2592.”กรรมหนักทำร้ายพระอริยะ”

เรื่อง “กรรมหนักทำร้ายพระอริยะ”

หลวงปู่สาม อกิญจโน ถูกทำร้ายด้วยหินเท่ากำปั้น จนฟันหน้าท่านหักไปหลายซี่ ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิเข้าฌาณสมาบัติ

(ธรรมประวัติ หลวงปู่สาม อกิญจโน)

เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงพาญาติโยมไปทางเชียงใหม่อีก ในครั้งนี้มีท่านคำดีและเณรฉลอง พร้อมโยมพุ จากสุรินทร์ (ปัจจุบันโยมพุบวชอยู่ที่วัดไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์) ร่วมเดินทางไปเชียงใหม่ด้วย ที่ไปครั้งนี้เพื่อหาสถานที่วิเวกเร่งทำความเพียรทางจิตใจของตนและศึกษาภูมิประเทศ ชีวิตจิตใจของประชาชนเผ่าต่างๆ ในแถบนั้น ได้ไปจำพรรษาที่บ้านแม่ลอด อำเภอแม่แตง กับพวกกระเหรี่ยงอยู่ ๒ พรรษา ออกพรรษาแล้วเที่ยววิเวกไปแถวเชิงเขากับพวกแม้วพวกกระเหรี่ยงจนถึงเดือน ๕ มีชาวบ้านผาเค็ง ทำกุฏิให้อยู่ มีพวกญาติโยมมานั่งภาวนาทุกๆ คืนจำนวนมากไม่เคยขาด

พักอยู่ที่นั้นประมาณ ๑ เดือน ก็มีพระมาฝึกหัดธุดงค์ ให้มาพักรวมกันในที่นั้น พระองค์นั้นไม่ยอม บอกว่าไปพักที่โคนต้นไม้ เพราะมีผ้าขาวและมีแม่ชีเคยตายอยู่ตรงนั้น พระองค์นั้นมาจากเมืองละโว้ ลพบุรี วันต่อมามีพระแปลกหน้าองค์หนึ่งเข้ามาในที่นั้น พระจากลพบุรี จึงถามว่าท่านอยู่ที่ไหน พระองค์นั้นจึงตอบว่า ผมอยู่บ้านนี้แหละ แต่ห่างจากบ้านนี้ ๒ กิโลเมตร พระจากลพบุรีจึงถามว่า ท่านจะมาปองร้ายหลวงพ่อใช่ไหม พระนั้นก็ตอบว่าใช่ครับ พระจากลพบุรีจึงตอบว่า อย่ามานึกปองร้ายอะไรท่านเลย เพราะท่านก็อยู่ชั่วคราวและไม่มีความประสงค์จะเบียดเบียนใครๆ ทั้งนั้น

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็มีคนมาทำร้ายจริงๆ เขาได้รับจ้างด้วยเหล้าคนละ ๓ บาทเท่านั้น คือค่ำวันหนึ่ง ท่านยังไม่เข้าห้องนอนเห็นมีคนมาจุดเทียนกราบๆ ไหว้ๆ อยู่ นึกเฉลียวใจจึงได้ถามว่า โยมพากันมาทำอะไร ถามถึง ๒ ครั้งเขาก็ไม่พูดอะไรเลย ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉยๆ หลังจากนั้นอีกประมาณ ๑๐ วัน เป็นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ท่านกำลังนั่งเข้าสมาธิอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง

เมื่ออกจากสมาธิแล้วรู้สึกตัวแปลกประหลาดไปหมดทุกอย่างในขณะนั้น คือรู้สึกตึงๆที่ใบหน้า ฟันหน้าหลวงปู่หักหลายซี่ จึงจุดเทียนขึ้นมองดูไปข้างหน้า เห็นก้อนหินเท่ากำปั้นตกอยู่ ๑ ก้อน และข้างๆ ตัวอีก ๒ ก้อน มองมาถึงตัวก็เห็นมีเลือดเปรอะเกรอะกรัง เปื้อนตัวและเต็มจีวรไปหมด คิดว่านี้เลือดอะไรหนอ แล้วยกมือลูบไปทั่วตัว ไม่เห็นเจ็บตรงไหน พอเอามือลูบปากและใบหน้าก็เห็นมีเลือดเต็ม แล้วค่อยๆ รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ก็คิดว่าเรานี้ถูกเขาทำร้ายอย่างจริงจังแล้ว


หลวงปู่สาม-อกิญจโน

ก้อนหินที่ขว้างมา ๓ ก้อนนั้น ๒ ก้อนถูกเฉพาะมุ้งและจีวร อีกก้อนหนึ่งถูกปากอย่างจัง เลือดไหลออกจากปากแห่งเดียวในขณะที่อยู่ในสมาธิอย่างไม่รู้สึกตัวนั้น พวกผู้ร้ายคงคิดว่าท่านตายแล้ว จึงตีฝาให้ล้มทับเข้ามาอีก

ท่านอาจารย์สามเล่าว่า พอรู้สึกตัวว่ามีผู้มาทำร้ายจริงๆ ก็นึกว่าท่านคงตายแน่ นานเกือบชั่วโมง ถึงได้จุดเทียนส่องดู จึงรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไรดังกล่าวแล้ว เมื่อถึงสติหยั่งรู้ว่ายังไม่ตาย จึงลงจากกุฏิไปที่บ้านโยม แจ้งเหตุร้ายให้โยมทราบ พวกญาติโยมจึงได้มาช่วยซักมุ้งและซักจีวร และคืนนั้นขอร้องให้ท่านพักที่บ้านโยมคืนหนึ่ง พอสว่างก็กลับมาดูกุฏิของตน

หลังจากนั้นก็บอกญาติโยมว่าอยู่ที่นี้ไม่ได้อีกแล้ว จะขอลาญาติโยมเดินทางต่อไป ญาติโยมคัดค้าน ขออ้อนวอนให้อยู่ต่อไป จะช่วยป้องกันอันตรายทุกอย่าง ญาติโยมเหล่านี้มีความเจ็บแค้นในใจมาก เขารับปากอาสาจะแก้แค้นพวกผู้ร้ายให้ท่าน แต่ท่านห้ามไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะท่านคิดว่าจะเป็นเวรเป็นกรรม แก้แค้นกันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นบาปกรรมเปล่าๆ ท่านบอกว่า อาจเป็นเวรกรรมอะไรของท่านในปางก่อนก็ได้ จึงถูกเขาทำร้ายร่างกายให้ได้รับความเจ็บถึงเพียงนี้ และขอให้กรรมนั้นจงเป็นอโหสิจบสิ้นไป


หลวงปู่ตื้อ

ในพรรษานั้นได้ท่านจันดี มาร่วมจำพรรษาอยู่ด้วย พวกที่ได้ทำร้ายท่าน พอรู้ตัวเข้าก็ตกใจกลัว จึงล้มป่วยเจ็บไข้แล้วก็ “ตายไปหมด” ออกพรรษาแล้วได้ลาญาติโยมไปเที่ยวทางบ้านโป่ง ซึ่งเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่นเคยจำพรรษาอยู่ จึงจำพรรษาอยู่ที่บ้านโป่งหนึ่งพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วก็เที่ยวธุดงค์ต่อไปทางบ้านจอ และบ้านถ้าเชียงดาว แล้วย้อนกลับมาพักอยู่ที่บ้านโป่งอีกครั้งหนึ่ง

หลังเกิดเหตุการณ์ที่ท่านถูกทำร้ายผ่านไป หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และท่านพ่อลี ธัมมธโร ได้ขอร้องทัดทานไม่ให้หลวงปู่สาม อกิญจโน กลับมาที่บ้านโป่ง บ้านเดิมที่เกิดเรื่องอีกครั้ง แต่หลวงปู่สามท่านได้ให้เหตุผลที่น่าฟังว่า ชาวบ้านเขาศรัทธาในธรรมปฏิบัติเป็นอย่างมาก

แต่ที่ท่านต้องเดินทางจากไป เพราะต้องการให้เรื่องสงบ และไม่ต้องการเอาเรื่องเอาราวกับผู้ใด ถึงตรงนี้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งในคุณธรรมพ่อแม่ครูจารย์มาก พอเรื่องสงบแล้ว ท่านจึงกลับมาสอนกรรมฐานแก่ญาติโยม


พ่อท่านลี

ลองนึกดูเถิดว่า ท่านมีความเมตตามากมายขนาดไหน จึงทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ในประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆองค์นั้น ส่วนมากเวลาท่านธุดงค์ไปที่แห่งใด เมื่อท่านได้เมตตาสั่งสอนจนเป็นที่พอใจแล้ว เมื่อท่านจะลาจากไป พวกญาติโยมจะพากันร้องห่มร้องไห้กันระงมไปทั่ว เพราะอาลัยในความเมตตาของท่าน เหมือนความเมตตาจากบิดามารดาที่มีต่อบุตร ซึ่งหาคุณค่าประมาณมิได้ นี่คือ “อำนาจแห่งความเมตตา” ของพ่อแม่ครูอาจารย์พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

Cr.Opas Westly

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: