2467. “พระนางมัลลิกาเทวี ผู้ถวายอสทิสทานแด่พระพุทธเจ้า แต่ต้องตกนรก ๗ วัน”

เรื่อง “พระนางมัลลิกาเทวี ผู้ถวายอสทิสทานแด่พระพุทธเจ้า แต่ต้องตกนรกอยู่ถึง ๗ วัน”

(ธรรมเทศนา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ทีนี้มาพูดถึงคนทำบุญมาก คนทำบุญมาก นี่ก็ลงนรกเหมือนกัน ถ้าไม่เจริญกรรมฐาน มีตัวอย่าง ตัวอย่าง “พระนางมัลลิกาเทวี” มเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านผู้นี้ทำบุญหนักมาก แม้แต่นางวิสาขาก็สู้ไม่ได้ คือว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเป็นนักบุญ ในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปท่านก็ถวายทาน ก่อนจะถวายก็ให้บรรดาข้าราชบริพารประกาศให้ชาวบ้านมาดู “การถวายสังฆทาน”

ชาวบ้านเห็นพระราชาทำได้ พวกเราก็ทำได้ รวมตัวกันถวายทานยิ่งกว่าพระราชา พระราชาก็ไม่ยอมแพ้ รุ่งขึ้นเอาใหม่ เอาให้หนักกว่านั้นอีก พระราชาแพ้ไม่ได้ใช่ไหม ยันกันไปยันกันมา ในที่สุดพระราชาหงายท้อง ชาวบ้านเขามากกว่า ก็เลยนอนไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด

พระนางมัลลิกาเทวีก็ถามถึงความเป็นทุกข์ ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่า ในฐานะที่เราเป็นพระราชา แต่การถวายทานแพ้ประชาชนนี่มันไม่น่าจะเป็นคน ไม่น่าจะอยู่ พระนางมัลลิกาก็บอกว่าสิ่งที่เหนือประชาชนน่ะมีอยู่ คือ “อสทิสทาน” อสทิสทานน่ะมีอะไรบ้างไปถามพระดูก็แล้วกัน ถ้าขืนเล่าให้ฟังวันนี้ไม่จบ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้มาในโลก คนที่จะถวายอสทิสทานได้มีคนเดียว และก็คนที่ถวายทานต้องเป็น “ผู้หญิง” ไม่ใช่ผู้ชาย พระนางมัลลิกาจึงขออนุญาตถวายอสทิสทาน พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วก็ชอบใจ

นี่ท่านมีความดีทุกอย่าง ไม่เคยทำบาปแม้แต่น้อย แต่ว่ามีคืนหนึ่ง มืดแล้ว ดับไฟแล้วนะ ท่านอยากจะไปส้วม บังเอิญเท้าไปสะดุดเท้าพระสวามีเข้า ท่านตกใจคิดว่าเป็นบาป เป็นความชั่ว ในที่สุดพระสวามีก็ทรงปลอบ บอกตามความเป็นจริงว่าไม่ถือโทษ พระนางก็ไม่เคยทำแบบนี้นะ อารมณ์ก็เศร้าหมอง

ถึงเวลาจะตายจิตไปนึกถึงอารมณ์เศร้าหมองตัวนี้เข้านิดเดียว ออกจากร่างแต่ตัวเป็นนางฟ้าเต็มอัตรา แต่ก็ต้องไปที่นรกเอาเท้าที่สะดุดเท้าพระสวามีน่ะแหย่ลงไปในนรกแค่ตาตุ่มเป็นเวลา ๗ วันของมนุษย์ เห็นไหมแล้วพวกที่ด่า(สามี)ล่ะ เขามีขุมไหม (หัวเราะ) ระวังให้ดีนะ ไม่ต้องเย็บปาก แต่เราไม่ด่าก็แล้วกันนะ เอาบ้างหรือเปล่า ก็เป็นอันว่าอยู่แค่ ๗ วัน

ทีนี้มากล่าวถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็มีความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็น “สัพพัญญู” คำว่า “สัพพัญญู” นี่รู้ทุกอย่าง อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่รู้นี่ไม่มี ฉะนั้นเมื่อภรรยาของเราเป็นนักบุญขนาดนี้ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน จะต้องไปถามพระพุทธเจ้า

ถึงเวลาตอนเช้าให้เจ้าหน้าที่จัดอาหารเสร็จก็ไปที่พระพุทธเจ้า ไปที่สวนถวายภัตตาหาร แล้วก็ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ถ้าหากว่าถามเวลานี้ เมื่อเราตอบตามความเป็นจริงว่า พระนางมัลลิกาเทวีนี่อยู่ที่นรก ถ้าเป็นอย่างนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเลิกทำบุญทันที เพราะว่าคนดีขนาดพระนางมัลลิกาเทวีทำบุญยังลงนรก พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้ลืมเสีย ท่านตั้งใจไปถามแบบนั้นน่ะ ๗ วัน พระพุทธเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลืมทั้ง ๗ วัน พอวันที่ ๗ ผ่านไป มาถึงวันนี้ ๘ พระนางมัลลิกาก็พ้นจากโทษ เห็นไหม เศร้าหมองนิดเดียว ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

วันที่ ๘ พระพุทธเจ้าก็คลายฤทธิ์ ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลนึกออก พอฟังเทศน์จบชาวบ้านเขากลับแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า โอ้โฮ ตั้ง ๗ วัน เรานึกจะมาถามพระพุทธเจ้า แต่บังเอิญลืมทุกวัน มีอยู่วันนี้นึกออกต้องถาม ก็ถามว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ มัลลิกาเทวีมเหสีของข้าพระพุทธเจ้า ตายจากความเป็นคนเวลานี้อยู่ที่ไหน”

นี่เสียท่าพระใช่ไหม ถามว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าบอกอยู่ที่ดาวดึงส์ ถามว่าเวลานี้นี่นะ ไม่ได้ถามว่าตายแล้วเขาไปไหน โง่ๆ แบบนั้นดันไปถามพระพุทธเจ้าด้วย

ก็เป็นอันว่า คนถึงแม้ว่าจะทำบุญหนัก แต่ว่าเวลาจะตายบังเอิญจิตไปนึกถึงอกุศลเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง อกุศลก็จะพาลงไปอบายภูมิก่อน ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องเจริญสมาธิ คำว่าสมาธินี่แปลว่า การตั้งใจอย่างที่ท่านทั้งหลายทำบุญกันนี่ก็จะบอกว่า

อุ้ย…หลวงพ่อมาทีไรฉันก็ถวายสังฆทานทุกที การถวายสังฆทานแต่ละครั้งมีสิทธิ์ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นที่ ๕ เรียกว่า นิมมานรดี หรือถ้าจะไม่ไปก็ได้ แต่ถึงอย่านั้นก็ดี บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เราอาจจะเผลอได้ ตามบาลีว่า “เอกะ จะรัง จิตตัง” จิตดวงเดียวเที่ยวไป จิตน่ะมันรับอารมณ์เดียว

เวลาที่เรารักคนที่เรารักสัตว์ ที่เรารัก เขาจะทำเลวขนาดไหนก็ตามเราก็ยังรัก ถึงเวลาโกรธขึ้นมา ทำดีขนาดไหนมันก็เกลียดใช่ไหม ไม่นึกถึงความดีของเขา ก็รวมความว่าจิตมันรับอารมณ์เฉพาะ ฉะนั้นถ้าหากว่าถ้าจิตออกจากร่าง ถ้าบังเอิญไปพบอกุศลเข้าก็ไปอบายภูมิได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ฝึกจิตให้มีอารมณ์ทรงตัว

อันดับแรก ก็กำหนดรู้จับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” แต่ว่าคำภาวนานี่ไม่จำกัดนะ จะนึก “พุทโธ” ก็ได้ “นะมะ พะธะ” ก็ได้ หรืออะไรก็ได้ นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็ภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้จิตมีงาน จิตมีงานในด้านบุญละบาป ขณะใดที่จิตรู้ลมหายใจเข้าออก จิตไม่คิดถึงเรื่องอื่น เวลานั้นจิตเป็นสมาธิ จิตว่างจากกิเลส ขณะใดจิตรู้คำภาวนาอยู่ อารมณ์อื่นไม่เข้ามาแทรก เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส มีความดี

Cr.Opas Westly

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: