2407.มนต์พระกาฬ ที่สาบสูญ

มนต์พระกาฬ ที่สาบสูญ

“พระกาฬ” นี้คือ “พระกาฬไชยศรี” ตามประวัติที่ค้นมา เขาเขียนไว้ว่า ท่านพญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ องค์เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรีนี้มีรูปปั้นอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร

พระกาฬไชยศรี

มีเทวลักษณะเป็นเทพมีสี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟ หมายถึง ดวงวิญญาณหรือไฟธาตุมนุษย์ กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง กรหนึ่่งถือพระขรรค์เป็นอาวุธประจำองค์ ขี่นกเค้าแมว หรือ นกแสกเป็นพาหนะ

พระกาฬเป็นบริวารของพญายมราช ทำหน้าที่เก็บดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย ท่านจะทรงนกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง ไปเกาะหลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมดโอกาสในโลก โบราณจึงกลัวนกแสก นกเค้าแมว ด้วยเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายแสดงสิ่งอันไม่เป็นมงคล เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายนั่นเอง

สำหรับมนต์พระกาฬนี้เป็นคาถาที่ร้ายแรงรุนแรงตั้งแต่ตัวมนต์คาถา วิธีการสวดภาวนาการปรุงจิต ขั้นตอนการทำวิชา ตลอดจนการถือที่ยากพอสมควร การถือส่วนใหญ่จะเป็นในทางการพูดคำพูด เหตุว่าเมื่อเรียนวิชานี้ได้ขึ้นใจจำได้แม่นยำแล้ว เมื่อหมั่นสวดภาวนาทุกวันเสมอไม่ขาดแล้ว จะไม่สามารถพูดคำหยาบ ทำไม่ดี ดุด่าว่ากล่าวลูกหลาน คนใกล้ชิดไม่ได้เด็ดขาด หากดุด่าใครบุคคลนั้นจะเป็นเช่นนั้นทันที

เรื่องราวคราวหนึ่ง มีตำรวจเข้ามาจับในวัด หากจำไม่ผิดน่าจะมาจับไพ่ คือ มีการแกล้งกันหรืออย่างไรไม่ทราบ มีคนแจ้งว่ามีการเล่นพนันในวัด หรือมาตามจับคนในวัดบ้านแคหลวงพ่อกวยสมัยนั้น ซึ่งจำไม่ได้แน่นอน เอาว่าเข้ามาจับคนในวัด ตำรวจนายนี้เป็นนายดาบ และรู้จักหลวงพ่อกวย แต่ไม่ใช่ศิษย์ของท่าน ตำรวจเข้ามาจับคนในวัด

หลวงพ่อกวยท่านออกมาขอว่าให้เกียรติท่านหน่อย ในวัดในวาไม่เห็นแก่หน้าท่านเลย ท่านบอกให้พูดกันดีๆ แต่ตำรวจนายนี้ไม่สน จับคนใส่กุญแจมือไม่สนใจคำพูด หลวงพ่อกวยท่านทนไม่ไหวจึงพลั้งปากว่าตำรวจนายนี้ว่า “ไอ้สันขาด” พูดขาดคำ ตำรวจผู้นี้ไหล่หลุดทั้งสองข้างทันทีล้มลงร้องโอดโอย นี้เป็นความเข้มขลังเด็ดขาด เชื่อว่ามนต์พระกาฬนี้ก็ต้องมีส่วนด้วยแน่นอน

แม้นตัวหลวงพ่อกวยท่านก็ต้องขลังด้วยตัวท่านและอำนาจจิตด้วยอีกทอดหนึ่งคาถานี้
หลวงพ่อกวยท่านใช้เสกผงพระของท่านๆ ว่ามนต์นี้เป็นของแรง ในตำราของท่านที่มีคาถานี้ หน้าที่มีคาถานี้ท่านใช้ปากกาแดงเขียนว่า “แรงระวัง” เพื่อเตือนศิษย์ไว้


หลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

คาถานี้ความจริงเป็นคาถาทางมนต์ดำด้วย คือ สามารถนำไปใช้แช่งคน ทำให้ชิบหายตายโหง บ้านแตกมีอันเป็นไปต่างๆ นานาได้ ในตำราคาถาของหลวงพ่อกวย มนต์พระกาฬของท่านถูกศิษย์ผู้ได้ตำรานี้เอากาวทาติดปิดหน้าคาถานี้ไปแล้ว เพราะกลัวฅนนำเอาไปใช้ไปเรียนทำในทางไม่ถูกไม่ควร จะส่งผลร้ายเป็นบาปมหันต์

วัตถุมงคลที่ได้รับการปลุกเสกด้วยมนต์พระกาฬนี้ พระอาจารย์ผู้รอบรู้ว่ามนต์พระกาฬนี้หากใครภาวนาบูชาอยู่เสมอจนขลังแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนใดชาย-หญิง หากคิดร้ายทำลายทำการไม่ดีกับผู้ถือคาถานี้จะมีอันเป็น หากคิดให้เขาเป็นอะไร ทำเขาอย่างไร บุคคลนั้นจะถูกคาถานี้สะท้อนกลับไป สุดท้ายหากคิดปองร้ายหมายชีวิตเขาไม่จบสิ้น บุคคลผู้คิดร้ายจะเสียชีวิตเสียเอง

แต่มีเคล็ดว่าผู้ถูกทำร้ายทำลายจะต้องอยู่ในศีลธรรมไม่อาฆาตคิดร้ายโต้ตอบ เขาจะเหมือนสาดน้ำขึ้นฟ้า ฉันใด น้ำนั้นจะตกลงราดรดตัวผู้สาด สาดน้อยเปียกน้อย สาดมากเปียกมาก ฉันนั้น

พระอาจารย์ผู้รอบรู้จึงนำคาถานี้มาเสกประจุคาถานี้ลงในพระเครื่องวัตถุมงคล เพื่อหวังผลทางมหาสะท้อนให้คนคิดร้ายมีอันเป็นไปตามกรรมของการกระทำของเขาเอง เพื่อช่วยเหลือศิษย์ของท่านหรือคนดีที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากคนพาลสันดานหยาบ ที่มักเบียดเบียนกลั่นแกล้ง ไม่ยอมเลิกราก็จะได้ผลกรรมนั้นทันตา

สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ที่เสกด้วยคาถามนต์พระกาฬท่านจะห้ามเสมอว่าอย่าเอาพระท่านไปลอง อย่าเอาไปยิงส่งเดช

ท่านว่าหากวันใดคนยิงเป็นช่วงดวงตก หรือชะตาขาด หรือประหม่าจิตไม่ดีขณะลองมนต์นี้จะสะท้อนทันที บางคนล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บไข้ได้ป่วยไปก็มี บ้างเสียขวัญต้องมาให้ทั่นรดน้ำมนต์ก็มีมาตั้งแต่สมัยท่านแล้ว


หลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

การสาปแช่งโดยใช้มนต์พระกาฬมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีบันทึกปรากฏถึงการแช่งศัตรูโดยใช้มนต์สาปแช่ง ซึ่งก็คือมนต์พระกาฬนี้เองกรรมวิธีการทำพิธีกรรม มีอยู่ว่าผู้ทำอยากให้ฝ่ายตรงข้ามมีอันเป็นไปขนาดไหน หากอยากให้เจ็บป่วยก็ได้ จะให้เจ็บหนักก็ได้ จะให้ตาย จะให้บ้านแตกได้ทั้งสิ้น

อุปกรณ์มีเพียงอิฐมอญ ๑ ก้อน ให้เริ่มเสกวันเสาร์ โดยเอาชื่อ นามสกุล ผู้ที่เราจะทำเขามาเขียนลงบนอิฐมอญ หากได้วัน / เดือน / ปีเกิด / เวลาตกฟากด้วยยิ่งดี เมื่อได้มาแล้วเขียนลงบนอิฐแล้ว ให้เอาอิฐนี้มาเสกอาการ ๓๒ ให้แทนตัวเขา เสร็จแล้วนำอิฐมาวางลงผู้ทำใช้ขาขวาเหยียบลงบนอิฐเพียงขาเดียว คือ ยืนขาเดียวยามเสกให้เสกเวลาเที่ยงตรง ตะวันตรงหัวพอดีช่วงที่แสงแดดแสดเผาร้อนแรงที่สุด

โดยขณะภาวนาให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ยืนขาเดียวเสก ..(บัง)… คาบ เมื่อครบแล้วลงจากอิฐเอาอิฐไปไว้ที่ท่าเรือ ท่าน้ำที่มีคนเดินขึ้นลง เดินข้าม พอวันใหม่ก็ไปหยิบเอามาทำเช่นเดิมอีก พอทำเสร็จก็ไปไว้ที่ท่าน้ำตามเดิมทำเช่นนี้

ทำวิชานี้ ๑ – ๓ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะป่วยไข้ได้เจ็บ (สั่งสอน)

ทำวิชานี้ ๔-๖ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บหนัก (ล้มป่วยหนัก)

ทำวิชานี้ ๗ วัน ให้เอาอิฐไปโยนลงในแม่น้ำมันตาย


หลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

หากทำให้บ้านแตกให้เขียนชื่อคนผัวฝั่งหนึ่ง เขียนชื่อคนเมียอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองด้าน เสร็จแล้วนำมาเสก ๙ วัน แล้วกระทืบหินให้หักแตกออก แล้วเอาส่วนหนึ่งไปทิ้งปลายน้ำ อีกส่วนไปทิ้งต้นน้ำ เสร็จแล้วว่าคาถา ๓ จบกระทืบดินหันหลังกลับไม่ต้องหันไปมอง ไม่นานมันบ้านแตกอยู่ไม่ได้ต้องแตกแยกกัน

แต่การทำเช่นนี้ผู้ทำจะต้องอาถรรพถ์จากคำแช่งของครูบาอาจารย์ จะโดนสายฟ้าผ่าตายอย่างอนาถ หากทำโดยเขาไม่ได้ทำร้ายเราจงถึงที่สุด ครูบาอาจารย์บอกไว้ว่าเมื่อใดโดนทำร้ายกลั่นแกล้งจน “น้ำตาไหลเป็นสายเลือด ถึงจะอนุญาต

Cr.Lek Pakapol

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: