาปากสีแดง ขึ้นคานหามมีขบวนแตรวงกับกลองยาวแห่นำไป ตามด้วยคานหามที่มีแมวตัวเมียหนึ่งตัวใส่ไว้ในกรง มีคนฟ้อนรำนำขบวนปากก็ร้องว่า (นางแมว นางหมา ขอฟ้าขอฝน ขอให้ฟ้าคำรน ตำหัวนางแมว ตาละล่า) ผ่านไปบ้านไหนเจ้าของบ้านก็เอาปี๊บใส่น้ำเตรียมไว้ พอกรงนางแมวผ่านก็สาดโครมนางแมวเปียกม่อลอกม่อแลก กว่าจะแห่ครบรอบหมู่บ้านนางแมวก็ปวดบวมตายในเวลาต่อมา

ส่วนในโบสถ์ พระก็สวดรัตนสูตร อันเป็นพระพุทธมนต์บทแรกในครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสประทานแก่พระอานนท์ ให้สวดสาธยายไปรอบเมืองเวสาลีที่เกิดฝนฟ้าแล้ง มีโรคระบาดร้ายภูตผีปิศาจแฝงอยู่ตามบ้านเรือน ระหว่างสวดพระปริตให้เอาน้ำสะอาดใส่บาตรแล้วประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปทั่ว เมือง บัดนั้นฟ้าฝนก็ตกอย่างหนักน้ำฝนชะล้างโรคระบาด เหล่าเทพยดาต่างแผ่รัศมีทำลายภูติผีปิศาจจนหมดไปจากเมืองเวสาลี เมืองเวสาลีก็กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้งฝนตกลงมาอย่างหนัก ไร่นาพลิกฟื้นแต่หนี้สินดอกเบี้ยบาน ได้ข้าวมาเจ้าหนี้ก็ตวงข้าวเปลือกไปใช้หนี้เหลือไว้แค่กินกันตาย

นาย ปลูก ลูกชายจอมผลาญของผู้ใหญ่อุ่ม เกิดต้องตาต้องใจนาวสาวทองเลื่อนลูกสาวนางทองทม จึงให้ผู้ใหญ่อุ่มไปทาบทามเสนอสินสอดเป็นทองและเงินสดจำนวนมาก นางทองทมเห็นว่าหากลูกสาวได้แต่งงานกับนายปลูก ก็จะอยู่เย็นเป็นสุขและพลอยฟ้าพลอยฝนมาถึงนางด้วยจึงกล่อมลูกสาว แต่นางสาวทองเลื่อนแย้งแม่ว่า

นางสาวทองเลื่อน (อันการที่แม่จะให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝากับนายปลูกนั้น ลูกเห็นว่านายปลูกเป็นคนเจ้าชู้เที่ยวได้ลูกสาวชาวบ้านแล้วไม่เลี้ยง ผู้ใหญ่อุ่มต้องเอาเงินไปเสียให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นค่าทำขวัญ เมื่อลูกไปอยู่กับเขาแล้วเขาไปมีเมียใหม่อีกลูกก็ต้องกินน้ำตา)

นาง ทองทม (เห็นแก่แม่เถอะลูก ทองรูปพรรณที่เป็นสินสอดแม่จะเก็บไว้เป็นทุน พลาดพลั้งเขาทิ้งเราก็ยังอยู่กันได้ ขอให้ลูกช่วยยกฐานะครอบครัวด้วยเถิด)

นางสาว ทองเลื่อนจึงตกลงแต่งงานกับนายปลูก ผู้ใหญ่อุ่มจัดพิธีให้อย่างดีสินสอดนางทองทมเป็นคนเก็บไว้ แต่งงานได้หนึ่งปีนายปลูกเกิดไปชอบนางสาวระรวยสาวงามตำบลโพธิ์ทอง จึงวางแผนเอาทองรูปพรรณที่เป็นสินสอดเดิมที่แต่งงานกับนางสาวทองเลื่อนไป เป็นสินสอดสู่ขอนางสาวระรวยโดยที่ผู้ใหญ่อุ่มไม่รู้เรื่อง โดยไปจ้างช่างเงินจำลองแบบเหมือนกับทองคำจากนั้นก็เอาไปกะหลั่ยทองจนดูเป็น ทองคำ ใช้ความสนิทสนมกับนางทองทมนายปลูกก็เปลี่ยนเอาของจริงไปเอาเงินชุบมาใส่ไว้ แทน ทองคำแท้กับประคำสายทองที่เป็นสมบัติเก่าของบิดานางสาวทองเลื่อน ที่เป็นเม็ดประคำทองร้อยด้วยสายสร้อยทองก็ถูกนายปลูกเอาไปด้วย นายปลูกนำเอาทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินสอดแต่งงานใหม่ แล้วมาหลอกขอเรือนไทยที่ผู้ใหญ่อุ่มปลูกไว้เป็นเรือนสำรองเพื่อเป็นเรือนหอ

นาย ปลูกนำนางสาวระรวยสาวงามบ้านพานทองมาอยู่กินตำตานางสาวทองเลื่อน วันหนึ่งนางสาวทองเรือนไปหานายปลูกที่เรือนหอ แต่นายปลูกไปเล่นเบี้ยโบกที่บ่อนนางสาวทองเลื่อนจึงรู้จากปากนางสาวระรวยว่า นายปลูกบอกว่ายังไม่มีลูกไม่มีเมีย ขณะคุยนางสาวทองเลื่อนก็เหลือบไปเห็นประคำสายทองสมบัติเก่าคล้องที่คอนางสาวระรวย จึงถามว่า

นางสาวทองเลื่อน(ประคำสายทองนี้ได้มาจากไหนหรือจ๊ะ สวยจัง ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย)

นางสาวระรวย (อ๋อ…พี่ปลูกเขาให้จ้ะ เขาบอกว่าเป็นสมบัติเก่าของพ่อ ฉันสวมประจำแหละเพราะชอบมาก)

นางสาว ทองเลื่อนกลับมาหานางทองทมแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง นางทองทมบอกว่านายปลูกมักจะเข้าไปขลุกอยู่ในห้องที่เก็บสินสอดอยู่เสมอ แต่ไม่แน่ใจว่าขโมยไปหรือเปล่าเพราะเปิดกำปั่นดูก็เห็นว่าของอยู่ครบ นางสาวทองเลื่อนจึงให้นางทองทมไปหยิบกำปั่นมาเปิดดู เห็นว่าประคำสายทองหายไปส่วนสินสอดที่เป็นทองคำก็ลอกกระดำกระด่าง นางทองทมกรีดร้องและเป็นลมต่อมานางทองทมล้มป่วยหนักด้วยความช้ำใจไม่นานก็ ตาย เผาศพนางทองทมแล้วนางสาวทองเลื่อนก็เก็บความแค้นไว้ในใจ วันหนึ่งได้เรียกนายทองจบน้องชายมาปรึกษา

นางสาวทองเลื่อน (เจ้าปลูกมันทำร้ายพวกเราจนแม่ตรอมใจตาย มันหลอกเอาทองที่ควรเป็นของเราไปแต่งงานใหม่ แถมประคำสายทองสมบัติของพ่อมันก็เอาไปให้ผู้หญิงคนใหม่ คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้มันจะก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไม่สิ้น หากน้องเห็นด้วยกับพี่เรามาร่วมมือกันฆ่ามันให้ตายแก้แค้นให้แม่เถอะ)

นายทองจบ (พี่ทองเลื่อนเห็นอย่างไร ฉันก็เห็นดีด้วย ลงมือเมื่อใดบอกฉันก็แล้วกัน)

วันพระ นางสาวระรวยหาบสำรับไปทำบุญที่วัด นายปลูกนั่งกระดิกเท้าอยู่บ้านวันนี้บ่อนปิดมันจึงไม่ต้องเสียเงิน ส่วนนางสาวทองเลื่อนก็นัดนายทองจบมาหาที่บ้าน นางสาวทองเลื่อนถอดหอกใบข้าวเอาแต่ใบหอกห่อผ้าใส่กระจาด แลัวจึงเอาผลไม้วางทับไว้ด้านบนส่วนนายทองจบน้องชายให้ถือไม้คมแฝกพากันเดิน ไปหานายปลูกที่เรือน นางสาวทองเลื่อนกระเดียดกระจาดผลไม้ขึ้นไปบนเรือน นายปลูกเห็นดังนั้นก็แปลกใจร้องถามว่า

นายปลูก (หายโกรธกูแล้วหรือ เมิงจึงมาเหยียบเรือนกู เอาผลหมากรากไม้มาด้วยอย่างนี้)

นางสาวทองเลื่อน (ฉันคิดถึงพี่ ไม่ได้หลับนอนกันมานานแล้ว ตอนนี้แม่ระรวยไปวัด ฉันจึงแอบมาหาพี่ยังไงล่ะ)

นายปลูก (วางกระจาดไว้ตรงนั้น อย่าเสียเวลาเลย เราเข้าห้องไปหาความสุขกันเถิด)

ว่า แล้วก็หมุนตัวกลับเดินนำหน้านางสาวทองเลื่อนไปที่ห้องนอน นางสาวทองเลื่อนก็พยักหน้าให้นายทองจบน้องชาย ดึงไม้คมแฝกออกมาจากถุงผ้าแล้วร้องเรียกนายปลูกพี่เขยว่า

นายทองจบ (ไอ้ปลูก หันหน้ามาหน่อยซิ )

พอ นายปลูกหันหน้ามา คมแฝกในมือนายทองจบก็ซัดเข้าให้ที่ทัดดอกไม้ ความคมของเหลี่ยมที่ทำไว้เปิดบาดแผลกว้าง นายปลูกเซแซดๆ เลือดจากบาดแผลพุ่งกระฉูดล้มลงกับพื้น นางสาวทองเลื่อนร้องบอกน้องชาย

นางสาวทองเลื่อน (ส่งไม้มาให้พี่แล้วหลบลงจากเรือนไป ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของพี่เอง)

ขณะ นายปลูกนอนชักกับพื้น นางสาวทองเลื่อนก็ใช้ไม้คมแฝกตีซ้ำที่ศีรษะและใบหน้า จากนั้นได้หยิบหอกใบข้าวออกมาจากก้นกระจาด เอาหอกใบข้าวแทงคอหอยแทงหัวใจจนหนำใจแล้วจึงหนีกลับไปบ้าน นางสาวระรวยกลับมาก็พบนายปลูกนอนตายจมกองเลือดจึงวิ่งไปบอกชาวบ้าน ผู้ใหญ่อุ่มแจ้งไปยังสถานีตำรวจเดิมบางนางบวชเพื่อจับคนร้าย ติดตามร่องรอยจนได้เค้าว่าฆาตกรคือนางสาวทองเลื่อนเมียคนแรกของนายปลูก ส่วนนางสาวทองเลื่อนก็ไม่ได้หนีไปไหนอยู่รอมอบตัว และให้การกับตำรวจว่าเป็นคนลงมือฆ่านายปลูกสามีตัวเอง รับสารภาพว่าตีด้วยไม้คมแฝกและแทงด้วยปลายหอกใบข้าว สาเหตุเพราะผู้ตายหลอกเอาทองรูปพรรณที่เป็นสินสอดไป แล้วให้ช่างทำเทียมด้วยเงินนำไปชุบทองมาให้แทน และยังขโมยประคำสายทองสมบัติตกทอดของพ่อตนไปให้ภรรยาใหม่ส่วนที่มี พยานเห็นนายทองจบร่วมทางไปกับนางสาวทองเลื่อน เมื่อส่งสำนวนฟ้องไม่มีหลักฐานยืนยันว่านายทองจบร่วมฆ่านายปลูก จึงยกประโยชน์ให้จำเลยที่ 2 พ้นผิด ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตนางสาวทองเลื่อนจำเลยให้ตายตกตามกันไป ให้ส่งตัวมาที่บางกอกเพื่อทำการประหารชีวิต คุกที่นางสาวทองเลื่อนถูกนำมากักตัวต่อมาเป็นที่ตั้งของศาลอาญากรุงเทพฯ ริมคลองหลอดในปัจจุบัน สถานที่ประหารคือวัดโคก (วัดพลับพลาชัย) ตอนนั้นเป็นป่าช้าอันสงบเงียบ สมัยนั้นก่อนประหาร 3 วันเขาจะพาตระเวนบกให้ผู้คนได้เห็นหน้านักโทษพร้อมป้ายบอกความผิด สถานที่และเวลาประหารให้คนเข้าไปดูได้ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู ไพฑูรย์ได้เดินทางไปกับบ่าวไพร่เพื่อไปดูการประหารนางสาวทองเลื่อน ที่ผู้คนให้ฉายาว่า (นางทองเลื่อนใจยักษ์) ฆ่าสามีตัวเองตายอย่างทารุณ แต่ไม่ได้บอกถึงความเลวของสามีที่เป็นเหตุให้นางสาวทองเลื่อนต้องกลายเป็น ฆาตกร

ไพฑูรย์ ได้เล่าเรื่องการประหารชีวิตนางสาวทองเลื่อน โดยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเขายังเรียนหนังสืออยู่ ม.6 เนื่องจากไพฑูรย์ได้เข้ามาอยู่ในใบบุญของผู้มีบุญวาสนาในฐานะบุตรบุญธรรม มีบ่าวไพร่คอยเอาอกเอาใจเมื่อมีการประหารนางสาวทองเลื่อนจึงต้องการไปดู ประกอบกับผู้ที่ทำหน้าที่ประหารคือ พระธำมรงค์แผ้ว หรือ ขุนรอนริปูมลาย เป็นเพชฌฆาตดาบหนึ่ง คุ้นเคยกับท่านผู้เป็นใหญ่ที่ให้การอุปถัมภ์ไพฑูรย์ ขุนรอนฯ เคยเล่าถึงดาบเพชฌฆาตว่าเป็นดาบอาถรรพณ์ ปรกติจะเก็บไว้ในเรือนจำคลองเปรมเดิม ขุนรอนฯ เล่าว่า(วันใดที่ได้ยินเสียงดาบสั่นกระทบกับที่วางดาบ ภายใน 7 วันต้องมีคำสั่งเตรียมการประหารชีวิต) ก่อนประหารหนึ่งวันจะมีการเซ่นดาบเพชฌฆาต โดยนำออกไปวางตั้งโต๊ะไว้กลางแจ้งมีหัวหมูหนึ่งหัว บายศรีปากชามหนึ่งคู่ เหล้าโรงหนึ่งขวด แก้วหนึ่งใบ น้ำฝนหนึ่งแก้ว จุดธูปสามดอกปักไว้

เมื่อ จะเซ่นดาบให้จุดธูปหนึ่งดอกไว้ในกระถาง แล้วกล่าวคาถาเซ่นดาบว่า (นะโม อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสะวัณโณ ภูตาวา สัมภะเวสีวา สัพเพยักขาปะรายันติ) รอจนธูปหมดดอกจึงนำดาบไปลับด้วยหินลับ น้ำที่ใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ที่พระเกจิอาจารย์ท่านเสกเอาไว้ด้วยรัตนสูตร ลับจนคมแล้วจึงนำกลับมาวางบนที่วางเอาพวงมาลัยดอกไม้สดแขวนไว้ที่ด้ามแล้วนำ ดาบไปเก็บไว้ที่ห้องตามเดิม สำหรับเพชฌฆาตเมื่อจะไปยังสถานที่ประหารก็จะแต่งตัวด้วยผ้าหยักรั้งสีแดง ใส่เสื้อกั๊กที่มีอักขระอาคม เอามงคลสวมศีรษะ กราบพระทำจิตใจให้สงบ นำผ้าแดงที่มีอักขระเลขยันต์มาห่อดาบมัดด้วยสายสิญจน์ ยกขึ้นจรดหน้าผากภาวนาคาถาแล้วจึงออกเดินทาง

สำหรับฝ่ายจัดสถานที่จะ ปักหลักที่แดนประหาร ขุดหลุมสำหรับฝังศพเพราะจะต้องฝังศพให้ครบ 7 วัน เพื่อให้แน่ใจว่านักโทษตายจึงอนุญาตให้นำศพไปประกอบพิธี นับจากหลักประหารมาประมาณ 50 ก้าวจะทำซุ้มประตูเรียกว่า (ประตูป่า)โดยเอาต้นระกำที่มีหนามแหลมมาเป็นโครงด้านใน แล้วนำทางมะพร้าวมาหุ้มไว้ด้านนอกเอาใบหนาด ใบข่า มาสะให้เหลือเพียงช่องที่คนวิ่งมุดเข้าไปได้ ด้านในเป็นโต๊ะสำหรับพระยืนมีศิษย์ถือบาตรน้ำมนต์สองคน ต่อจากนั้นเป็นทางสำหรับเพชฌฆาตเดินทางกลับหลังประหารชีวิตนักโทษแล้ว ไพฑูรย์เคยถามขุนรอนฯว่าไม่รู้สึกกลัวหรือรู้สึกบาปหรือ ขุนรอนฯท่านตอบว่า

ขุนรอนฯ(ไม่คิดอะไร เพราะว่าหนึ่ง..นักโทษทำผิดอาญาแผ่นดินถูกศาลลงโทษประหารถือว่าถึงที่ตาย สอง…ตัวผมกับนักโทษไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยโกรธเคืองกัน ไม่เคยอาฆาตมาดร้ายจึงถือว่าไม่มีเวรต่อกัน สาม…ผมทำหน้าที่โดยสุจริตไม่เคยเห็นหน้านักโทษประหารมาก่อน แล้วนักโทษประหารก็ไม่เคยเห็นหน้าผมมาก่อน สี่…ผมขออโหสิกรรมก่อนประหารว่า ข้าฯ ไม่รู้จักท่าน ไม่เคยโกรธเคืองกับท่าน ข้าฯทำตามหน้าที่ขอท่านโปรดอโหสิกรรมต่อข้าฯ”)

ย่ำ รุ่งวันประหารไพฑูรย์นัดกับบ่าวไพร่ให้แจวเรือไปวัดโคก มีไอ้บุญกับไอ้เปล่งเป็นคนแจวเรือมีไอ้กลับนั่งไปด้วยเพื่อช่วยพายขากลับ ไปถึงท่าน้ำที่จะไปวัดโคกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ที่ไหนได้ยังกับมีงานวัดมีแสงคบไฟจุดไว้โดยรอบแดนประหาร มีคนมายืนดูกันสลอนแต่ตำรวจหลวงกันไม่ให้เข้าใกล้หลักที่ขึงเชือกไว้ ใครล้ำเข้ามาจะถูกไม้พลองยันหน้าอกให้ถอยกลับไป มองไปบนต้นไม้เห็นบรรดาไทยลิงคือคนไทยที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นลิง ปีนขึ้นไปดูบนต้นไม้กันแน่นขนัด ไพฑูรย์ปีนขึ้นต้นไม้ที่อยู่ใกล้หลักประหารพอมองเห็นได้ เจ้าเปล่งร้องเตือนว่า

เจ้าเปล่ง (คุณชาย ระวังนะครับที่มานี่ท่านไม่รู้ ถ้าคุณชายแข้งขาหักหรือเป็นอะไรไป ท่านเอาพวกผมตายแน่ ไม่พามาก็โดน พามาก็โดน โอ๊ยพวกผมนี่มันอยู่ระหว่างเขาทรพีแท้ๆ)

ในที่สุดนางทองเลื่อนก็มา ถึงแดนประหาร โดยถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนมีตำรวจถือปืนยาวคุมมาสี่คน เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้อ่านคำสั่งประหารให้นางทองเลื่อนฟัง นางทองเลื่อนฟังด้วยความสงบเจ้าหน้าไขปลดโซ่ออกจากมือนางทองเลื่อน เหลือไว้แต่ตรวนที่ขาแล้วจูงเดินไปยังแดนประหาร มัดติดกับหลักประหารมือทั้งสองข้างพนมมัดด้วยสายสิญจน์ ที่มือมีดอกบัวกับธูปเทียนมัดเป็นกำยัดไว้ในมือ ปลายข้อเท้ามีตรวนล่ามเหยียดยาวไปข้างหน้า เจ้าหน้าหยิบก้อนสำลีมาอุดหูทั้งสองข้างแล้วปิดด้านนอกด้วยดินเหนียว เพื่อป้องกันนางทองเลื่อนได้ยินเสียงปี่เสียงกลอง ผ้าดำแถบใหญ่ถูกนำมาผูกตารวบไปมัดปมไว้ด้านหลัง ขุนรอนฯ เพชฌฆาตดาบหนึ่งเดินออกจากด้านหลังประตูป่า ตอนนี้ปี่ชวากับกลองเริ่มบรรเลงเพลงเพื่อเพชฌฆาตจะได้ร่ายรำ ไพฑูรย์บอกว่ารู้สึกแปลกใจที่เพชฌฆาตดาบหนึ่งไม่ได้เป็นคนร่ายรำแต่เป็น เพชฌฆาตดาบสองที่รำแทน

เพชฌฆาตดาบสองร่ายรำวนทางซ้ายไปรอบตัวนางทอง เลื่อน ใช้ส้นเท้ากระทืบดินเป็นบางจังหวะ กระทืบทีหนึ่งนางทองเลื่อนก็สะดุ้งทีหนึ่ง ขุนรอนฯ บอกว่าการกระทืบเท้าลงบนพื้นดิน เป็นการทำลายขวัญของนักโทษที่มีวิชาอาคม ที่จะภาวนาให้เนื้อหนังเหนียวต้านทานคมดาบ การกระทืบเท้าให้แผ่นดินสะเทือนเป็นการตัดสมาธิในการภาวนา จะได้ไม่อาจต้านทานคมดาบได้ เมื่อเพชฌฆาตดาบสองร่ายรำจนครบสามรอบ ขุนรอนฯ เข้าประจำที่เงื้อดาบขึ้นสุดแขน หวดใบดาบลงที่คอของนางทองเลื่อน ศีรษะเลื่อนพับลงไปด้านล่างแต่ไม่ขาดออกจากตัวห้อยอยู่ที่หน้าอก เพชฌฆาตดาบสองเดินเข้าไปจิกผมนางทองเลื่อนดึงศีรษะให้หงายขึ้น ใช้ดาบเชือดหนังกำพร้าที่ติดอยู่ขาดออกจากกัน แล้ววางศีรษะนางทองเลื่อนไว้ที่ปลายเท้า ใช้มีดเชือดส้นเท้าที่ใต้เอ็นร้อยหวายให้ขาดเพื่อรูดตรวนออก จากนั้นก็วิ่งกลับออกไปจากแดนประหารทางประตูป่า

เจ้า หน้าที่นำร่างที่ปราศจากศีรษะของนางทองเลื่อนลงไปในเฝือกที่อยู่ก้นหลุม เอาศีรษะมาต่อเข้าด้วยกันกลบหลุมศพเอาป้ายชื่อปักไว้ ต่อมาขุนรอนฯ บอกว่าวิญญาณนางทองเลื่อนมาเข้าสิงนางสาวเกลียว ญาติพาไปที่บ้านให้ช่วยขับไล่ผีนางทองเลื่อน ตอนขุนรอนฯ ใช้มงคลที่สวมศีรษะเวลาประหารมาสวมคอนางสาวเกลียว นางสาวเกลียวร้องว่า (โอยร้อนเหลือเกิน ร้อนเหมือนไฟบรรลัยกัลป์ ฉันชื่อทองเลื่อนไม่ได้มาทำร้ายใคร แต่ไปไหนไม่ได้เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดเอาประคำสายทองของพ่อฉันไว้ แล้วไปมอบให้ผู้ใหญ่อุ่ม ช่วยฉันด้วยเถิดช่วยติดตามทวงให้ด้วย ฉันจะให้น้องชายตกทอดต่อไป) ขุนรอนฯ รับปากจะช่วยผีนางทองเลื่อนจึงยอมออกจากร่าง ขุนรอนฯ ได้นำเรื่องไปแจ้งแก่นายอำเภอและตำรวจว่า ประคำสายทองที่เป็นเหตุให้ฆ่ากันตายเป็นของนางทองเลื่อน เกิดการสอบสอนกันขึ้นประคำสายทองจึงคืนกลับไปยังน้องชายนางทองเลื่อนตามที่ นางทองเลื่อนต้องการ

ศพนางทองเลื่อนถูกนำไปฌาปนกิจศพตามประเพณี นั่นแหละจึงประจักษ์ว่านางทองเลื่อนท้องอ่อนๆ ไม่มีใครจึงดุร้ายตายทั้งกลม ขุนรอนฯ เล่าว่า (วันนั้นรู้สึกผิดประหลาดคือเมื่อฟันดาบลงไปแล้ว เหมือนมีแรงอะไรสักอย่างมาปะทะที่มือทำให้แรงฟันลดลง รู้สึกเลยว่าใบดาบถูกกระดูกก้านคอหัวจึงไม่ขาดจากบ่า ตอนหลังจึงมารู้ว่านางทองเลื่อนท้องอ่อนๆ นางทองเลื่อนมีความผิดแต่เด็กที่ถือกำเนิดไม่ผิด จึงเท่ากับประหารคนไม่ผิดไปด้วย”) ทั้งนี้เพราะนางทองเลื่อนโกรธแค้นสามีมากและรู้ว่า หากบอกว่าท้องจะมีการชะลอการประหารออกจนกว่าจะคลอด แต่นี่มารดานางทองเลื่อนก็ตายน้องชายก็ไม่สามรถเลี้ยงหลานได้ นางทองเลื่อนจึงต้องการให้ลูกตายไปพร้อมกัน

ไพฑูรย์ถามขุนรอนฯ ว่าวันที่ไปดูมันไกลมองไม่เห็นว่าขุนรอนทำอะไรบ้าง ขุนรอนฯ จึงเล่าว่าเมื่อประหารนางทองเลื่อนแล้ว ขุนรอนฯ ใช้ปลายลิ้นเลียเลือดที่ติดใบดาบเป็นเคล็ด ก่อนจะใช้ปลายดาบขีดกากบาทลงบนพื้นระหว่างหลักประหารกับประตูป่า จากนั้นวิ่งเข้าประตูป่าห้ามหันหลังกลับไปดูไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น เสียงร้องเรียกชื่อ เสียงคนวิ่งตามหลังมา ให้มุดเข้าประตูป่าไปเลยพระที่ยืนอยู่บนโต๊ะจะเอาน้ำมนต์เทราดทั้งบาตร จากนั้นจึงกลับที่พักเพชฌฆาตดาบสองก็เช่นกัน ต้องวิ่งผ่านประตูป่าเพื่อรดน้ำมนต์ก่อนกลับที่พัก ภายใน 7 วันให้กลับเข้าบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ตกดึกได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทักห้ามตอบ ผีตายโหงตามทวงวิญญาณพ้น 7 วันไปแล้วก็ปลอดภัย

ไพฑูรย์ถามว่ามีเพชฌฆาตเสียทีผีนักโทษประหารหรือ ไม่ ขุนรอนฯ บอกว่าเท่าที่รู้มีอยู่รายเดียวชื่อพระธำมรงค์คร้าม บรรดาศักดิ์จำไม่ได้ ประหารเสือกล่ำซึ่งเป็นหัวหน้าโจรมีวิชาอาคม เมื่อพระธำมรงค์คร้ามไปขออโหสิกรรมแต่เสือกล่ำไม่ยอม พระธำมรงค์คร้ามลุแก่โทสะจนลืมข้อห้ามที่ว่า ไม่ว่านักโทษจะอโหสิกรรมหรือไม่ หรือพูดจาข่มขู่อย่างไร ก็ให้สงบปากอย่าโต้ตอบ แต่พระธำมรงค์คร้ามสวนไปว่า (ไอ้เดนคน จะตายโหงอยู่ยังปากดี เก่งกว่ากูยังตัดคอมาแล้ว ไอ้เมิงน่ะไม่เท่าใดดอก) การกระทำเช่นนี้คืออาการของจิตไม่นิ่ง เพชฌฆาตต้องมีจิตนิ่ง ไม่โกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาทต่อนักโทษประหาร เพราะนั่นคือการเปิดทางให้เวรสนอง หัวของเสือกล่ำหลุดจากบ่าแต่พระธำมรงค์คร้าม สะดุดเท้าตัวเองล้มลงระหว่างวิ่งเข้าประตูป่า ตัวพลิกกลับมาด้านหลังร้องได้คำเดียวว่า (อย่า…) แล้วแน่นิ่งไป

เจ้า หน้าที่วิ่งไปถึงก็ช่วยอะไรไม่ได้ พระธำมรงค์คร้ามมีเลือดออกทางจมูก ทางตา ทางหู คอเขียวคล้ำหักหมุนได้รอบ แพทย์บอกว่าคอหักเพราะสะดุดเท้าแล้วล้มเอาหัวทิ่มดิน แต่เพชฌฆาตดาบสองบอกกับขุนรอนฯ ว่าพระธำมรงค์คร้ามตายเพราะผิดครูที่ไปอาฆาตเสือกล่ำ จึงเสียทีถูกวิญญาณเสือกล่ำเล่นงานจนตาย…

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพสวยๆจาก : Tapae Inn

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: