3709. ฝ่าวงล้อมที่หนองโพตอนเเรก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ฝ่าวงล้อมที่หนองโพตอนเเรก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ปีพุทธศักราช 2482 วัดหนองโพ นครสวรรค์ กำหนดการเททองหล่อรูปหลวงพ่อเดิม เพื่อเอาไว้บูชาที่วัด ปกติแล้วพระเกจิย์อาจารย์บางสำนักท่านจะไม่อนุญาตให้สร้าง ด้วยว่ายังไม่ได้มรณภาพ จะเป็นการทำให้อายุสั้น หรือมรณภาพหลังจากเททองหล่อรูปได้สำเร็จ

แต่สำหรับหลวงพ่อเดิม ท่านกลับบอกว่า

”ดีซี จะได้ติชมได้ว่าปั้นเหมือนหรือไม่เหมือนตรงไหน”

ศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศต่างพากันตั้งตารอให้ถึงวันเททอง เพื่อไปแสดงมุทิตาจิตร่วมหล่อรูปหลวงพ่อเดิม และบูชาเหรียญรูปไข่ของหลวงพ่อเพื่อสิริมงคลของชีวิต

ไพฑูรย์ก็เช่นกัน ทั้งๆที่ตำรวจตามล่า แต่ไพฑูรย์ก็ยังคงปรารถนาที่จะไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อเดิม และร่วมเททองหล่อรูปองค์ท่านด้วยตัวเอง

ขณะนั้น หลวงอดุล เดชจรัส เป็นอธิบดีกรมตำรวจ คุณพระกล้ากลางสมร เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขณะนั้นไพฑูรย์เป็นผู้ร้ายที่ทางการต้องการจับตัวมารับโทษ ทั้งสองท่านจึงวางแผนที่จะเข้าจับกุมไพฑูรย์ในวันงานที่จะถึง

คุณพระกล้ากลางสมรปรึกษากับหลวงอดุล เดชจรัสว่า

”คุณหลวงอดุลฯ ผมกับอ้ายไพฑูรย์เป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ด้วยกัน ปีนี้ทางวัดจัดงานเททองหล่อรูปหลวงพ่อ ผมเอาศีรษะเป็นประกันว่า อ้ายไพฑูรย์จะต้องมาร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน มันไม่เคยหวั่นกับความตาย คนอย่างมันเชื่อมั่นในอำนาจพระเวทของหลวงพ่อ ถ้าคุณมั่นใจผมจะจู่โจมกับมันกลางงานเลย”

”คุณพระจะเอาชีวิตของผู้คนไปเสี่ยงหรือ งานนี้เป็นงานใหญ่ คนก็มาก อาจมีลูกหลงไปถูกชาวบ้านได้นะครับ แล้วเรื่องมันจะไปกันใหญ่”

คุณพระกล้าฯ ได้คิดและเห็นด้วยกับความเห็นของหลวงอดุลฯ เพราะถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ นอกจากจะเสียหายแก่ทางการแล้ว วัดหนองโพก็อาจจะมัวหมองไปด้วย

”เอาอย่างงี้ก็เเล้วกัน เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เป็นการเเตกตื่นแก่ผู้มาร่วมงาน พวกเราจะเข้าจับกุมมันนอกวัด อีกวันสองวัน ผมจะทำคำสั่งให้ตำรวจกองปราบที่ผมไว้ใจไปดูลาดเลาและวางแผนจับเป็นมันมาขึ้นศาล”

”แล้วเเต่คุณพระจะเห็นดีก็เเล้วกัน”

หลังจากนั้นแผนการจับกุมไพฑูรย์จึงเริ่มขึ้น

ตำรวจกองปราบที่ถูกวางตัวให้เข้ามารับงานนี้คือ ร.ต.อ.เยื้อน กับร.ต.ท.พินิจโดย ร.ต.อ.เยื้อนเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมเหมือนกับไพฑูรย์ แม้จะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน แต่เส้นทางของทั้งคู่นั้นผิดกัน ฝ่านหนึ่งเป็นผู้รักษากฏหมาย เป็นฝ่ายธรรมะ ส่วนไพฑูรย์โชคชะตาหักเหให้ต้องมาเป็นฝ่ายอธรรม พบกันเมื่อใดก็หนีไม่พ้นการปะทะเพื่อห้ำหั่นกันทุกครั้งไป

เมื่อใกล้วันงาน ไพฑูรย์ชวนเพื่อนตายสามคนไปด้วยกัน มี นายยอด จอมบู๊ นายสมพงษ์ไม่มีถอย และนายประจวบตาเหลือง ไพฑูรย์รู้ดีว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังกันดักอยู่ตั้งเเต่หัวลำโพงบางซื่อ ดอนเมือง พระนครศรีอยุธยา ไปจนถึงหนองโพ นครสวรรค์ เพื่อจับกุมตน หากโผล่ไปขึ้นรถไฟ หรือลงจากรถไฟ ก็เท่ากับเดินเข้าไปในปากเสือ

ไพฑูรย์จึงเลือกเช่าเหมาลำเรือกลไฟเดินทางจากท่าเขียวไข่กา บางกระบือ กรุงเทพฯ ไปลงที่ปากน้ำโพ จากนั้นจึงจะอาศัยเกวียนชาวบ้านเดินทางต่อไปวัดหนองโพ ไพฑูรย์เตรียมปืนกลมือไปด้วยหนึ่งกระบอก แต่ถอดออกเป็นชิ้น เพื่อสะดวกในการนำพา มีปืนออโตเมติก ขนาด 9มม. หนึ่งกระบอก ไพฑูรย์บอกว่าเป็นออโตฯ ตอนนั้นขนาด 11มม. ไม่มี มามีตอนสงครามโลกครั้งที่ 2นี่เองกับปืนลูกโม่ขนาด .38 ยี่ห้อคอลท์ เป็นแบบเอ็มพี กระบอกหนา

ไพฑูรย์บอกว่าปกติแล้วปืนที่เป็นคู่มือมาก่อนคือปืนคอลท์ ที่เป็นแบบลูกโม่ ส่วนปืนออโตฯขนาด 9มม. มาซื้อใช้ทีหลังเพราะยิงได้เร็ว และบรรจุกระสุนได้เร็วกว่า แต่ที่ไม่ทิ้งปืนลูกโม่ เพราะปืนออโตฯ ยิงหนักเข้ากระบอกปืนจะร้อน มักขัดลำ เพราะตะขอเกี่ยวปลอกกระสุนเกี่ยวไม่ถนัด จึงต้องใช้ปืนลูกโม่ช่วย

การเดินทางคราวนี้เเม้จะเป็นทางเรือแต่ไพฑูรย์ก็ใช้การแปลงโฉมร่วมด้วย เพราะไม่เเน่ใจว่าอาจจะมีตำรวจน้ำคอยตรวจตราตามจุดต่างๆ ไพฑูรย์ขอบารมีหลวงพ่อเดิมช่วยคุ้มหัวให้ตลอดรอดฝั่งและเเล้วก็เหยียบแผ่นดิน ”ปากน้ำโพ”จนได้ (ชาวบ้านสมัยโบราณเรียก ”ปากน้ำโผล่”ต่อมาได้เพี้ยนเป็น ”ปากน้ำโพ”)

ที่วัดหนองโพ ร.ต.อ.เยื้อนกับร.ต.ท.พินิจ ไปฝังตัวอยู่ในวัดหนองโพ โดยอาศัยที่บ้าน กำนันนาค มือปราบโจรฝีมือดีคนหนึ่งในยุคนั้น กำนันผู้นี้ดับชีวิตเสือร้ายมาแล้วหลายราย

ตำรวจกองเมืองนครสวรรค์ร่วมกับตำรวจพยุหคีรีส่งกำลังมาทำทีเป็นรักษาความสงบภายในงานแต่ทุกคนได้รับเเจกรูปของเสือไพฑูรย์เพื่อให้คุ้นหน้า คำสั่งที่ได้รับคือพยายามจับเป็น แต่ถ้าจำเป็นต้องป้องกันตัวก็จับตายได้ โดยท่านอธิบดีตำรวจได้เสนอให้เงินพิเศษกับผู้ที่จับเป็นเสือไพฑูรย์ได้อีกด้วย

เดินทางเข้าหนองโพด้วยเกวียนของนายเดช สายโจรที่คบหาเป็นเพื่อนร่วมสาบานเพราะไพฑูรย์เคยช่วยชีวิตนายเดชไว้จากการล้อมยิงของตำรวจเมื่อครั้งไปร่วมชุมเสือ และถูกตำรวจบุกเข้ากวาดล้าง

นายเดชให้ไพฑูรย์กับเพื่อนใส่ชุดชาวนา มีผ้าขาวม้าพันหัว เดินทางไปจนเข้าเขตบ้านหนองโพเสียงกลองยาวดังลอยมาตามลม บอกให้รู้ว่างานนี้มีการละเล่นมากมายให้ดู ชาวบ้านล้วนมีแต่ความรื่นเริง

ไพฑูรย์นำเงินจำนวน 1000บาท ใส่ในห่อผ้า เขียนจดหมายวางไว้ข้างใต้ บอกกับนายเดชว่าให้นำไปถวายหลวงพ่อเดิมเพื่อร่วมหล่อรูป ในจดหมายนั้นมีข้อความว่า

นมัสการหลวงพ่อเดิมที่เคารพอย่างสูง

กระผมเจ้าเปีย หรือไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม ศิษย์ใต้ดาวโจรของหลวงพ่อ ที่ไม่เคยเสื่อมศรัทธาจากหลวงพ่อทุกลมหายใจ ตระหนักดีว่าชีวิตรอดมาได้ทุกวันนี้เพราะบารมีหลวงพ่อช่วยคุ้มเกล้ารักษากระผมจะไปนมัสการหลวงพ่อเเน่ รอเพียงจังหวะและเวลา เงินที่ผมนำมาถวายเป็นเงินบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับที่กระผมเป็นเสือ กระผมไม่ยอมให้รูปหล่อหลวงพ่อต้องเสียหายด้วยเงินที่ไม่บริสุทธิ์ ขอหลวงพ่อช่วยเมตตาภาวนาให้กระผมด้วยเถิด

นมัสการแทบเท้าด้วยความเคารพอย่างสูง
ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม

ไพฑูรย์แฝงตัวเข้าไปดูลาดเลาใกล้ๆกับงาน พลันสายตาก็มองเห็นเกวียนเล่มหนึ่งมีความผิดปกติ เพราะจอดห่างจากหมู่เกวียนที่มาร่วมงาน เมื่อแฝงตัวเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามีรองเท้าบู๊ตตำรวจกับเครื่องแบบตำรวจวางไว้ที่พื้นเกวียน จึงถอยออกไปซุ่มดู

ไม่นานนักก็มีชายสองคนแต่งตัวแบบชาวบ้าน ด้านหลังมีปืนเสียบอยู่คนละกระบอก ในมือถือห่อข้าวที่โรงครัววัดแจกให้ผู้มาร่วมงานเดินมายังใต้ร่มไม้ สองคนก็นั่งลงกับพื้นดินแกะข้าวห่อกินอย่างเอร็ดอร่อย

ทันใดก็มีชายอีกคนหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวบ้านเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน พอมาถึง ชายสองคนวางห่อข้าว ลุกขึ้นยืนตรง ชายที่มาใหม่กระซิบอะไรกับชายสองคนนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับไป

ไพฑูรย์บอกว่า ”พอเห็นหน้าถนัดก็ต้องอุทานกับตัวเองว่า ผู้กองเยื้อน”

นายยอดที่ไพฑูรย์ส่งไปดูลาดเลาในงานน่าจะถูกสังเกตเห็น แต่นายยอดนี่ก็เเน่ ผิดสังเกตนิดเดียวมันจะหายแวบไปในทันที

ผู้กองเยื้อนน่าจะเห็นนายยอดจึงมาย้ำกับตำรวจสองนายให้ระมัดระวังมากขึ้น เพราะคนของไพฑูรย์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในวัดหนองโพแล้ว

ไพฑูรย์บอกว่า ”ร.ต.อ.เยื้อนเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมเหมือนกับผม แต่ผมจะทำอย่างไรได้เพราะอยู่คนละฝั่ง หากปะทะกัน เขายิงผมได้เพราะเขารักษากฏหมาย ส่วนผมรักษาสัจจะที่ให้กับหลวงพ่อเดิมว่า ผมจะไม่ทำร้ายหรือฆ่าศิษย์ร่วมสำนักเป็นเด็ดขาด”

นายเดชเลื่อนเกวียนไปไว้ด้านหลังวัดในป่าช้าผีดิบเพื่อคอยรับไพฑูรย์ที่อาจจะต้องมาขึ้นเกวียนจอดรอที่บ้านเขาทอง ไพฑูรย์จะฝ่าวงล้อมไปทางนั้น

นายยอดมาแจ้งกับไพฑูรย์ว่าหลวงพ่อเดิมไม่ได้อยู่ในกุฏิ ท่านลงไปนั่งภาวนาในโบสถ์เพื่อหลบผู้คนที่มาขอของดีจากท่าน จนท่านไม่ได้พักผ่อน อายุของท่าน 80แล้ว ทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อย

เป็นโอกาสเปิดให้ไพฑูรย์เข้าไปนมัสการหลวงพ่อเดิมได้โดยไม่ต้องปะทะกับตำรวจ ไพฑูรย์รอเวลาให้ค่ำเพราะเมื่อหลวงพ่อเดิมท่านนั่งสมาธิแล้วละก็ ท่านจะออกจากสมาธิตอนค่ำ

ใกล้ค่ำไพฑูรย์ก็เตรียมตัวจะเข้าไปนมัสการหลวงพ่อเดิม นายยอด นายสมพงษ์ และนายประจวบไปซุ่มคอยคุ้มกันไพฑูรย์ตามเส้นทางที่จะไปยังโบสถ์วัดหนองโพ ด้วยไม่ไว้ใจว่าตำรวจจะระเเคะระคายหรือไม่

เมื่อไพฑูรย์ออกจากที่ซ่อนเดินไปที่โบสถ์ เสียงดนตรีหยุดเล่น ชาวบ้านพากันวิ่งออกจากบริเวณวัด เพราะ ร.ต.อ.เยื้อนประกาศว่าให้ชาวบ้านออกไปนอกวัดหนองโพก่อน ตำรวจกำลังล้อมจับเสือร้าย อย่าออกมาดูเหตุการณ์ อาจจะถูกลูกหลงได้ ตำรวจเเต่งเครื่องแบบมีอาวุธครบมือตรูกันออกมาเหมือนผึ้งเเตกรัง

ไพฑูรย์ถอยกลับเข้าที่ซ่อนส่งสัญญาณเป็นเสียงนกกลางคืนให้เพื่อนตายถอนตัวกลับไปรวมพลก่อนนำพรรคพวกไปยังกุฏิหลวงตาแวว ซึ่งไพฑูรย์ได้อาศัยอยู่เเละเรียนพระเวทกับหลวงพ่อเดิมหลวงตาแววเปิดกุฏิให้เข้าไปซ่อนตัว ขณะที่ตำรวจพากันเข้าค้นกุฏิพระในวัดหนองโพทีละหลัง

หลวงตาแววบอกว่าอย่ารีรอให้ออกด้านหลังกุฏิ กระโดดออกทางหน้าต่าง เพราะไม่นานตำรวจก็จะมาค้นกุฏิ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู หลวงตาแววพยักหน้าให้ไพฑูรย์รีบหนี ก่อนจะเดินไปเปิดประตูกุฏิ

คนที่อยู่ด้านนอกพูดเสียงดังเข้ามา ”ผมขอค้นกุฏิหน่อย มีผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวเข้ามาในวัด”

”เชิญเลย”

ตำรวจเข้ามาข้างในกุฏิ เห็นนายไพฑูรย์กระโดดลงจากหน้าต่างเห็นหลังไวๆ ตำรวจจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง เป่านกหวีดนอกเหตุไปยังตำรวจที่กระจายกำลังกันอยู่ ไพฑูรย์บอกกับเพื่อนตายให้แยกกันหนี และไปเจอกันที่บ้านเขาทอง

เพื่อนเเต่ละคนไม่มีข้อจำกัดในการต่อสู้ สามารถยิงได้ไม่เลือกหน้า แต่สำหรับไพฑูรย์นั้น ยิงป้องกันตัวได้เหมือนกัน แต่ถ้าเผชิญหน้ากับศิษย์ร่วมอาจารย์ เสมือนถูดมัดมือ เพราะยิงได้ฆ่าไม่ได้ เพื่อรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับหลวงพ่อเดิม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ให้ความเคารพอย่างสูง

กระโดดลงจากกุฏิแล้ว ไพฑูรย์ก็วิ่งออกไปทางสระน้ำหน้าวัด วิ่งผ่านต้นโพธิ์อย่างรวดเร็ว เสียงปืนออกจากการต่อสู้ระหว่างยอด สมพงษ์ และประจวบ กับตำรวจที่ล้อมเข้าจับกุมดังเป็นระยะๆ

ไม่รู้สึกเป็นห่วงเพราะเพื่อนตายทั้งสามเป็นศิษย์เก้ายอด ยันต์เก้ายอดของหลวงพ่อหรุ่น (มีประวัติหลวงพ่อในเพจตอนต้นๆ) ที่พี่เสงี่ยมให้ความนับถือเคยพิสูจน์ให้เห้นกับตามาเเล้ว

พอวิ่งพ้นจากต้นโพธิ์ที่อยู่บนขอบสระ เสียงตะโกนก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของสระน้ำ

”เสือไพฑูรย์มอบตัวเสียดีๆ จะได้ไม่ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อ ยอมให้จับเป็น ไปสู้คดีดีกว่า”

ไพฑูรย์ดึงปืนออโตเมติกขนาด 9มม. มา กระชับในมือมั่น สายตามองฝ่าความมืดออกไปยังต้น ตัดสินใจถอยกลับเข้าไปภายในบริเวณวัดอีกครั้ง

พอยืดตัวขึ้นเพื่อจะหันกลับเท่านั้น

”ปัง ปัง”

เสียงปืนเล็กยาวจากฝ่ายตำรวจก็คำรามใส่ ใบโพธิ์หล่นกราวตามแนววิธีกระสุน แต่ลูกปืนแคล้วคลาดไป

”ปัง ปัง”

ไพฑูรย์ยิงสกัดสองนัด เพื่อไม่ให้ตำรวจเคลื่อนที่บุกเข้ามาใกล้ พุ่งตัวจากขอบสระวิ่งลงไปที่ลานวัด ตำรวจที่คอยทีอยู่ก็ยิงสวนเข้ามาทันที นะยะไม่ห่างนัก มองเห็นเเสงไฟแลบแต่ไม่มีเสียงปืนดัง

”รอยเท้ามหาอุด หลวงพ่อช่วยลูกเเล้ว”

ไพฑูรย์คิดในใจ กลิ้งตัวไปด้านข้าง ไม่ยิงโต้เพื่อประหยัดกระสุน
ตำวรจที่สกัดหน้าอยู่บนสระตามลงมาถึงพอดี เสียงตำรวจที่สกัดอยู่ในลานวัดร้องตะโกนเตือนฝ่ายตำรวจด้วยกันว่า

”หมวดเยื้อน ระวังตัวด้วย คนร้ายยังอยู่ในลานวัด ผมมองเห็นไม่ถนัด”

ไพฑูรย์ร่ายคาถามหากำบังที่หลวงพ่อเดิมประสิทธิ์ประสาทให้ คาถามีว่า
”นะ ห้าม โม ปิด พุท มิดหัว ธา ล้อมตัว ยะ ซ่อนหัว หายตัวนะบัดนี้ นะโจงโงง โม จังงัง พุทกำบัง ธา ละลาย ยะ สูญหาย อนัตตา สูญเปล่า”

ภาวนาด้วยใจมั่น ลูกขึ้นยืน กลั้นหายใจ ออกวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จิตอย่าตก ให้ระลึกว่ามองไม่เห็น วิ่งไปจนหมดอึดลมหายใจ เสียงตำรวจที่ตามมาจากบนสระก็ร้องบอกตำรวจที่ซุ่มอยู่ว่า

”คนร้ายหนีไปทางโน้นแล้วทำไมไม่ยิงสกัดไว้ มันจะรอดไปได้”

ตำรวจสามนายที่ซุ่มอยู่มองไม่เห็นด้วยอำนาจแห่งพระเวทมหากำบัง พอหมดอึดลมหายใจ จึงมองเห็นร่างของไพฑูรย์อีกครา ต่างประทับปืนเล็กยาวยิงใส่ทันที เหมือนเมื่อถูกยิงบนสระ กระสุนแคล้วคลาดไปหมด

วิ่งผ่านโบสถ์ ระลึกในใจว่า ศิษย์ไม่มีวาสนาจะเข้านมัสการหลวงพ่อได้ ต้องขอลาไปก่อน ผ่านจากหลังโบสถ์ ทุกอย่างอยู่ในความมืด ตำรวจยิงใส่หลังมายิงชุด เเต่ไพฑูรย์ไม่โต้ตอบ เพราะหากยิงโต้ ไฟที่แลบจากปากกระบอกปืนจะบอกตำแหน่งที่อยู่ให้ตำรวจรู้….. (จบตอนหนึ่งจ๊ะติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับว่าไพฑูรย์จะหนีรอดไปได้หรือไม่) อ่านเเล้วฝากไลค์ด้วยนะครับ สาธุ

สำหรับตอนนี้ขอมอบ

◎พระคาถามหากำบัง◎

”นะ ห้าม โม ปิด พุท มิดหัว ธา ล้อมตัว ยะ ซ่อนหัว หายตัวนะบัดนี้ นะโจงโงง โม จังงัง พุทกำบัง ธา ละลาย ยะ สูญหาย อนัตตา สูญเปล่า”

ภาวนาด้วยใจมั่น ลูกขึ้นยืน กลั้นหายใจ ออกวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จิตอย่าตก ให้ระลึกว่ามองไม่เห็น วิ่งไปจนหมดอึดลมหายใจ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: