2386.ตำนาน พระขรัวอีโต้ ทำน้ำมนต์

ตำนาน พระขรัวอีโต้ ทำน้ำมนต์

หลวงพ่อขรัวอีโต้ เป็นภิกษุรูปหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ห้วงเสียกรุงแก่พม่า ประชาชนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยังกรุงหงสาวดี รวมทั้งพระสงฆ์สามเณรด้วย และในจำนวนนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้ร่วมไปในกลุ่มเชลยศึก พร้อมทั้งโยมหญิง โยมชาย พี่ร่วมท้องน้องร่วมสายโลหิต ต้องตกไปเป็นเชลยพม่า

ภายหลังเมื่อโยมพ่อแม่ที่ชราอยู่แล้ว ต้องตกระกำลำบากจากบ้านเกิดไปอยู่แดนศัตรู มีความทุกข์ระทมถึงแก่ความตาย

พระภิกษุรูปนั้น ไม่คิดจะอยู่ในหงสาวดีต่อไป ท่านจึงเล่าความในใจให้น้องสาวฟัง น้องสาวเห็นดีตามที่พระพี่ชายคิดไว้

พอได้ฤกษ์งามยามดีในราตรีกาลวันหนึ่ง พระภิกษุและน้องสาวจึงหลบหนีจากแดนเชลยในหงสาวดี มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้เรืองวิชาอาคม จึงพาน้องสาวหลบหนีข้าศึก รอนแรมมาในระหว่างทาง ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น โดยใช้มีดอีโต้ที่ถือติดมือมาเล่มเดียว วางไว้ตรงกลางระหว่างตัวท่านนอนข้างหนึ่ง น้องสาวของท่านนอนข้างหนึ่ง

รอนแรมเป็นเดือน ถึงขนาดผมยาวดัง “องคุลี” เป็นที่ผิดสังเกต เพราะสมัยนั้นพระสงฆ์ 15 วันปลงผมครั้งหนึ่ง

เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา เห็นแต่บ้านร้างเมืองว่างเปล่าปรักหักพังไม่มีผู้คนอาศัย ต้องย้ายไปอยู่บางกอก ท่านจึงพาน้องสาวเดินทางต่อไปยังบางกอก พักจำพรรษาที่ “วัดเลียบ” หรือวัดราชบุรณะในปัจจุบัน

ในวันสองวันนั้น มีเหตุไม่ดีงามเกิดขึ้น ชาวบ้านโจทก์ขานกันว่า “…ท่านเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นปราชิกบ้าง เพราะอยู่ร่วมด้วยสตรีมาเป็นเวลานาน”

ท่านไม่โต้ตอบด้วยประการใด แต่ยืนยันว่า “…ศีลของท่านยังบริสุทธิ์อยู่”

ชาวบ้านค้านว่า “ใครจะเชื่อท่านได้” ท่านตอบว่า ”เราและน้องรู้ดี และอีโต้เล่มนี้แหละเป็นพยาน”

ท่านถืออีโต้เล่มนั้นเดินไปที่สระน้ำพร้อมกับชาวบ้าน (สระนี้ เมื่อวัดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งอยู่ระหว่างคณะ 14 กับคณะ 16 กว้างประมาณ 10 วา ยาวประมาณ 20 วา อยู่กลางวัด) สำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นน้ำฉัน

เมื่อสมัยก่อน สระน้ำนี้มีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีหินใหญ่ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง พระเณรเวลาจะเข้าแปลหนังสือเป็นมหาเปรียญมักมาขออาบน้ำในสระนี้

ภายหลังต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป จึงกลายเป็นที่ปล่อยเต่า-ปลา มีเต่าใหญ่ ๆ ปลาใหญ่ ๆ มากพอสมควรในยุคนั้น แต่ปัจจุบันถูกถมสร้างเป็นอาคารพานิช ซึ่งตรงข้าม ร.ร.สวนกุหลาบฝั่งวัดขณะนี้

พลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า “หากศีลจารวัตรของข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ขอให้มีดโต้เล่มนี้จงลอยอยู่ผิวน้ำปรากฏแก่สายตาคนทั้งหลาย หากข้าพเจ้าวิบัติโดยศีลจารวัตร ขอให้มีดเล่มนี้จมลงในน้ำนี้ตามสภาพเถิด”

อธิษฐานแล้วท่านก็โยนมีดลงไป ปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์ มีดเล่มนั้นลอยน้ำประจักษ์แก่สายตาของประชาชนทั่วไปที่มุ่งดูอยู่ในที่นั้น

ด้วยความมหัศจรรย์นี้ ทำให้กิตติศัพท์ของท่านขจรไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านมีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์จริง ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ขนานนาม ว่า “ขรัวอีโต้ลอยน้ำ”

เมื่อท่านแสดงความบริสุทธิ์ให้ปรากฏดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไปตลอด

จนกระทั่งเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และที่สำคัญท่านได้ทิ้งผลงาน ไว้คือ พระเครื่องขนาดเล็กที่เรียกว่า “พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ”

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2472 ทางราชการได้สร้างสะพานพุทธฯ ขึ้นจึงได้รื้อเจดีย์ที่บรรจุออก ได้พบพระเครื่องเนื้อดินผสมที่เรียกกันว่า “พระขรัวอีโต้” จำนวน 84,000 องค์

พระขรัวอีโต้จึงได้มีผู้นำไปสักการบูชาเป็นเครื่องรางของขลัง แพร่หลายไปในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ทางวัดได้แจกแก่ทหารตำรวจ ตลอดจนพ่อค้าประชาชน เพื่อเป็นเครื่องบำรุงขวัญ

พระขรัวอีโต้มีอภินิหารมากมาย เท่า ๆ กับสมเด็จวัดระฆังหรือพระรอดก็ว่าได้ และที่ว่ามีอภินิหารนั้นคือ ดีทางค้าขาย เมตตามหานิยม อยู่คง แคล้วคลาด คลอดลูกง่าย

ที่สำคัญเล่ากันว่าสามารถทำน้ำมนต์ พรมรถ โดยวิธีจุดธูปเทียนแล้วอธิษฐานขอบารมีสมเด็จขรัวอีโต้ เดินทางไปไหนแคล้วคลาดปลอดภัย เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อขรัวอีโต้จริง ๆที่เล่าสืบกันมา!

ที่มา​ ศิษย์​มีครู

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: