3724. เผชิญหน้าคุณพระปลัด (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เผชิญหน้าคุณพระปลัด (ปลัดขิก)

ฮินดูนับถือพระศิวะ พระพรหม เเละพระนารายณ์ โดยถือว่า พระพรหมเป็นผู้สร้าง พระศิวะเป็นผู้ประทานพรและพิทักษ์โลก ส่วนพระนารายณ์คือผู้ปราบทุกเข็ญบนโลกมนุษย์

นอกจากเคารพในองค์ท่านเเล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ”ศิวลึงค์”(อวัยวะเพศของพระศิวะ)ทำด้วยโลหะ หินแกะสลัก ปูนปั้น ไม้ฯลฯ ในประเทศไทย ศิวลึงค์เข้ามาพร้อมกับศาสนาพราหมณ์จนปัจจุบันพราหมณ์ถือว่าศิวลิงค์ใช้ป้องกันอันตรายจากภัยธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า อัคคีภัย หรือแม้เเต่การกระทำของมนุษย์

พระเกจิอาจารย์ยุครัตนโกสินทร์ สร้างศิวลึงค์ด้วยไม้คูนเป็นหลัก เเต่ไม่ได้เรียกว่า ”ศิวลึงค์”เรียกว่า ”ปลัดขิก”(คุณปลัด)ใช้อักขระขอมจารที่ข้างลำตัวปลัดและที่หัว ปลุกเสกจนว่ายน้ำได้เป็นเครื่องรางที่มีอำนาจทางคงกระพันชาตรีและมหาอุด ที่โคนเจาะรู ร้อยเชือกไว้สำหรับคาดเอว

มีบางพวกใช้ปลัดขิกแล้วกลับเห็นผิดเป็นถูก โดยเชื่อว่าปลัดขิกชอบของสกปรก จึงมักเอาน้ำกาม มาทาที่ปลัดขิกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเอาป้ายไว้ที่ผ้าเช็ดหน้าสีขาว ทำทุกครั้งจนผ้าเช็ดหน้ามีสีคล้ำด้วยความสกปรก เมื่อเข้าต่อสู้กัน พวกนี้จะใช้ปลัดขิกป้องกันตัว ก่อนต่อสู้จะเอาผ้าที่เปื้อนน้ำกามสะสมฟาดลงไปที่ศีรษะหรือใบหน้าของคู่ต่อสู้

ไพฑูรย์บอกว่าคนที่ทะนงว่าหนังเหนียว เจอกับพวกเล่นศิวลึงค์แบบที่เรียกว่าสุดลิ่มทิ่มประตูชนกับพวกนี้เเล้วเอาซีวิตไปทิ้ง เพราะเมื่อโดนฟาดด้วยผ้าสกปรกแล้วความขลังของพระเครื่องหรือเครื่องรางจะหมดไปชั่วคราว ที่สุดก็ถูกพวกใช้ปลัดขิกฆ่าตาย

ที่สามารถต่อสู้กับศิวลึงค์ได้มีสองอย่างคือ”อิ้น”เป็นเครื่องรางรูปชายหญิงกอดกัน กับ”อีเป๋อ”เป็นรูปผู้หญิงนั้งถ่างขาเห็นอวัยวะเพศ พวกนี้เป็นเครื่องรางฝ่ายต่ำ คนที่มีคุณพระปลัดจะสู้ไม่ได้เพื่อนพ้องของไพฑูรย์เสียซีวิตจากการต่อสู้กับผู้มีปลัดขิกมากมาย ทั้งนี้เพราะคนพวกนั้นไม่ได้ศึกษาให้กระจ่างเเจ้ง จึงเป็นฝ่ายเเพ้พ่าย

เมื่อไพรฑูรย์เข้าคุกครั้งที่ 3 ผู้บัญชาการเรือนจำขณะนั้นเปลี่ยน คราวนี้พ่วงรองผู้บัญชาการเรือนจำเข้าไปด้วย เพื่อให้ทำงานสะดวกและรวดเร็วขึ้น เพราะย้ายมาพร้อมกัน วันที่ผู้บัญชาการเรือนจำแนะนำรองผู้บัญชาการเรือนจำให้นักโทษได้รู้จัก ไพรฑูรย์เล่าว่า

รอง ผ.บ.เรือนจำคนนี้ เนื้อหนังไร้รอยสัก ที่คอใส่สร้อยเส้นโตแต่ไม่มีพระเครื่องหรือไม้กางเขนห้อยหอ เมื่อท่าน ผบ.เรือนจำแนะนำเสร็จเเล้วก็กลับขึ้นไปบนตึกอำนวยการ
รองผบ.เรือนจำกล่าวกับนักโทษว่า”อั๊วชื่อเดช”ส่วนนามสกุลอั๊วพวกลื้อไม่สมควรรู้ อั๊วได้ยินมานานแล้วว่าคุกบางขวางนี่มีตัวแสบเยอะ อั๊วบอกพวกลื้อไว้ตรงนี้เลยว่า อั๊วก็มีดีเหมือนกัน พวกลื้อคอยดูให้ดี

ว่าแล้วรองผบ.เรือนจำก็ดึงมีดโกนออกมาจากกระเป๋ากางเกง สะบัดใบมีดโกนคมขาววับออกมาไม่พูดพร่ามทำเพลง ใช้ใบมีดโกนเชือดเนื้อท้องแขนตัวเองให้ดู โดยวางใบมีดโกนลงบนเนื้อแล้วกระชากอย่างเเรง ไพรฑูรย์นึกในใจว่า อ้ายพวกขี้คุย เดี๋ยวเถอะมึง ท้องแขวนเหวอะหวะเเน่

แต่เปล่า เนื้อท้องเเขนรองผบ. เรือนจำกลับเป็นเเค่เส้นสีเเดงๆ มีเพียงเลือดออกซิบๆเท่านั้นการกระทำเช่นนั้นหากไม่เเน่จริงต้องหามไปให้หมอเย็บ จึงนึกนิยมอยู่ในใจ
อยู่ไปไม่นาน รองผบ.เรือนจำก็เริ่มออกลาย เมื่อกินเหล้าเข้าไปพอตึงๆ ก็จะท้าทายนักโทษที่เป็นขาใหญ่มาผลัดกันเเทง แต่ขาใหญ่เกรงบารมีจึงไม่มีใครกล้ายุ่งกับรอง ผบ.เรือนจำ เพราะกลัวว่าจะถูกเพิ่มโทษ

ที่สุดถึงคิวของสิงโตหิน เพราะขาใหญ่บางขวางล้วนยอมศิโรราบ วันหนึ่งการเผชิญหน้ากันระหว่างสิงโตหินกับรอง ผบ.เรือนจำก็เริ่มขึ้น

”มึงนี่หรือสิงโตหิน ตัวเท่าลูกหมา เขาว่ามึงเป็นอาจารย์ใหญ่ช่วยเหลือร่างฏีกาช่วยนักโทษ เเละหนังดีนัก กูอยากรู้ว่ามึงเป็นศิษย์สำนักใด”

ไพรฑูรย์ตอบไปว่า ”ผมเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม สำนักวัดหนองโพ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ มีรอยเท้ากับมีดหมอหลวงพ่อไว้ป้องกันตัวครับท่านรอง”

”สำนักหนองโพหรือ สู้ของกูไม่ได้หรอกเหนียวเเค่ไหนกูปราบมาหมดแล้ว พวกมึงมันกระจอก….”

ได้ยินดังนั้น ไพรฑูรย์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าที่โดนหมิ่นซึ่งๆหน้า
”ชายชาตรีเขาไม่ลบลู่ชายชาตรีด้วยกันหรอกครับท่านรองหากผมลบหลู่อาจารย์ท่านบ้างท่านจะว่าอย่างไร”

”กูไม่มีอาจารย์ ของดีของกูมาจากธรรมชาติ วันหนึ่งมึงต้องเจอกับกูเเน่ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึงมึงก็จะหยุดหายใจ”

”ก็เเล้วเเต่ท่านรอง ผมไม่ว่าอะไร เพราะผมมันเป็นนักโทษ”

”สิงโตหินถอดใจเสียเเล้ว นึกว่าจะเเน่สักแค่ไหน…”

วันต่อมา น.ช.แดนขาใหญ่ถูกรองผบ.เรือนจำท้าทายให้มาสู้กัน เเต่น.ช.เเดนไม่กล้าต่อกรด้วยเพราะกลัวความผิดฐานทำร้ายผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
”ผมไม่กล้าสู้ท่านหรอกครับ ผมยอมเเพ้ ท่านเก่งที่สุดนี่”

”มึงเป็นขาใหญ่ไม่ใช่หรือ ทำไมจึงแหยเเบบนี้วะ แล้วต่อไปใครจะเกรงใจมึง”

เพื่อยุติเหตุการณ์ที่จะลุกลามต่อไป น.ช.เเดนจึงเดินเลี่ยงหนี แต่ช้าไป เมื่อรองผบ.เรือนจำควักผ้าเช็ดหน้าสีมอๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วตวัดผ่านศีรษะของ น.ช.แดนจากนั้นใช้ไม้กระบองที่เอวหวดลงไปกลางกบาลของ น.ช.เเดน เนื้อหนังที่เคยเหนียวก็ไม่เหนียว หัวเเตกเลือดไหลอาบ

”มีอะไรไหม หากมึงไม่พอใจก็ไปฟ้อง ผบ.เรือนจำได้เลย กูจะรอที่ตึกอำนวยการ”

หลังจากทำแผลเเล้ว น.ช.แดนได้ไปหาไพรฑูรย์ น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบ

”อาจารย์ ผมหมดสิ้นเเล้วทุกอย่าง อ้ายรอง ผบ.คุกมันเล่นงานผมจน กบาลเเบะ”

”มันทำยังไงบอกมาให้ละเอียดสิ”

น.ช.แดนจึงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ไพรฑูรย์จึงรู้ว่ารอง ผ.บ.เรือนจำ คือผู้เล่นศิวลึงค์เเละปลัดขิกฝ่ายต่ำ จึงบอกกับ น.ช.แดนว่า

”เพราะไปเล่นกับพวกปลัดขิกฝ่ายต่ำ นายจึงหัวเเบะ แต่ไม่ตลอดไปหรอก ต่อไปนายก็จะเหนียวอีก มันทำให้เสื่อมชั่วคราวเท่านั้น”

”แต่ผมก็หมดความน่านับถือลงไป ใครจะรับผิดชอบ”

”เอาเถอะ วันหนึ่งนายต้องได้เเก้มือเเน่”

หลังจากวันนั้นรองผบ.เรือนจำ ก็เล่นงานขาใหญ่จนหมดทุกแดน เหลือเพียงไพรฑูรย์เท่านั้น รองผบ.เรือนจำจึงมาท้าทาย

”เหลือมึงคนเดียวเเล้วอ้ายสิงโตหิน กูอยากจะฉะกับมึง มันครั่นเนื้อครั่นตัวนอนไม่หลับ”

”ท่านรอง ผมอยากสู้กับท่านแต่น.ช.แดนอยากจะเเก้มือ เขาเป็นศิษย์ของผม ผมก็ไม่ได้คุยว่าเเน่ หากท่านให้ น.ช.แดนแก้มือแล้วเขาเเพ้ท่านอีก คราวนี้ผมจะสู้กับท่าน ตามที่ท่านต้องการโดยไม่มีข้อเเม้”

”ตกลงนัดวันมาได้เลย”

ถึงวันนัด ”ไพฑูรย์เรียก น.ช.แดนมาพบแล้วมอบว่านกระชายดำที่ซุกซ่อนไว้ในตะเข็บกางเกงเป็นว่านเสกที่หลวงพ่อเดิมให้ไว้หลังจากที่ท่านฝังว่านกระชายดำให้เเล้ว

”เคี้ยวกินให้ลิ้นชา หน้าเห่อแล้วไปสู้กับมัน คราวนี้มันเสร็จเเน่”

นักโทษที่รู้ข่าวต่างพากันมาเชียร์ เพราะหมั่นไส้รอง ผบ.เรือนจำกร่างไปทั่ว ก่อนการต่อสู้มีการเอาหนังสือสัญญาที่ระบุว่าทั้งสองสมัครใจสู้ หากพลาดพลั้งถึงตาย จะไม่มีการเอาความใดๆมาให้ น.ช.แดน ลงนาม

อาวุธที่ใช้เป็นมีดประเเดะที่รองผบ.เรือนจำเป็นคนจัดมา

เมื่อให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ น.ช.เเดนกรากเข้าหา แต่โดนผ้าเช็ดหน้าสกปรกสะบัดข้ามหัว น.ช.แดนแทงสวนด้วยมีด แต่รอง ผบ.เรือนจำฉากออกด้านข้าง คมมีดเฉือนเอวออกไปเเบบเส้นยาเเดงผ่าเเปด

รองผบ.เรือนจำเตะขวาสกัดชายโครง น.ช.เเดนร้องด้วยความจุกเสียด แต่ก็พยายามหันตัวกลับมาเเต่ช้าไปอีก เมื่อปลายมีดประเเดะกระเเทกเข้าที่ยอด อก ไพฑูรย์สังเกตเห็นสีหน้าของรอง ผบ.เรือนจำถอดสี เมื่อปลายมีดไม่หายเข้าไปในอกของ น.ช.แดนซึ่งหงายหลังลงไปกระเเทกพื้นดังพลั่ก รองผบ.เรือนจำกรากเข้าไปยกเท้าขึ้นหมายกระทืบยอด อกให้ยุบ แต่ น.ช.แดนหลบทัน เตะตัดข้อเท้าของรอง ผบ.เรือนจำจนตัวลอย หงายหลังฟาดพื้นเต็มรัก

นักสู้ทั้งสองหยัดยืนขึ้นอีกครั้ง ผลัดกันเเทงอย่างไม่สะทกสะท้าน จนยืนหอบแดดด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไพฑูรย์ลุกขึ้นยืนร้องตะโกนว่า

”พักยกให้หายเหนื่อย เสมอกันยังทำอะไรกันไม่ได้”
ตอนพักยก ไพฑูรย์กระซิบกับ น.ช.แดน แล้วยื่นอะไรบางอย่างให้ ก่อนจะเริ่มยกเข้าต่อสู้กันใหม่ น.ช.แดนอมสิ่งที่ไพฑูรย์ให้ไว้ในปาก

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น สองฝ่ายแทงกันจนตัวเป็นจ้ำแดงจ้ำเขียว แต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้ ในที่สุดก็เข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย น.ช.แดนอยู่ข้างล่าง มีรองผบ.เรือนจำเอามือค้ำคออยู่ข้างบน มือที่เเข็งเหมือนคีมเหล็กบีบคอของ น.ช.แดนขย้ำเต็มเเรง

น.ช.แดนส่งเสียงอึกอักในลำคอเพราะหายใจไม่ออก พลันนึกถึงคำเตือนของไพฑูรย์ขึ้นมาได้มือที่ทอดลงข้างกายยกขึ้นมาหยิบบางอย่างที่ใช้ลิ้นปลิ้นออกมาที่มุมปาก จากนั้นก็วางมือลงนิ่งๆ

รองผบ.เรือนจำเร่งมือบีบกะให้ตายคามือ นัยน์ตาของน.ช.แดนเหลือกจนเห็นเเต่ตาขาว รองผบ.เรือนจำส่งเสียงคำรามลั่น
แต่จากเสียงคำรามก็กลายเป็นเสียงร้องโอยของรองผบ.เรือนจำ เมื่อมือของ น.ช.แดนตวัดสิ่งที่ปลิ้นออกมาจากมุมปากในลักษณะกรีดท้องเเขนของรองผบ.เรือนจำ เลือดพุ่งกระฉูดออกมาทันทีรองผบ.เรือนจำผละออกจากร่างของ น.ช.แดนใบหน้าซีดเผือด เพราะเป็นครั้งเเรกที่เลือดตกยางออก

น.ช.แดนได้วิ่งไปหยิบมีด วิ่งกลับมากะว่าจะสวนยอดอกให้มิดด้าม แต่ไพฑูรย์ร้องตะโกนสุดเสียงว่า

”อย่า อย่าฆ่าเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ระดับสูง หนังสือรับรองการต่อสู้นั้น ถ้านักโทษตายจะมีผลบังคับ แต่ถ้าเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ตาย หนังสือรับรองการต่อสู้เป็นหมันทันที”

น.ช.เเดนได้สติทิ้งมีดลงเดินไปคุกเข่าขอขมาต่อรอง ผบ.เรือนจำ แล้วพยุงให้ลุกขึ้น

”มึงเเน่มากไอ้สิงโตหิน อาจารย์มึงก็ยอดคน นี่เเหละเหนือยอดหญ้ายังมียอดแขม วันนี้เลือดกูตกเป็นครั้งเเรก เอาละถือว่าจบกัน”

น.ช.แดนมายกมือไหว้ไพฑูรย์ยื่นสิ่งที่เขามอบให้คืน
”ผมไม่เคยคิดเลยว่า ข้าวเปลือกรอดนี่จะมีอานุภาพสูงถึงเพียงนี้”

”แดนจำไว้นะ แม้กินว่านแต่หากถูกข้าวเปลือกรอดกรีดเข้าก็เลือดทะลักเหมือนกัน”
ไพฑูรย์บอกกับ น.ช.แดนก่อนจะเเยกย้ายกันไป
(เรื่องราวของข้าวเปลือกรอดก็ได้ลงไว้ต้นๆเพจใครอยากศึกษาก็หาดูนะครับหากหาไม่เจอต้องเปลี่ยนจากไฮไลน์เป็นทุกเรื่องราวด้วยนะครับ)

◎ตอนนี้ของมอบพระคาถาที่เรียกว่า◎
”พระพุทธเจ้าปลดอาวุธ”คาถานี้หลวงพ่อเดิมท่านมอบให้มา ท่านเล่าว่าเมื่อเทวทัตผิดหวังจากการเข้าไปกราบทูลขอให้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเเต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองพระสงฆ์ แต่สมเด็จพระชินสีห์ทรงไม่ทำตาม พระเทวทัตได้ไปจ้างนายขมังธนู 10 นายให้ดักยิงสมเด็จพระพุทธองค์ โดยให้คนที่สองฆ่าคนเเรกที่ปลงพระชนมืสมเด็จพระบรมศาสดาเพื่อปิดปากและฆ่ากันมาเรื่อยๆจนถึงคนที่สิบ พระเทวทัตได้บอกยามประตูว่าจะมีคนเข้ามาในเมืองเพื่อปลงพระชนน์ชีพพระเจ้าพิมพิสาร ให้ตัดหัว หมายถึงให้ตัดหัวนายขมังธนูคนที่ 9เพื่อปิดปากสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จพุทธดำเนินผ่านมา ก็กล่าวพระคาถานี้กับนายขมังธนูคนแรกไปจนถึงคนที่ 10 ทำให้ง้างธนูค้าง จนสมเด็จพุทธดำเนินผ่านมาประตูเมืองราชคฤห์จึงเคลื่อนไหวได้ วันรุ่งขึ้นจึงไปสารภาพผิดต่อสมเด็จพระบรมศาสดา และขออุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนาจึงกลายมาเป็นพระคาถาพระพุทธเจ้าปลดอาวุธ

◎คาถาพระพุทธเจ้าปลดอาวุธ◎
สัตถา ธะนุง อะกัตทิตุง นาทาสิ นาทาสิ

ภาวนาขณะยิงต่อสู้หรือต้องวิ่งฝ่ากระสุนของศัตรูออกไป ให้ภาวนาคาถานี้ไว้ตลอดเวลาลูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดจะเเคล้วคลาดไม่ต้องตัวผู้ที่ภาวนาคาถานี้เลย หรือเมื่อผ่านไปยังที่มีคนซุ่มยิงก็จะเกิดจังงังเหนี่ยวไกปืนไม่ได้ ไพฑูรย์เคยผจญมาเเล้วด้วยตัวเองหลายครา

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: