2735.ชะตากรรมกบฏเจ้าอนุวงศ์

ชะตากรรมกบฏเจ้าอนุวงศ์

เมื่อจับตัวเจ้าอนุวงศ์และบริวารว่านเครือได้แล้ว เจ้าพระยาราชสุภาวดี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา สมุหนายก – สิงห์ สิงหเสนี) จึงมีบัญชาให้คุมตัวเหล่ากบฏลงมารับโทษที่กรุงเทพหานคร ดังมีเนื้อความตามพระราชพงศาวดาร รัชการที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ความว่า

เจ้าพระยาราชสุภาวดี จึ่งให้พระอนุรักษโยธา พระโยธาสงคราม หลวงเทเพนทร์ พระนครเจ้าเมืองขอนแก่น ราชวงศ์เมืองชนบท กับไพร่ ๓๐๐ คน คุมตัวอนุกับครอบครัวลงมาส่งถึงเมืองสระบุรี พระยาพิไชยวารีขึ้นไปตั้งรับครอครัวและส่งเสบียงอยู่ที่นั่น ก็ทำกรงใส่อนุตั้งประจานไว้กลางเรือ ให้พระอนุรักษโยธา พระโยธาสงครามตระเวนลงมาถึงกรุงเทพมหานคร

ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๒ ขึ้น ๑๑ ค่ำ (ตรงกับวันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๓๗๒) โปรดให้จำไว้ทิมแปดตำรวจ บุตรหลานผู้หญิงและภรรยาน้อยนั้นก็ส่งไปเป็นชาวสะดึงทั้งสิ้น แล้วรับสั่งให้ทำที่ประจานลงที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์

ทำเป็นกรงใหญ่สำหรับใส่อนุ มีรั้วตารางล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน มีกรงเหล็กน้อย ๆ สำหรับใส่บุตรหลานอนุถึง ๑๓ กรง มีเครื่องกรรมกรณ์คือ ครก สาก สำหรับโขลก มีเบ็ดสำหรับเกี่ยวแขวน มีกระทะสำหรับต้ม มีขวานสำหรับผ่าอก มีเลื่อยสำหรับเลื่อยไว้ครบทุกสิ่ง

แล้วตั้งขาหย่างเสียบเป็นเวลา เช้า ๆ ไขอนุกับอ้ายโยปาศัก ๑ อ้ายโป้สุทธิสาร ๑ อ้ายเต้ ๑ อ้ายปาน ๑ อ้ายดวงจันทร์ ๑ อ้ายสุวรรณจักร ๑ อ้ายปัน ๑ บุตรอนุ ๗ คน อีคำปล้องภรรยาอนุ ๑ อ้ายสุริยะ ๑ อ้ายง่วนคำใหญ่ ๑ อ้ายปาน ๑ อ้ายคำบุ ๑ อ้ายดี ๑ หลานอนุ ๕ คน รวม ๑๔ คน ออกมาขังไว้ในกรงจำครบแล้ว

ให้นางคำปล้องซึ่งเป็นอัครเทพีถือพัดกาบหมาก เข้าไปนั่งปรนนิบัติอยู่ในกรง ให้นางเมียน้อยสาว ๆ ซึ่งเจ้าพระยาราชสุภาวดีส่งลงมาอีกครั้งหลังนั้น แต่งตัวถือกระบายใส่ข้าวปลาอาหารออกไปเลี้ยงกันที่ประจาน

ราษฎรทั้งในกรุงทั้งนอกกรุงพากันมาดูแน่นอัดไปทุกเวลามิได้ขาด ที่ลูกผัวญาติพี่น้องต้องเกณฑ์ไปทัพตายเสียครั้งนั้นก็มานั่งบ่นพรรณนาด่าแช่งทุกวัน ครั้นเวลาบ่ายแดดร่มก็เอาบุตรหลานที่จับได้มาขึ้นขาหย่างเป็นแถวกันให้ร้องประจานโทษตัว เวลาจวนพลบก็เอาเข้ามาจำไว้ที่ทิมดังเก่า ทำดั่งนี้อยู่ได้ ๗ วัน ๘ วัน พออนุป่วยเป็นโรคลงโลหิตก็ตายโปรดให้เอาศพไปเสียบประจานไว้ที่สำเหร่ การจะประหารบุตรหลานญาติพี่น้องนั้นก็สงบเงียบไป อนุนั้นเกิดเมื่อปีกุน นพศก (ปีพุทธศักราช ๒๓๑๐) เมื่อตายอายุได้ ๖๐ ปี

Cr.อัศนัย​ มีอนันต์

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: