3716. ปล้นนางงามบุปผชาติ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)
ปล้นนางงามบุปผชาติ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)
ปีนั้นเป็นปีพุทธศักราช 2483 หลังจากที่ไพฑูรย์แหกวงล้อมจากหนองโพกลับมากรุงเทพฯ แล้วก็หลบซ่อนตัวอยู่อย่างเร้นลับ เพราะสันติบาลร่วมกับตำรวจกองปราบ และตำรวจทุกท้องที่ต่างพากันได้รับแจกรูปเสือไพฑูรย์ที่แหกคุกออกมา มีหมายจับ มีค่าหัวสูง ใครจับได้ก็จะได้รับรางวัลและปูนบำเหน็จ
หากเกิดการปะทะกันขึ้น ใครบาดเจ็บล้มตาย หนังสือพิมพ์จะประโคมข่าวว่าเป็นวีรบุรุษ แต่หารู้ไม่ว่าวีรบุรุษเหล่านั้นเบื้องหลังก่อความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมากกว่าพวกโจรอย่างเสือไพฑูรย์เสียอีก
หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า ”รัฐบาลจัดประกวดนางงามบุปผชาติอย่างยิ่งใหญ่เต็มลานพระราชวังดุสิต”
เนื้อข่าวระบุว่า จะเริ่มจัดขบวนแห่จากทุ่งพระเมรุผ่านถนนราชดำเนินใน ถนนราชดำเนินกลางและถนนราชดำเนินนอก ไปยังลานพระราชวังดุสิต (พระรูปทรงม้า) เพื่อให้คณะกรรมการได้ตัดสินว่าใครควรสวมสายสะพายนางงามบุปผชาติ ขอเชิญราษฏรไปคอยชมตามสองข้างทาง
สมัยนั้นการประกวดนางงามจะเริ่มจากนางสงกรานต์ ที่ย่านถนนวิสุทธิกษัตริย์ก่อน แล้วมาประกวดนางงามบุปผชาติ จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยนางสาวไทยในงานฉลองรัฐธรรมนูญ วันที่10 ธันวาคมของทุกปี
เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างนางสงกรานต์ นางงามนพมาศจากกรุงเทพฯ กับนางงามช้างเผือกจากภาคเหนือ ผลัดกันครองตำเเหน่งนางสาวไทย มีเงินสดกับขันน้ำพานรองเป็นรางวัล ซึ่งหญิงสาวที่ได้ตำแหน่งนางสาวไทยส่วนใหญ่จะได้แต่งงานกับพวกผู้ดีมีเงิน กลายเป็นคนมีหน้ามีตาและร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น
ไพฑูรย์เรียกประชุมพรรคพวกเสือร้ายนักปล้น อันประกอบด้วย เจ้าอำไพ(อินเเดนเเดง) เจ้าประจวบ เเละเจ้าคำลายเมื่อทุกคนมาพร้อมกันเเล้ว ไพฑูรย์โยนหนังสือพิมให้พรรคพวกอ่านพาดหัวข่าว บอกว่า
”ทีนี้รวยกันละวะพรรคพวก มีแต่ละแม่สวมเครื่องเพรชของเเท้ ที่บรรดาคุณนายบ่าวตั้ง คุณหญิงดังเพราะบารมีผัว พากันขนมาแต่งอวดกัน เปลี่ยนเป็นเงินแล้วส่วนหนึ่งจะได้เอาไปให้พวกคนจนที่อดมื้อกินมื้อตามที่พวกเราได้เคยทำมา”
เจ้าอำไพ (อินเดียนแดง)สวมคำขึ้นว่า
”เจ้าเปีย งานนี้ตำรวจแห่กันมาคุ้มกันเป็นโขยง เอ็งทะเล่อทะล่าเข้าไปเจอสะเต็นท์เข้าละก็ จอดไม่ต้องเเจวเลยทีเดียวเชียว”
”ยิ่งกว่านี้กูเคยวางแผนปล้นสำเร็จมาแล้ว โดยที่พวกมึงก็รอดตาย จนมารวมกันอยู่ที่นี่ไงล่ะ”
”เอาไงก็เอากัน เอ็งจะวางแผนอย่างไร ว่ามาก็เเล้วกัน”
เจ้าคำลายตัดบทเพราะขืนพูดมากความ มันจะวุ่นวายขายปลาร้าไปเปล่าๆ
การวางแผนการปล้นเริ่มด้วยการให้เจ้าประจวบที่ชำนาญด้านพาหนะไปจัดการหารถที่เป็นยี่ห้อเดียวกับที่ตำรวจใช้ดัดแปลงให้มี กท. ปลอม ลวดลายหมายเลขปลอม เป็นรถตำรวจสองคัน ตามประกบรถนางนพมาศที่เข้าประกวดนางงามบุปผชาติมาจากลานพระรูปทรงม้า ทำทีเป็นรถตำรวจคุ้มกัน
โดยให้เจ้าประจวบกับเจ้าอำไพแต่งตัวเป็นนายร้อยตำรวจ กับสิบตำรวจขับรถคันเเรก ส่วนคันที่สองมีไพฑูรย์กับเจ้าคำลายแต่งเครื่องแบบยศนายพันตำรวจตรี กับนายร้อย เข้ามาประกบตรงจุดที่นัดแนะกันไว้ โดยไพฑูรย์จะเเสร้งทำเป็นเข้าไปจับนางนพมาศ โดยเเจ้งข้อหาว่าเครื่องเพรชเครื่องทองที่ใส่เป็นของโจรกรรมมาจากวังเจ้าจอมมารดา
ขณะที่กำลังชุมนุมก็คุมตัวนางนพมาศมาขึ้นรถคันแรกแล่นออกไปเพื่อปลดทรัพย์ซักซ้อมกันจนเเน่ใจและเข้าใจกันดี จึงเตรียมตัวทำงาน วันงานขบวนรถแห่นางนพมาศเคลื่อนที่จากทุ่งพระเมรุไปตามถนนราชดำเนิน สองข้างทางมีกองเชียร์ไปส่งเสียงโห่ร้องตลอดทาง
ผู้เข้าประกวดนางงามบุปผชาติโบกมือให้ประชาชนพร้อมส่งยิ้มอยู่ตลอดเวลา ขบวนเคลื่อนไปยังลานพระราชวังดุสิต เพื่อใ้ห้ผู้เข้าประกวดนางงามบุปผชาติได้รับการตัดสินให้รับตำแหน่งนางงามบุปผชาติในปีนั้น
ที่สุดนางงามบุปผชาติที่ได้รับรางวัล คือนางสงกรานต์วิสุทธกษัตริย์ ได้รับการตัดสินให้ครองตำแหน่งนางงามบุปผชาติ ไปครองตามความคาดหมาย รถบุปผชาติที่ไม่ได้รับรางวัลทยอยกันออกจากลานพระราชวังดุสิตหลังพิธีมอบสายสะพาย เงินรางวัล ขันน้ำพานรองให้กับนางงามบุปผชาติเสร็จสิ้นลง คงเหลือเเต่รถสิงโตหิน (รถบรรทุกพวกนางรำและนักแสดงจากกรมศิลป์) กับรถเก๋งที่นางงามบุปผชาตินั้งที่จะมีรถตำรวจนำหน้าและปิดขบวนรถนางงามบุปผชาติมีตำรวจกองปราบนั้งคุ้มกันอยู่ 3คน
รถกรมศิลป์แล่นแยกไป รถนางงามบุปผชาติแล่นแยกไปจากถนนราชดำเนินเพื่อจะไปยังบ้านพักของเจ้าของเครื่องเพรชที่อยู่เเถวตลาดหลักเมือง ใกล้ๆกับโรงหนังเฉลิมกรุง พอรถติดไฟแดงหน้าสี่แยกเฉลิมกรุง
เจ้าอำไพกับเจ้าประจวบก็ขับรถตำรวจปลอมเข้ามาประกบด้านข้าง เจ้าอำไพลงจากรถตำรวจคุ้มกันลดกระจก เจ้าอำไพlสำทับว่า
”นี่ตำรวจสันติบาล มาจับกุมนางโจรคนนี้ เครื่องเพรชเครื่องทองที่ใส่ตรงกับรูปพรรณที่ทางวังเจ้าจอมมารดาแจ้งหายไว้ อย่าขัดขืน”
ตำรวจกองปราบที่ทำหน้าที่คุ้มกันถามเจ้าอำไพว่า
”ไหนล่ะหมายจับ ผมทำหน้าที่คุ้มกันนางบุปผชาติ ผมยอมให้คุณจับกุมนางงามไปไม่ได้”
ไพฑูรย์ที่จอดรถดูเหตุการณ์เห็นว่าหากช้าผู้คนจะสงสัย จึงขับรถตำรวจปลอมเข้ามาประกบไพฑูรย์ในชุดพันตำรวจตรีเปิดประตูออกมา ร้องสำทับว่า
”เปิดทางเดี๋ยวนี้ จะกุมตัวผู้ต้องสงสัยไปสันติบาล”
”ไม่ได้ ต้องไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
”ไม่ได้ก็ต้องได้”
ไพฑูรย์ชักปืนออกมาจ่อหัวตำรวจกองปราบที่นั้งอยู่ด้านหลังอำนาจปืนทำให้ตำรวจคุ้มกันนั่งตัวเเข็ง เจ้าประจวบลงจากรถมาลากตัวคนขับลงไป เอาด้ามปืนทุบกลางกระหม่อมจนล้มลงไปนอนดิ้น แล้วอ้อมไปลากแขนนางงามบุปผชาติลงมาจากรถ ลากถูลู่ถูกังไปยังรถตำรวจปลอมเพื่อจะหนี
สถานการณ์เปลี่ยน เมื่อเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เจ้าประจวบที่กำลังฉุดข้อมือนางงามบุปผชาติไปที่รถสะดุ้งตัวงอทรุดตัวลง ตำรวจมาจากไหนไม่รู้ยิงใส่ด้านหลังเจ้าประจวบถูกเข้าอย่างจังสองนัดแม้ไม่เข้าด้วยยันต์เก้ายอดคุ้มไว้แต่ก็จุก เจ้าอำไพผละออกจากรถยิงใส่ตำรวจชุดที่ตามมาทีหลังล้มกลิ้งไปทั้งสองนาย
นางงามบุปผชาติตกใจจนฉี่ราดไปไหนไม่รอด ไพฑูรย์ถอยเพื่อผละออกจากตำรวจคุ้มกันเป็นเหตุให้ตำรวจคุ้มกันเปิดประตูรถกระเเทกจนเซ การดวลกันระยะใกล้จึงเกิดขึ้น
เสียงปืนของตำรวจที่ยิงใส่ไพฑูรย์ดังแชะได้ยินถนัด
คาถามหาอุดที่ไพฑูรย์ภาวนาไว้ตลอดเวลาในใจว่า ”นะ อุด โม อัด พุธยัด ธาปิด ยะมิด ลูกไม่ออก”
ตำรวจคุ้มกันยิงไพฑูรย์ไม่ออก ไพฑูรย์ยิงตำรวจไปสองนัด ยิงตำรวจเพียงเพื่อให้บาดเจ็บเท่านั้นไพฑูรย์บอกว่า
”ตำรวจเขาทำตามหน้าที่ เขาต้องจับผู้ร้ายตามกฏหมาย ส่วนเราเป็นเสือร้ายนอกกฏหมายคนแรกถูกที่ไหล่ คนที่สองถูกที่โคนขา ยิงสู้ต่อไม่ได้ หากยิงเขาตาย ลูกเมียที่อยู่ข้างหลังจะลำบากตัวเองก็มีโทษสูงสุดคือประหารอยู่แล้ว จะไปกลัวอะไร ให้ไปเปิดแฟ้มคดีดูได้เลยว่าผมฆ่าตำรวจก็ในการดาลกันตัวต่อตัว คือขุนตระเวนอริพ่ายเท่านั้น”
ทีนี้ตำรวจพากันแห่มาเป็นโขยง เพราะมีพลเมืองดีขี่จักรยานต์ตามหลังมา เห็นผิดสังเกตจึงไปแจ้งเหตุที่โรงพักพระราชวัง ตำรวจจึงแห่กันมาจนเกิดการต่อสู้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ขณะกำลังชุลมุนกันนั้นเอง ไพฑูรย์เห็นว่างานนี้ปล้นไม่สำเร็จ จึงร้องตะโกนบอกพรรคพวกให้แยกย้ายกันหนี
รถตำรวจปลอมจึงแล่นออกจากที่ ตำรวจจริงจะตามแต่พอดีโรงหนังเลิก ผู้คนพากันออกมาพลุกพล่าน ตำรวจเกรงว่าหากยิงพลาดจะไปถูกคนบริสุทธิ์
ไพฑูรย์กับพวกจึงขับรถหนีออกมาได้ จุดนัดพบคือท่าน้ำใต้สะพานพุทธฯ ที่มีเรือเร็วที่เจ้าเดชานำมาจอดรอเอาไว้ เจ้าประจวบกับเจ้าอำไพเอารถไปจอดทิ้งเปลี่ยนชุดออกเพื่อหลบหนี
ไพฑูรย์ขับอ้อมไปทางปากคลองตลาด เจอกับรถจักรยานยนต์ตำรวจสองคันจอดรออยู่ ยกมือให้จอด ไพฑูรย์กระซิบบอกเจ้าคำลายว่าไม่ต้องห่วง หากเกิดยิงกันให้เฉยไว้ รอจนกว่าตนจะเดินกลับมาที่รถ
ตำรวจนายร้อยตำรวจตรีหน้าเด็ก ร้องบอกไพฑูรย์ว่า ”หยุดก่อน ขอตรวจค้นหน่อย เพราะได้รับเเจ้งให้สกัดตำรวจปลอมที่ปล้นทรัพย์ที่เเยกเฉลิมกรุง”
”อั๊วกำลังออกตามล่าผู้ร้ายมาเหมือนกัน”
”โกหก มึงเป็นคนร้ายที่ปลอมเป็นตำรวจมาปล้นแน่ๆ”
ขณะที่พูดปืนในมือของนายร้อยตำรวจหน้าเด็กจ้องมาที่ไพฑูรย์โดยไพฑูรย์ยังไม่ได้ชักปืนออกมาพอไพฑูรย์ขยับตัว นายร้อยหน้าเด็กก็สับไกทันที
”แชะ แชะ”
ไพฑูรย์ชักปืนออโตเมติกออกมา นายร้อยตำรวจเห็นท่าไม่ดีวิ่งสลับฟันปลาหาที่กำบัง ตำรวจยศสิบเอกยิงไพฑูรย์ติดๆ กันสามนัด ไม่ออกเช่นเคยไพฑูรย์วาดปากกระบอกปืนเข้าหา ตำรวจยศสิบเอกเห็นท่าไม่ดีเลยขยับจะเข้าหาที่กำบัง แต่ดันผ่าขัดขากันเอง ล้มลงหัวฟาดขอบฟุตปาธ หัวแตกเลือดไหลโกรก มา
ทราบชื่อตอนที่ไปขึ้นศาลว่าชื่อสิบตำรวจเอกถมยา และได้ให้การกับศาลว่า ”จำเลยได้ใช้ด้ามปืน ตีศีรษะอย่างจังจนหมดสติ”
ไพฑูรย์ยิ้ม ไม่ได้แก้ต่าง เพราะรู้อยู่ว่าสิบเอกถมยาให้การสอดคล้องกับอัยการที่พ่วงข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติหน้าที่ อันเป็นข้อหาหนักเพิ่มเข้าไป
ไพฑูรย์บอกว่ายอมรับโทษเพราะตนมีโทษสูงสุด คือประหารชีวิตเป็นประกันอยู่แล้ว จะโดนอีกกี่ข้อหาก็ประหารเหมือนกัน แต่อยากให้ผู้อ่านได้รู้ว่า อันว่าตำรวจนั้นในอดีตกับปัจจุบันก็ไม่ผิดกันเลยซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นในคดีดังๆ หลายคดี…
ตอนนี้ของมอบ◎พระคาถามหาอุด◎
นะ อุด โม อัด พุทธ ยัด ธาปิด ยะมิด ลูกไม่ออก
ให้ภาวนาไว้ในใจตลอดเวลาที่เจอเหตุการณ์ขับขัน จะทำให้ศัตรูไม่สามารถยิงออกได้
*จบไปแล้วอีกตอนครับฝากติดตามกันด้วยนะครับ ไลค์+เเชร์ให้ด้วยนะครับขอบพระคุณครับ