2428.ประวัติและอภิญญา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ตอนที่ 2 สงครามอินโดจีน

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ

เป็นผู้มี สัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง

เป็นผู้เปี่ยมด้วย ทมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด

เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

เป็นผู้มี ภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย

เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี

เป็นผู้มี สมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง

เป็นผู้มี สุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า “คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด”… จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น

หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานันดร และตามความต้องการเรียนรู้ให้เข้าใจในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อใช้ปฏิบัติให้บังเกิดความสงบสุข และบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พร้อมด้วยใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป เหมาะสมตามกาลเทศะ…

ตลอดจนได้เป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางวิทยาคม ซึ่งพระอาจารย์โพธิผู้เป็นพระอาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ให้และท่านก็สามารถนำไปใช้ช่วยปลดทุกข์ทางกายทางใจแก่ปวงชนมากหลาย แม้แต่ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง สมรภูมิอินโดจีน และสมรภูมิรบในเกาหลี อิทธิบารมีของหลวงพ่อจง ก็ได้สอดแทรกมีบทบาทช่วยให้เหล่าทหารหาญของชาติไทยทั้งสามกองทัพบังเกิดพลังใจใหญ่หลวง กระทำการรบได้อย่างห้าวหาญ มีชื่อเสียงเกรียงไกรไพศาล เป็นที่หวาดหวั่นยั่นระย่อต่อเหล่าข้าศึกไม่น้อย

เมื่อเผชิญกับการรับรุกบุกเข้าปะทะหมายกวาดล้างของทหารไทย ข้าศึกก็ล้มตายอย่างย่อยยับหรือถอยหนีโดยไม่คิดสู้บ่อยที่สุด…

แม้แต่ในวงล้อมของฝูงข้าศึก ที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรคาดหมายว่าอย่างไรเสียกองร้อยทหารไทยคงไม่มีทางรอดเหลือกลับฐานทัพ เพราะคำนวณจากจำนวนทหารข้าศึกที่ล้อมทหารไทยไว้กว่าห้าชั้น ด้วยกำลังรบที่มากกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า ไม่มีทางที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งทัพไทยร่วมด้วยจะคาดคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ และไม่น่าจะเป็นการคาดคะเนที่ผิดไปเลย

แต่…ทหารไทยผู้ห้าวหาญก็สามารถต่อสู้กับข้าศึกษาทั้งทางพื้นดินและหลบระเบิดที่เครื่องบินข้าศึกทิ้งปูพรมลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับต้องบุกฝ่าพายุปืนกลหนักเบาจากวงล้อมห้าชั้นทั้งสี่ทิศ หลุดรอดออกมาได้เกือบครึ่งจำนวน… ทหารไทยเลยถูกลือว่าเป็นกองทัพมัจจุราช กองทัพมหากาฬ กองทัพผี สารพัดจะถูกขนานสมญานาม

มันเป็นการรบในยุทธวิธีตีฝ่าที่ใจห้าวกร้าวแกร่งอย่างอัศจรรย์เหมือนฝัน… จอมทัพพันธมิตรรับรู้ข่าวแสนจะพึงปิติปราโมทย์ด้วยอาการตกตะลึง ต้องสั่นหัวและถามซ้ำเป็นสองสามซ้ำว่า นั่นเป็นรายงานข่าวรับฟังเชื่อได้รึ ? แต่เมื่อเป็นข่าวชัดเจนมีการยืนยันเป็นหลักฐาน จอมทัพพันธมิตรภาคเอเซียก็ต้องเชื่อและอุทานชมลั่น

ถึงขนาดจอมทัพแม๊คอาเธอร์ ขอพบผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะอยากเห็นตัวเหล่ายอดทหารไทยผู้เกรียงไกร และจอมทัพแม๊คอาเธอร์ก็ได้รู้ว่าเลือดไทยทุกคนระอุอ้าวไปด้วยความห้าวเหี้ยมหาญ คิดเชื่อมั่นกันอยู่แต่ว่า ถ้ายิง ต้องยิงให้ถูกข้าศึก แต่ข้าศึกจะยิงไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แห่งบวรพุทธศาสนาท่านคุ้มครอง

ธรรมต้องชนะอธรรมไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ดี ทหารไทยที่รอดตายเกือบครึ่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่บ้างมีตะกรุดชุด 16 ดอก บ้างมีตะกรุดโทน บ้างก็ใช้เสื้อพระยันต์ราชสีห์สีแดงบ้างมีพระทุ่งเศรษฐีดำใหญ่ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และจำนวนทหารผู้รอดตายเหล่านั้นเชื่อว่าบรรดาเครื่องรางของขลังที่พวกตนมั่นใจในคุณขลังเหล่านี้มีส่วนช่วยชีวิตของตน

ทหารรุ่นศึกอินโดจีน และต่อมาในมหาสงครามโลก จนกระทั่งศึกษาเกาหลี ส่วนมากมีความศรัทธานิยมบูชาสักการะต่อตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และเสื้อยันต์แดงราชสีห์ นำติดตัวเข้าสมรภูมิเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ

กองทัพไทยทั้งสามเหล่า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของกองทัพข้าศึก ไม่ว่าครั้งอินโดจีน มหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทำการรบเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด

มนต์ขลังและวิทยาคม เป็นเครื่องประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ศรัทธาสักการะ แคล้วคลาด ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก และบ้างเป็นมหาลาภ มหาเสน่ห์ มหานิยม ได้จริงจังแค่ไหนเพียงไรหรือไม่ หากจะพิสูจน์กันจริงจัง

บางทีอาจจะกระทำได้ยาก เพราะอุปมาดุจดั่งเป็นอิทธิพลหรืออำนาจลึกลับอะไรทำนองนั้น จึงยากจะหาผู้ยืนยันท้าพิสูจน์เป็นผลแตกหัก..แต่อย่างไรก็ตาม ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในอิทธิพลบารมี ของความขลังศักดิ์สิทธิ์ในประการเหล่านี้ ก็มีอยู่ในความรู้สึกอย่างมั่นคงของชาวไทย ไม่เลือกชั้น วรรณะ มานานกว่าพัน ๆ ปี…ฉะนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จิตใจของคนนั้น

ทิพยอำนาจ กับ ความขลัง

สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ

ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)

หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไมตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล

ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ

ต่อมาราวอายุได้  ๓๐ เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย ละหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที

แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด

ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อนก็ร้อนจัด ยามเย็นก็เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-พญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น

ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล… หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า “ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย”

เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้

ที่มา konmeungbua

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: