2444.”อย่าไปยุ่งกับศิษย์สายหลวงพ่อ กวย แห่งวัดบ้านแค” เชียวนะ

…ครั้งหนึ่ง โดยขณะที่ข้าพเจ้าบวชได้อยู่ประมาณ 9 เดือน ตอนนั้น ในวัดของข้าพเจ้าได้มีพระอาคันตุกะ”อยู่รูปหนึ่งได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสหธรรมมิคของท่าน หรืออย่างไรไม่ทราบแน่ แต่ที่ทราบคร่าวๆมาว่า พระองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของเกจิอาจารย์องค์หนึ่งทางภาค อีสาน ที่เก่งเหมือนกัน

เพราะเกจิองค์นั้น มีศักดิ์เป็นถึงพระอาจารย์ของ เชื้อพระวงค์องค์หนึ่งเลย ส่วนพระองค์ที่มานั้น เห็นเขาว่ามีเครื่องราว เป็นงูใหญ่ นัยว่า จะเป็นพญานาค เวลาไปใหนก็มักจะนำเทียนมาปั้นเป็นแท่งๆประมาณ 10 แท่ง ตั้งกรวย เป็นขันธ์ 10 (เห็นเขาเรียกกันเองว่าขันธ์พระพุทธ)แล้วมักจะสวดมนต์เป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ เสียงดัง แต่ฟังไม่ออก ไม่มีในภาษาขอม สวดไหวมาก มารู้ตอนหลังว่าเขาเรียกกันว่า”วิชาธรรมบันดาล”

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจประการใด เพียงแต่ว่า เวลาเจอก็เข้าไปกราบตาม พระเพณีของพระท่าน อาวุโสภันเตฯปฏิบัติพระผู้ใหญ่ข้าพเจ้าก็ทำตามปรกติ แต่ไม่สุงสิง ไม่มอง ไม่แล ไม่ยิ้ม ไม่สนใจ สำรวมใจอย่างเดียว ข้าพเจ้านั้นก็มิได้อวดเด่นอวดดีแต่ประการใด เพราะเราถือว่าเราก็ศิษย์มีครู ของเราเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป

กิจวัตรที่ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติเราก็ทำมาแต่ต้นตั้งแต่ที่บวชใหม่ๆอยู่แล้ว ก็เจตนามีแต่เพียง ทำความดีสร้างกุศลกรรมอันดีให้จิตใจของตัวเองเท่านั้น หลังจากที่พระองค์นั้นมาอยู่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความแปลกๆยังไงชอบกล รางมันบอก(สัญชาติญาณ) รู้สึกว่ามีคนมาคอยสังเกตุดูอากัปกิริยา การดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าอยู่

ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ข้าพเจ้า จะถือว่า เราควรรักษาจิตใจไว้ให้มั่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าไปเรื่อย ตรงนี้ ข้าพเจ้าจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่ว่า หลังจาก 8 โมงเช้า เป็นเวลาที่ฉัน อาหารกันเสร็จ ข้าพเจ้าก็จะรับใช้ พระอาวุโส เสร็จแล้วข้าพเจ้า ก็จะขุนอาหารให้ หมาแมว ภายในวัด เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็จะ ขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบโดยที่ไม่ สุงสิงกับใครทั้งนั้นลงมาอีกที 5 โมงเย็น กวาดวิหารลานเจดีย์ เสร็จแล้วสรงน้ำแล้วขึ้นกุฏิ

หากคืนไหนหนาวมากๆ ก็ลงมาก่อไฟให้หมามันนอนสักกอง สงสารมัน เห็นมันนอนกันตัวล่ะกลมเลย บางวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าเห็นพวกมันบางตัว มันนึกยังไงไม่รู้ ล่อเกลือกอยู่ในกองขี้เถ่า โผ่ มาแต่ลูกกะตา บางทีก็อดนึกขำๆ มันอยู่เหมือนกัน เอ่อ!มันก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเราล่ะเนอะ 

กุฏิของข้าพเจ้านั้นเป็นกุฏิเรือนไทยหลังใหญ่ดูน่ากลัว ก็เลยไม่ค่อยมีพระมาอยู่และอีกอย่างยุงมันเยอะ บางที งูเลื้อยออกมาเฉยเลย ที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะอยู่ที่นี้ ก็เพราะว่าไม่อยากอยู่ปนกับใคร ยิ่งพระ รุ่นเดียวกัยด้วย อย่าให้พูดเลย มันบาป หนีมาอยู่นี้ สบายใจดีไม่มีใครตาม แต่ภายในกุฏินั้นมันกว้างคล้ายๆบ้านล้อมรั้ว ประมาณนั้น

ที่นี้มี ตู้พระไตรปิกฎ และหนังสือธรรมมะเก่าๆอยู่เต็มห้องเลย ก็เลยเข้าที เพราะข้าพเจ้านั้นชอบศึกษาอยู่พอดี  สังคมของคนหมู่มากนั้นไม่ไหว ไม่ว่าจะสังคมใหนก็ตามมันมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ ไม่เขาก็เรา ไม่เราก็เขา

อันนี้มันเป็นสัจธรรมสังคมพระก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ถ้าใครเคยได้บวชมาแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก กูดีกว่า แกได้นิมนต์มากกว่า นี่อั้ว เคร่งกว่า องค์ใหนไม่เคร่งแปลว่าพระไม่ขมัง และก็ ฯลฯ สามวันยังไม่จบเลย เหมือนฆราวาสไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่พระองค์ใหนจะควบคุมจิตใจได้อย่างไรข้าพเจ้าก็เลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน อันนี้เรื่องจริง ไม่อิงนิยาย…
               

…ที่นี้ต่อมา ตอนหลังๆขณะที่ข้าพเจ้านั้น มักจะได้เจอพระองค์นั้นทีไร ท่านก็มักจะพูดลอยๆเหมือนตั้งใจจะให้ข้าพเจ้าได้ยินออกมาว่า”ครูบาอาจารย์แรงมาก “แล้วก็พยักหน้าแบบ อืมนะ!!! ประมาณนั้นข้าพเจ้าก็มิได้สนใจ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า ที่เก่งนะไม่ใช่เรา แต่เป็น “หลวงพ่อ”ของพวกเราต่างหาก

เพราะหลังจากที่พระองค์นั้นท่านมาอยู่ใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกๆอยู่แล้วว่า หมามันเห่าหอนโหยหวนปนกับเสียงนกแสก แบบผิดปรกติแต่ไรมาบวชมาตั้งนานก็ไม่เห็นเป็น อย่างนี้บ้างครั้งก็จะมีเสียงลมพัดอู้ พุ่งเข้ามาชน ประตูหน้าต่าง หนักๆ เข้าก็เหมือนมีของหนักๆ หล่นลงมาใส่หลังคา ดึกสงัดใครจะมาแกล้งกัน หรืออย่างไรไม่ทราบ 

แต่ด้วยสัญชาติญาณ เพราะคนโบราณนั้นเขาก็ถือกันอยู่แล้ว ว่าอย่าไปทักเด็ดขาด และที่ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจมากที่สุดก็เห็นจะด้วย ตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้ามาอยู่ใหม่ ๆที่นั้น พอดีกุฏิของข้าพเจ้ามันตั้งอยู่ติดกับป่าช้า  จะว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีความกลัวเลยเสียทีเดียวนั้นก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่ใช่คนตาขาวก็เท่านั้น

ข้าพเจ้า จึงจุดธุปบอกหลวงพ่อว่าจะ ขอทำค่ายอาคมล้อมห้องนี้สักหน่อย ล้อมไว้บนเพดานเหมือนเวลางานพุทธาภิเษก โดยที่ข้าพเจ้าใช้สายสิญจน์พันไว้ที่ใต้ฐานรูปของหลวงพ่อ แล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิฐาน ว่า นะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังถัง ปะกาเสนโต ฯลฯ แล้วว่า คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ว่าไปจนล้อมเสร็จ ก็เป็นอันว่านอน อุ่นใจ สบายดี รูปนี้แม่ของข้าพเจ้าได้มาจาก ตา นานแล้ว เคยแง้มดูนิดหนึ่งด้านที่มันลอก ปรากฏ อักขระอาคมที่หลวงพ่อท่านจารประจุลงเอาไป เต็มเลย แต่เท่าที่มองดู ก็มีหัวใจ “กะระณี”ของหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาวอยู่ด้วย ขอบารมีของหลวงพ่อ ปกปักรักษา…ปัจจุบันรูปนี้นั้นข้าพเจ้าก้ยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ทีนี้


…อยู่ต่อมาเรื่อยๆที่นี้สถานการณ์เริ่มจะบานปลายใหญ่ เพราะมันมาถี่เกิน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ เจอเข้าอย่างนี้บ่อย ก็ชักคิดๆอยู่เหมือนกันแต่ไม่ถึงกับหวาดมากมายอะไร  ก็เลยปรารภให้ หลวงพ่อ ฟังว่า(พูดไปเรื่อย) โดยอยากจะรู้ว่า เอ๊! มันเป็นเพราะเหตุอันใดหนอ และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับข้าพเจ้า

โดยคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตฝันไปว่า ข้าพเจ้าได้เดินออกไปในป่าใหญ่แล้วอยู่ก็ได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่างอยู่ในพุ่มป่า ก็เลยเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ สักพักข้าพเจ้ารู้สึกร้อนมากหันก็เห็นน้ำตก ใหลอยู่ก็เลย เดินเข้าไปเอามือกวักลูบหน้า ได้ยินเสียงคนหัวเราะ ก็เลยหันไปดู เห็นพระองค์นั้นกำลังยืนหัวเราะอยู่ใต้ตนไม้ แล้วทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ต้องตกใจถึดขีดสุด เพราะเมื่อข้าพเจ้าได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนหน้าผาก็ต้องพบกับความตกตะลึง

ข้าพเจ้าเห็นงูตัวใหญ่มากๆมันขดรัดหน้าผาอยู่ น่ากลัวมากๆเลย ถึงกับทำให้ข้าพเจ้า งี้ สะดุ้งตื่นเลย เมื่อตื่นมาใจยังเต้นตุบๆๆ อันนี้ก็พยามทำใจอยู่ว่ามันคงจะเป็นความฝัน ต้องเป็นความฝัน ข้าพเจ้าบอกตัวเอง อย่างนี้จนสติเริ่มดี ก็ไม่ได้คิดมากอะไร มองนาฬิกา ก็ ตี 3กว่าๆ ก็เลยล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ สวดมนต์ไหว้พระต่อ ทำกิจต่างๆแล้วจึงเตรียมตัวจะไปบิณฑบาตรในตอนเช้าต่อ

พอได้เวลาลงจากกุฏิพอฟ้าสางๆ เท่านั้นล่ะ ข้าพเจ้ากำลังเดินไปที่ศาลาก็แปลก พบพระองค์นั้นท่านมายืนรออยูที่ข้างทางที่จะไป ก็เอ้!!!ปรกติท่านก็ไปของท่าน วันนี้ทำใมมายืนรอเรา ละแล้วคำ พูดของพระองค์นั้นก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าสะท้านใจจริงๆ ท่านอมยิ้มและพูดเสียงนิ่มๆว่า “ไงท่าน !!!เมื่อคืนร้อนมากหรือไง เห็นกวักน้ำล้างหน้าใหญ่” ให้ตายก็ได้ ในชีวิตนี่ล่ะครั้งแรกที่ ข้าพเจ้า งง มากๆๆมากที่สุด ถึงที่สุด งงจริงๆท่านรู้ได้ไง เหมือนในฝันเปี้ยบเลย!!!

แต่ทั้งที่ข้าพเจ้า ก็ตกใจในคำพูดของท่าน แต่ข้าพเจ้าก็แสดงออกแต่เพียงพองาม พี่ๆ น้องๆครับ ข้าพเจ้า งง มากเลยครับ เออ ท่านรู้ได้ยังไง ก็เลยตอบท่านไปว่า “แล้วท่านอาจารย์ ไปยืนดุ้มๆทำอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ละครับ” ท่านก็ขำใหญ่เลย …


…”หลวงพ่อให้คาถา”…
                 …หลังจากวันนั้นข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดอยู่ว่า เหตุจึงได้ต้องเจอกับนิมิตฝันแบบนี้ได้ ก็ได้ข้อสรุปว่าเห็นจะต้อง ปรารภกับหลวงพ่อในเรื่องนี้ จึงได้จุดธุป 16 ดอก บอกกล่าวกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมไปแพ้เข้ามา จริงหรือไม่จริง ลูกก็ไม่รู้แต่ที่ลูกรู้กคือ ไม่อยากให้ใครมาว่าเราได้ว่า เป็น”ไก่อ่อน”ถ้าร้ายดีแต่อย่างไร ลูกนิมนต์หลวงพ่อ ช่วยสงเคราะห์ลูกด้วยเทอญ

พอดีวันนั้นเป็นวัน ลงโบสถ์พอดี ก็จึงได้เข้ากันไปลงฟังปาฏิโมกข์ ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆข้าพเจ้าก็ไม่รู้ ว่าจะบังเอิญหรืออย่างได้ไม่ทราบ โลกมันกลม ก็ได้นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับพระองค์นั้น ก็ฟังพระท่านปาฏิโมกข์ ไป หันไปมองก็เห็นองค์นั้นเม้ม ริมฝีปากมองมา ก็ทำเป็นเฉย นึกถึงหลวงพ่อเลยหลับตากำหนดลมหายใจแทน

ฟังไปฟังมาอยู่ๆก็เกิด อาการคล้ายๆตัวเองมันเบาๆ ดี รู้สึกสบายหัวใจ กระชุ่มกระชวย และทันนั้นคล้ายฟ้าร้อง ใจนั้นระลึกถึงหลวงพ่อตลอด จนเกิดความอัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก ภายในอากาศ ปรากฏเป็น อักขระ ขอม ลอยขึ้นมาหนึ่งแผง พอลืมอักขระนั้นก็ยังติดตาอยู่เหมือนเดิม ติดตาอยู่นานามาก

ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้น ก็พอรู้ภาษาขอมอยู่ จึงรีบอ่านและจดจำไว้จนแม่นยำ พระอักขระขอม แผงนั้นอ่านแล้วมีใจความดังนี้ว่า “โกธา นารา ปะหะ โมโล”ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ให้กับข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะเคยศึกษาและท่องจำ พระคาถาต่างๆมาก็มากแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ยินได้ฟัง พระคาถาบทนี้เลย พี่ๆน้องๆ ท่านใดที่พอจะรู้ หรือเข้าใจ ในคาถาบทนี้ โปรดช่วย ให้ความรู้กับข้าพเจ้าด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง …


…”ลงด้วยบารมีของหลวงพ่อ”…
                   … หลังจากที่ข้าพเจ้าได้คาถาบทนี้มา ข้าพเจ้าจึงนำภาวนา อยุ่ตลอด เพราะข้าพเจ้านี้มีความเชื่อว่า ต้องเป็น คาถาที่หลวงพ่อนั้นท่านประทาน มาให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อที่จะเอาไว้ป้องกันตัว ข้าพเจ้ามั่นใจ วันนั้น ข้าพเจ้ารอจนดึกสงัด ข้าพเจ้าก็ได้เตรียมตัวไว้ว่าวันนี้เป็นไงเป็นกัน จะได้รู้กันไปเลย จะใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา อาราธนาครูบาจารย์ แก้มือพระองค์นั้นสักหน่อย

ว่าแล้วก็ เตรียมบาตรน้ำมนต์ มีดหมอของหลวงพ่อ ตำรา ของหลวงพ่อ ว่าแล้วก็นั่งภาวนาจนจิตเริ่มสงบ ก็ค่อยๆลืมตา จุดธุปเทียน ตามที่ได้ร่ำเรียนมา บอกกล่าว นิมนต์หลวงพ่อ ว่าวันนี้นิมนต์ให้ช่วยลูกด้วย ก็สวดร่ายองค์การอัญเชิญพ่อแม่ ครูบาร์อาจารย์ มีหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร เป็นที่สุด เสร็จแล้วก็นั่งภาวนา พอจิตสงบ ข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตน ว่าได้เดินออกไปตามทางเพื่อที่จะไปยังกุฏิของพระองค์ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ

ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นงูตัวใหญ่มาก ตัวเท่ากับล้อรถไถ 10เท่าเห็นจะได้ ข้าพเจ้าตั้งสติได้ จึงระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ก็เลยใช้บาตรคว่ำทับมันไว้ (ในนิมิต) พอลืมตาขึ้นข้าพเจ้าก็รีบใช้ มีดหมอของหลวงพ่อ สะกดไว้ที่ปากบาตรน้ำมนต์ โดยที่ใช้มีดหมอ ของหลวงพ่อนั้นทับเอาไว้

แล้วข้าพเจ้าจึงรีบหยิบเทียนที่ จาร อักขระว่า “โก ธา นา รา ปะ หะ โม โล” ภาวนาหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์นั้น จนเทียนหมดเล่ม ก็เป็นอันเสร็จพิธี บอกตรง ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น ในองค์หลวงพ่อว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ของจริง จนหมดหัวใจ

พอรุ่งขึ้นตอนเช้าข้าพเจ้าสังเกตุไม่เห็นพระองค์นั้นมาที่ศาลา ตามปรกติได้ความว่า อาพาธอยู่ มาไม่ได้ ก็ผ่านไป 3 วัน ไม่รู้ข้าพเจ้านึกอย่างไรเห็นพระองค์นั้นท่านเดินอยู่ในวัด ก็เลยเข้าไปอุ้มบาตรน้ำมนต์ในกุฏิที่ทำไว้นั้นไปหาท่าน ก็บอกท่านไปว่า”อาจารย์ครับ พอดีอีกไม่นานเดี๋ยวผมก็จะสึกแล้ว นิมนต์ท่านอาจารย์ช่วยทำน้ำมนต์ให้สักหน่อย จะเอาไว้อาบตอนสึก นิมนต์ด้วยครับ”

ท่านก็มองหน้าข้าพเจ้าแล้วก็รับบาตรน้ำมนต์ไว้แล้วเข้าไปหยิบเทียนเล่ม ใหญ่ 2 เล่มเดินหายไปที่โบสถ์ ประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ จึงออกมา  พอมาถึงข้าพเจ้าเท่านั้นล่ะ คำพูดแรกที่ท่านพูด กับข้าพเจ้าก็คือ “ท่านใช้คาถาอะไรประจุน้ำมนต์ที่ให้มาหรือ” ข้าพเจ้าก็เลยถามท่านว่าเพราะอะไรจึงถามเช่นนี้ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่าขณะที่ท่านกำลังปั่นธรรมบันดาลอยู่นั้น ท่านก็ได้นิมิตไปว่าเห็นพญานาคของท่านที่หายไปมันมาขดอยุ่ในบาตรน้ำมนต์ของข้าพเจ้าใบนี้

ท่านก็ประหลาดใจมากจึง คลายจาก องค์ธรรม แล้วตั้งใจจะมาถามข้าพเจ้าโดยตรงเลย ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า โอ้คาถานี้สุดยอดจริงๆ คาถาของหลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ขนาดพญานาค ยังลงไปนอนในบาตรเลย สาธุๆๆๆๆๆ (ข้าพเจ้ากล่าวในใจ) ก็ด้วยความที่ข้าพเจ้าเห็นว่า พระองค์นี้ท่านก็เป็นพระที่ใช้ได้เหมือนกัน คือท่านก็อัธยาศัยดี

ก็เลยบอกท่านไปตรงๆ ว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เรืองวิทยาคมอะไรทั้งสิ้น ก็เห็นว่าทีท่านยังมาดักรอผมแล้วยังถาม ผมได้เลยนี่ว่า ร้อนหรือยังไง แล้วที่ท่านส่งอะไรต่อมิอะไรมานะ ที่แกล้งผมไม่ได้ ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อ ของผมช่วยเอาผมไว้ “หลวงพ่อกวย ชุตินธโร” เทพเจ้าแห่งชาวบ้านแค

สรุป วันนั้นคุยกันเกือบครึ่งคืน ต่อมาตอนหลังพระองค์นั้นก็ไปขอขมาหลวงพ่อและ นับถือ หลวงพ่อกวย ของพวกเรามากเลย ไม่ว่าจะไปที่ใหน ท่านก็มักจะ บอกกล่าวกับ พระที่ท่านรู้จักอยู่เสมอ ทุกครั้งเลยว่า “อย่าไปยุ่งกับศิษย์สายหลวงพ่อ กวย แห่ง วัดบ้านแค” เชียวนะท่านศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะท่านเจอมาแล้วกับตัวเอง ก็ขนาดอาจารย์ของพระองค์นั้นยังเคยพูดเลยว่า”แค่มีคนมาชักมีดของหลวงพ่อ กวย ออกมา ยักษ์ที่เฝ้าหน้าวัดของฉันยังต้องหนีไปเลย” สุดยอดจริง เข้มขลังเหลือเกิน…

Cr.คนเมืองกาญจน์

แอพเกจิ
                               .

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: