2639.พระพุทธเจ้าปราบนิครนนาฏบุตร

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในสมัยนั้นมีคณาจารย์ จำนวนมากตั้งตนเป็นศาสดา มากมาย มีทั้งพวกนับถือไฟ… พวกไม่นับถืออะไร…พวกเปลือยกาย…พวกกินขี้วัว…พวกนับถือเทพเจ้าผีสาง…ฯลฯ เยอะมาก ๆ คณาจารย์เหล่านี้ก็ถือตนว่าตัวนั้นเก่ง มีความรู้มาก…ด้วยคนสมัยนั้น เป็นผู้แสวงหาความสงบ…อาจารย์ไหนใครว่าดี…ก็ไปนับถือกัน… ตามจริตความชอบของแต่ละคน…

มีอาจารย์คนหนึ่ง มีลูกศิษย์มาก เป็นอาจารย์สอนของลูก ๆ กษัตริย์ตั้ง 500 คน เป็นคนถือตัวว่ามีความรู้มาก…ไม่ไหว้ใคร…แต่ใคร ๆ จะต้องไหว้เขา…ที่ว่าความรู้มากนี้…เชื่อว่าไม่มีใครในปัฐพีจะสู้ความรู้ของเขาได้…คณาจารย์ของศาสนาอื่น ๆ หรือลูกศิษย์อื่น ๆ ก็ไม่อาจสู้ความรู้ของเขาได้…

เมื่อได้คุยกับใครเรื่องความรู้แล้ว…ก็ไม่เคยพ่ายแพ้แก่เหตุผลของคนอื่นเลย…ด้วยความที่คุยกับใคร ทุกคนก็แพ้เรื่องเหตุผลทุก ๆ อย่างในโลกนี้แก่อาจารย์คนนี้ ทำให้อาจารย์คนนี้ยิ่งถือตนมากขึ้นไปอีกว่า…เรามีความรู้มากกว่าใคร ไม่มีใครชนะเราได้…ระยะหลังคณาจารย์อื่น ๆ ที่ไม่เคยปราศัยด้วย หรือแม้แต่คนที่เคยคุยด้วย ต่างก็หลีกเลี่ยงในการพูดคุยกับอาจารย์ท่าน เพราะว่าไม่อยากขายหน้า…

อีกทั้งเมื่อ ชนะแล้วก็จะคุยข่มอีกด้วย…อาจารย์คนนี้คือ นิครนนาฏบุตร วันหนึ่งขณะที่พระอัสชิ สาวกองค์สุดท้ายในจำนวนปัจจวัคคีย์ทั้งห้า กำลังบิณฑบาตรอยู่ในเมือง นิครนนาฎบุตรที่ตื่นเช้า เดินยืดแข้งยืดขาอยู่ เห็นเข้าก็ถามว่า…นี่แหน่ะท่าน…ศาสดาของท่านชื่อว่าอะไร…

พระอัสชิตอบว่า ชื่อพระสมนโคดม…(ชื่อพระพุทธเจ้า)……นิครนนาฎบุตรยิ้มย่องถามอีกว่า…ศาสดาของท่าน…สอนอะไรเป็นส่วนมาก…สอนอะไรบ่อย ๆ แก่สาวกเช่นท่าน…พระอัสชิตอบว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า “รูปไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ของเรา รูปไม่ตัวตน เวทนาไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน”

นิครนนาฏบุตรได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะลั่น แล้วพูดว่า…เช่นนั้นรึ…ได้ยินว่าพระสมนโคดมเก่ง รูปงาม มีสติปัญญาหาใครเทียมมิได้..ไฉนจึงสอนเหล่าสาวกเช่นนั้น…รูปจะไม่ใช่ของเราได้อย่างไร…เวทนาไม่ใช่ของเราได้อย่างไร สัญญาไม่ใช่ของเราอย่างไร…ถ้าไม่ใช่ของเราแล้ว เราจะมีตัวตน…ได้อย่างไร ถ้าไม่มีรูปแล้วท่านจะมาบิณฑบาตรได้อย่างไรจริงมั๊ย…นิครนนาฎบุตร


พระพุทธเจ้า

แม้จะโต้วาทีกับคณาจารย์ทั้งแผ่นดิน ชนะมาหมดทุกคน ก็ไม่เคยเห็นสนทนากับพระพุทธเจ้า เพราะกิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้านั้นเลื่องลือไป…ก็เลยไม่อยากยุ่งด้วย กลัวจะเสียฟอร์ม…แต่พอได้ยินพระอัสชิ ตอบเช่นนั้น ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง…คิดว่าเราจะชนะพระพุทธเจ้าได้แน่นอน…ก็เลยบอกกับพระอัสชิว่า…เห็นทีข้าพเจ้าจะต้องไปที่วัดพระเชตวันสักครั้ง

เพื่อช่วยให้พระสมนโคดม…เลิกคิดผิด ๆ แบบนั้นซะที…พระอัสชิ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ได้ยินดังนั้นก็ ตอบว่า เจริญพรคุณโยม แล้วก็เดินบิณฑบาตรต่อไป…นิครนนาฎบุตร เมื่อกลับมาที่พักของตนเอง ทานอาหารที่กษัตริย์เอามาถวายเสร็จแล้วก็บอกแก่ กษัตริย์ทั้งหลายว่า…พวกท่านเอ๋ย…พรุ่งนี้เราจะไปวัดพระเชตวันของพระสมนโคดม…ไปโต้วาที…เราจะช่วยปลดเปลื้องความโง่เขลาของพระสมนโคดมออกเสีย…ขอให้พวกท่านจงไปกับเรา…หลังจากที่พวกกษัตริย์ไปแล้ว นิครนนาฎบุตร ก็เตรียมคำถาม คำตอบมากมายในหัว…เพื่อเตรียมโต้วาทีกับพระพุทธเจ้าในวันรุ่งขึ้น…คิดว่าเราจะถามแบบนี้ ๆ แล้ว เราจะชนะ…!!!

วันรุ่งขึ้นนิครนนาฎบุตร ก็พากษัตริย์ พวกบริวารของกษัตริย์ เป็นจำนวนมาก ไปยังพระเชตวัน อีกทั้งยังมีคนที่นับถือพระพุทธเจ้าอีกจำนวนมากที่รู้ข่าว ก็ไปวัดพระเชตวันด้วย…เมื่อเจอหน้ากัน นิครนนาฎบุตร ก็มิได้ไหว้ เพียงแต่ทักทายปราศัยธรรมดาเท่านั้น…

พระพุทธเจ้าซึ่งกำลังเทศนาสอนพระอยู่ก็ปราศัยด้วย…คนจำนวนมากก็เริ่มหาที่ทางนั่งฟัง บุคคลทั้งสองคุยกัน…เมื่อทุกอย่างสงบแล้ว ชนทั้งหลายหาที่นั่งได้แล้ว นิครนนาฎบุตร ก็ถามพระพุทธเจ้าว่า…นี่แน่ะท่านโคดม สาวกของท่านเป็นผู้ปฏิบัติร่างกายสงบเสงี่ยมดี ท่านสอนพวกเขาอย่างไรรึ…

พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของนิครนนาฎบุตร แล้วตอบว่า ดูก่อนนิครนนาฎบุตร เราสอนสาวกทั้งหลายของเราแบบนี้ว่า “รูปไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ของเรา รูปไม่ตัวตน เวทนาไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน” เมื่อนิครนนาฎบุตรได้ยินดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง…หันไปกล่าวกับมหาชนว่า ท่านทั้งหลายพระสมนโคดม กล่าวว่า ท่านสอนสาวกของท่านว่า “รูปไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ของเรา รูปไม่ตัวตน เวทนาไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน”

บัดนี้เราจะแก้ให้กับพระสมนโคดม…แล้วก็หันมาพูดกับพระพุทธเจ้าว่า… “รูปจะไม่ใช่ของเราได้อย่างไร ท่านก็นุ่งสบง ห่มจีวรอยู่ ตัวเราเองก็นุ่งผ้าอยู่ มหาชนทั้งหลายที่มาในที่นี้ ก็มาได้เพราะมีตัวตนอยู่นี่ไง แล้วจะไม่ใช่ของเราได้อย่างไร ไม่มีตัวตนได้อย่างไร”“คนทั้งหลายมีความสุข ความทุกข์ กินอิ่ม ดีใจ หัวเราะ ร้องไห้ ก็เป็นของคน ๆ นั้น จะไม่มีสัญญาได้อย่างไร จะไม่มีตัวตน เป็นของเราได้อย่างไร”

“คนทั้งหลาย เจ็บ ป่วย ตาย ทรมาณ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่ามีตัวตน มีเวทนา มีความทุกข์ความสุข จะไม่มีตัวตนได้อย่างไร จริงมั๊ย…”ว่าแล้วก็จับเนื้อตัวเอง จับเสื้อผ้าตัวเอง ชี้ให้ดูว่า นี่ไง…ตัวตน…นี่ไงของเรา…นั่นไงของเขา…ก็มีอยู่ ก็เห็นอยู่…บอกว่าไม่มีได้อย่างไร…ไม่ใช่ของเราได้อย่างไร…คนทั้งหลายในที่นี้และที่อื่น ก็เห็นเหมือนข้าพเจ้านี่แหล่ะ…พูดแล้วก็ยิ้ม…อย่างผู้มีชัยชนะ…

พระพุทธเจ้าตรัสว่า..ดูก่อนอฆิเวสนะ (ชื่อของนิครนนาฎบุตร) ท่านเข้าใจอย่างนั้นรึ…นิครนนาฎบุตร ตอบว่า…ใช่…คนทั้งหลายก็คิดเหมือนเรานี่แหล่ะ ก็เห็น ๆ กันอยู่….พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ถ้าท่านเห็นอย่างนั้น ก็จงเชื่ออย่างนั้นแต่ผู้เดียวเถิด อย่าอ้างถึงบุคคลอื่นเลย…

ท่านบอกว่า รูป(ร่างกาย) เป็นของเราใช่มั๊ย…นิครนนาฎบุตร ตอบว่า…ใช่…เป็นของเราอยู่แล้ว…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ถ้าร่างกายเป็นของเราแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ยกเว้นตัวเราหรืออย่างไร ทำไมเมื่อพระราชาเห็นว่าเราทำผิด อาจฆ่า อาจประหารท่านก็ได้ จริงหรือไม่…นิครนนาฎบุตร ตอบว่า…จริง…แต่เราก็อย่าทำผิดสิ…เราต้องดูแลตัวของเราสิ…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ถ้าท่านไม่ผิด…แต่พระราชาประสงค์จะฆ่าท่าน ด้วยความต้องการส่วนพระองค์ พระราชาทำได้หรือไม่…นิครนนาฎบุตร ตอบว่า…เอ่อ…ก็ได้…ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระราชา…

พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ไหนท่านว่า ร่างกายเป็นของท่าน รูปเป็นของท่าน ทำไมท่านห้ามพระราชาไม่ได้ล่ะ…ร่างกายของท่านไม่ใช่ของท่านซะแล้วหรือ…ตอนนี้ท่านผิดคำพูดซะแล้วนะ…นิครนนาฎบุตรอ้ำอึ้งไป…แต่ถามต่อว่า…ถึงกระนั้น..เมื่อพระราชานำไปฆ่า…ความคิด ความแค้น (สัญญา) ความเจ็บปวด (เวทนา) ก็เป็นของเราอยู่ดีนั่นแหล่ะ…ถ้าไม่ใช่ของเรา ใครล่ะที่แค้น ใครล่ะที่เจ็บปวด…มันมีตัวตน มันเป็นของ ๆ เรา…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ดูก่อนอฆิเวสนะ ความคิด (สัญญา) กับ ความรู้สึก (เวทนา) นั้นตั้งอยู่อย่างนั้นตลอดไปหรือป่าว…

นิครนนาฎบุตร ตอบว่า…ไม่อยู่ตลอดไป…ประเดี๋ยวมี ประเดี๋ยวก็หายไป…ประเดี๋ยวก็มีอีก ประเดี๋ยวก็หายอีก…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านจึงบอกว่า เวทนากับ สัญญาเป็นของท่านล่ะ ถ้าเป็นของท่านแล้วมันหายไปไหน ทำไมถึงไป ๆ อยู่ ๆ ล่ะ ทำไมไม่มีตัวตนให้ท่านเก็บไว้ล่ะ…ถ้ามีตัวตนควรอยู่ที่ท่าน ท่านควรเก็บมันไว้มิใช่รึ….นิครนนาฎบุตร ตอบไม่ได้…นั่งนิ่ง…เหงื่อเต็มหน้าผาก…

พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ถ้าร่างกายเป็นของเรา และมีตัวตน เราควรได้ดังใจว่า…ร่างกายเอ๋ยจงไม่แก่ จงไม่เจ็บ จริงหรือไม่…ถ้าร่างกายเป็นของท่าน มีตัวตน ท่านห้ามไม่ให้ร่างกายแก่ได้มั๊ย ห้ามไม่ให้เจ็บได้มั๊ย…นิครนนาฎบุตร ตอบไม่ได้…นั่งนิ่ง…ก้มหน้า…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…ดูก่อนอฆิเวสนะ ถ้าบุคคลใดถามตถาคต… ตถาคตตอบคำถามอย่างแจ่มแจ้งแล้ว และตถาคตถามกลับไปบ้าง…ด้วยเหตุผลที่สมควรตอบแก่คำถามนั้นแล้วไม่ตอบตถาคตถึง 3 ครั้ง ผู้นั้นศีรษะจะต้องแยกเป็น 7 เสี่ยง…


พระพุทธเจ้า

เวลานั้นพระอินทร์แปลงกายลอยอยู่ในอากาศ ตาแดงลุกวาว เตรียมเอากระบองเพชรตีหัว นิครนนาฎบุตร พระอินทร์นั้นมีแต่พระพุทธเจ้ากับนิครนนาฎบุตรเท่านั้นที่มองเห็น คนอื่นมองไม่เห็น…นิครนนาฎบุตร เมื่อเห็นพระอินทร์โกรธ เงื้อกระบอกเพชร ก็ลนลานวิ่งมาหมอบแทบเท้า พระพุทธเจ้า แล้วตอบว่า…เอ่อ…เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะห้ามร่างกายไม่ให้เจ็บป่วย ไม่ให้แก่…พระพุทธเจ้าข้า…พระพุทธเจ้าตรัสว่า… “รูปไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ของเรา รูปไม่มีตัวตน เวทนาไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน” เราพูดจริงหรือพูดเท็จ

นิครนนาฎบุตร ตอบว่า …จริง…พระพุทธเจ้าข้าพระพุทธเจ้าตรัสว่า…ที่ท่านบอกว่า รูปเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา สัญญาเป็นของเรา รูปมีตัวตน เวทนามีตัวตน สัญญามีตัวตน …จริงหรือไม่จริงนิครนนาฎบุตร ตอบว่า …ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นจริง…พระพุทธเจ้าข้าพระพุทธเจ้าตรัสว่า…ท่านไปพูดในชุมชนต่าง ๆ เมืองต่าง ๆ ว่า หากใครสนทนาปัญหากับท่าน ทุกคนต้องเหงื่อออกจากรักแร้ มีสีหน้าขึ้งโกรธ เหงื่อเต็มหน้าผาก…ทุก ๆ คน เพราะแพ้ต่อคำของท่าน แม้แต่อรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกันจริงหรือไม่….

นิครนนาฎบุตร ตอบว่า ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นจริง…พระพุทธเจ้าข้า…พระพุทธเจ้าตรัสว่า…บัดนี้เราไม่มีเหงื่อออกจากรักแร้ แล้วพระองค์ก็เปิดจีวรให้ดู ไม่มีเหงื่อที่หน้าผาก…แต่ท่านสิ เหงื่อเต็มหน้าผาก..เหงื่อเต็มตัว…เราไม่เป็นอย่างที่ท่านพูด แต่ท่านเองเป็นเช่นที่ท่านพูดว่าคนอื่นจริงหรือไม่…นิครนนาฎบุตร ตอบว่า ทำไมจะไม่จริง…พระพุทธเจ้าข้า…พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า…ดูก่อนอฆิเวสนะ…รูปทั้งหลายในโลกนี้ มีการเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อถึงวาระก็ดับสูญไป…ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่า นี่เป็นของเรา นั่นเป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นของเรา …….

ดูก่อนอฆิเวสนะ…เวทนาทั้งหลาย …สัญญาทั้งหลาย เป็นเพียงความคิด…เป็นเพียงอารมณ์ชั่วครูชั่วยาม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป…เป็นอยู่อย่างนี้…ไม่คงตัว…ไม่คงอยู่…เป็นปัจจัยทำให้เกิดภพ เกิดชาติ…ไม่จบไม่สิ้น…ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นเป็นสัญญาของเรา นั่นเป็นเวทนาของเรา…สาวกทั้งหลายอันตถาคตตรัสดีแล้ว…พึงเข้าใจอย่างนี้ว่า…แม้ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา

เพราะตั้งอยู่แล้วก็ดับไป…อยากให้เป็นตามปรารถนาก็ไม่อาจเป็นได้…จึงไม่ยึดมั่นในสังขาร และรูปร่างกายนั้นสาวกทั้งหลายอันตถาคตตรัสดีแล้ว…พึงเข้าใจอย่างนี้ว่า…แม้เวทนา สัญญา ก็ไม่ใช่ของเรา…เพราะตั้งอยู่แล้วก็ดับไป…อยากให้มีความสุขอย่างเดียวก็ทำไม่ได้…อยากให้ทุกข์อย่างเดียวก็ทำไม่ได้…อยากให้ทั้งสุขทั้งทุกข์อย่างเดียวก็ทำไม่ได้…เปลี่ยนมาเปลี่ยนไป ตั้งขึ้นดับไป ตั้งขึ้นใหม่แล้วดับอีก เป็นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายในชีวิต…

เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดแล้วเกิดอีก วนเวียนอยู่บนกองทุกข์หาที่จบสิ้นไม่ได้….สาวกของตถาคตเมื่อฟังธรรมดีแล้ว…เห็นดีแล้วจึงเข้าใจอย่างนี้ว่า… “รูปไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ของเรา รูปไม่มีตัวตน เวทนาไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน” เมื่อสาวกของตถาคตเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้แล้ว…จึงปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ละแล้วซึ่งตัณหา ที่จะพาให้เกิดอีก…

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสจบ…นิครนนาฎบุตรก็รู้สึกว่า…พระพุทธเจ้านี้ เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าจริง จึงก้มลงกราบ…แล้วกล่าวกับกษัตริย์ทั้งหลายว่า…ข้าพเจ้าจะถวายอาหารแก่พระพุทธเจ้า ขอพวกท่านที่จะนำอาหารมาถวายเรา จงเตรียมอาหารแก่พระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด….

เครดิต : รู้ให้ดี หน้ากากบัวหลวง

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: